ตอนที่แล้วบทที่ 89 ยอมรับจากใจจริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 91 อัลเฟร็ดคลั่ง

บทที่ 90 หนี้บุญคุณในชาติก่อน


บทที่ 90 หนี้บุญคุณในชาติก่อน

เพียงแค่ 1 นาทีนักเวทไฟภายในทีมก็สามารถสร้างความเสียหายไปได้แล้วมากกว่า 60,000 หน่วย และนี่ก็ยังเป็นผลลัพธ์จากการที่ลู่หยางสั่งให้นักเวทภายในทีมชะลอความเร็วในการโจมตีลง เพราะกลัวว่านักเวทจะสร้างความเกลียดชังจากบอสมากจนเกินไป

“แค่มีลู่หยางอยู่ด้วยการตีบอสมันก็กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ เฉยเลย” ลั่วซืออวี่พูดด้วยสีหน้าสบาย ๆ

“ใช่ มันง่ายกว่าตอนที่เราตีกันเองเยอะเลย” ซิลเวอร์ไลท์แดนซ์พูดเสริม

ระหว่างที่หญิงสาวทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ลูกไฟของซิลเวอร์ไลท์แดนซ์ก็บังเอิญสร้างความเสียหายติดคริติคอล

-526

“โอ้โห” ชิงเฟิงอุทานอย่างตกใจก่อนจะรีบใช้สกิลดึงความเกลียดชังของบอสกลับมาในทันที และในตอนนี้การพยายามควบคุมความเกลียดชังของบอสให้มุ่งเป้ามาที่เขาก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก

“ทุกคนเบา ๆ มือกันหน่อย ฉันเกือบจะดึงบอสเอาไว้ไม่ไหวแล้ว” ชิงเฟิงตะโกนโหยหวนเพราะถึงแม้สำหรับคนอื่นการสู้บอสในครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ แต่สำหรับตัวตัวแทงค์อย่างเขา มันกลับดูคล้ายกับการตกนรกทั้งเป็น

“ขอโทษค่ะ” ซิลเวอร์ไลท์แดนซ์แลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน ท้ายที่สุดอัตราคริติคอลของเธอก็ไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ ความเสียหายที่สร้างขึ้นมามันจึงเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ

“เรื่องนี้มันก็เป็นเพราะลู่หยางนั่นแหละ สกิลของเขาสร้างความเสียหายได้มากเกินไป แค่มีเขาอยู่มันก็ทำให้พวกเราเหมือนกับไม่มีความหมายเลย” ลั่วซืออวี่กล่าวพร้อมกับทำแก้มป่อง

นักเวทคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย และถึงแม้ว่าบอสที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่จะเป็นบอสในดันเจียนระดับอีปิค แต่ลู่หยางกลับทำให้อีกฝ่ายดูไม่แตกต่างไปจากบอสในดันเจียระดับปกติเลย

ชายหนุ่มทำได้เพียงเผยรอยยิ้มออกไปเป็นคำตอบเท่านั้น และการจะสร้างความเสียหายได้สูงถึงระดับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเลียนแบบกันได้ง่าย ๆ เลย โชคดีที่เขามีหัวใจแห่งเทพอสูรที่ทำให้สกิลธาตุไฟทุกสกิลมีเลเวลเพิ่มขึ้น 1 เลเวล ประกอบกับสกิลคอมบัสชันเลเวล 2 ที่สามารถเพิ่มโบนัสความเสียหายธาตุไฟได้อีก 150 หน่วย ซึ่งสำหรับนักเวทไฟช่วงต้นเกมแล้วความเสียหายที่เพิ่มขึ้นมานี้ก็ถือว่าเป็นความเสียหายที่สูงมาก

“เอ๊ะ? ทำไมทั้ง ๆ ที่ลู่หยางสร้างความเสียหายได้มากกว่า 500 ตลอด แต่เขากลับไม่ดึงดูดความเกลียดชังของบอสเข้ามาเลย เขาใส่อุปกรณ์อะไรที่ลดความเกลียดชังเอาไว้กันแน่ ทำไมมันดูไม่เหมือนมีอุปกรณ์ไหนช่วยลดความเกลียดชังได้เลย?” ลั่วซืออวี่ถามอีกครั้ง

ลู่หยางไม่มีทางเปิดเผยความลับเรื่องนี้ออกไปง่าย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ทีมของเขาสามารถพัฒนาแซงหน้าทีมของกิลด์อื่น ๆ

“ความลับ” ลู่หยางตอบ

“โห่” ลั่วซืออวี่และซิลเวอร์ไลท์แดนซ์ต่างก็ทำหน้างอขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ลู่หยางไม่ยอมหลงกลความงดงามของพวกเธอ

“ตอนนี้พลังชีวิตของบอสเหลืออยู่น้อยกว่า 20,000 แล้ว นักเวททุกคนหยุดโจมตี 10 วินาทีรอให้ความเกลียดชังของบอสนิ่งก่อนแล้วค่อยเริ่มโจมตีกันอีกครั้ง”

บารอนแคนท์มีจุดเด่นทางด้านพลังโจมตี ซึ่งนอกเหนือจากลู่หยางก็ไม่มีนักเวทคนไหนสามารถรับการโจมตีของบอสเข้าไปได้แม้แต่ครั้งเดียว หากความเกลียดชังของบอสถูกเบี่ยงเบนไปที่กลุ่มนักเวท ในเวลานั้นนักเวททุกคนก็อาจจะถูกสังหารลงไปในพริบตา

พวกลั่วซืออวี่รู้ความเสี่ยงข้อนี้เป็นอย่างดี พวกเธอจึงหยุดรอ 10 วินาทีก่อนที่จะเริ่มโจมตีอีกครั้ง

ขณะเดียวกันชิงเฟิงก็มีเวลาได้พักหายใจ 10 วินาทีจนทำให้เขาสามารถดึงความเกลียดชังของบอสเข้ามาได้อย่างมั่นคง และในตอนนี้ถึงแม้ซิลเวอร์ไลท์แดนซ์จะสร้างความเสียหายคริติคอลได้สองครั้งติดต่อกัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังของบอสถูกดึงออกจากเขาไป

ลู่หยางโจมตีอย่างสบาย ๆ ซึ่งหลังจากที่เวลาผ่านพ้นไปได้ไม่นาน พวกเขาก็สามารถฆ่าบอสได้สำเร็จ โดยสิ่งที่บอสดรอปลงมานั่นก็คือมีดสั้นระดับเงินเลเวล 5 จำนวน 1 ชิ้น

“มีดเล่มนี้จะให้ใครดี?” ลู่หยางถาม

“ผม ๆ”

“ฉัน ๆ”

ผู้เล่นอาชีพโจรทุกคนต่างก็รีบชูมือกันอย่างจ้าละหวั่น

“นี่คือฮิดเดนเบลดเป็นผู้อาวุโสภายในกิลด์ของเรา” ฉือมู่กล่าวแนะนำ

ลู่หยางรู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดี เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งพร้อม ๆ กับฉือมู่ และเขาก็ก็ยังเป็นชายชราที่เกิดในยุค 80 อีกด้วย

“ฉันเลเวล 7 แล้วในที่สุดฉันก็จะมีอาวุธระดับเงินเลเวล 5 ใช้สักที” ฮิดเดนเบลดกล่าวอย่างตื่นเต้น

ลู่หยางยิ้มก่อนจะมอบอาวุธให้กับฮิดเดนเบลดและกล่าวว่า

“ทุกคนพักกันก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยเดินทางกันต่อ”

หลังจากพักได้ 2 นาทีสมาชิกภายในทีมก็เดินทางกันอีกครั้ง และเมื่อเทียบกับดันเจียนระดับเอ็กซ์เพิร์ท มอนสเตอร์ในดันเจียนระดับอีปิคก็แค่พลังชีวิตเยอะขึ้นแต่ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก

ลู่หยางตั้งใจไม่สั่งการสมาชิกภายในทีมมากเกินไป โดยให้สมาชิกภายในทีมทำการโจมตีเหมือนกับในตอนที่พวกเขาลงดันเจียนในระดับเอ็กซ์เพิร์ท ซึ่งการทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านดันเจียนแห่งนี้มาก่อน

ลั่วซืออวี่, ซิลเวอร์วูฟและคนอื่น ๆ คอยสังเกตลู่หยางตลอดทาง ท้ายที่สุดพวกเขาก็คือผู้เชี่ยวชาญที่มีความทะนงตัว การที่ลู่หยางช่วยพวกเขาผ่านดันเจี้ยนยิ่งกระตุ้นความรู้สึกที่อยากจะเอาชนะ และพวกเขาก็คิดแค่ว่าชายหนุ่มมีอุปกรณ์กับสกิลที่ดีกว่าตัวเองเท่านั้น แต่ทางด้านฝีมือพวกเขาไม่ได้มีอะไรด้อยกว่าเลย

หลังจากเดินผ่านประตูขนาดใหญ่ของประสาทรัตติกาลนิรันดร์ ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับพ่อบ้านอัลเฟร็ดภายในห้องโถงขนาดใหญ่

อัลเฟร็ด

เลเวล 10

พลังชีวิต 80,000/80,000

อัลเฟร็ดมีหนวดเคราเต็มใบหน้า, ร่างกายมีขนาดสูงใหญ่มากกว่า 2 เมตร ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นรองแม่ทัพภายในกองทัพของดยุกยูริส ซึ่งอาวุธภายในมือของเขาคือค้อนคู่ และถึงแม้ว่าเขาจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอันเดดแต่รูปลักษณ์ภายนอกของอัลเฟร็ดก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยรวมเขายังคงดูเหมือนพ่อบ้านผู้สูงศักดิ์อยู่เช่นเดิมมีเพียงแต่ผิวหนังที่ดำคล้ำขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

“อาจารย์ ในตอนที่พวกเราลงดันเจียนระดับเอ็กซ์เพิร์ทพวกเราก็เกือบจะแพ้ให้กับอัลเฟร็ดมาครั้งหนึ่งแล้ว บอสตัวนี้มีสกิล 4 แบบ สกิลแรกคือการเพิ่มความเสียหาย 100% และลดประสิทธิภาพในการฟื้นฟูของเป้าหมายลง 50%”

“สกิลที่ 2 คือการอัญเชิญวิญญาณรับใช้ ซึ่งวิญญาณรับใช้พวกนี้จะไม่สนใจสกิลดึงดูดของผมเลยแม้แต่น้อย หากเราไม่รีบกำจัดพวกมันลงไปจำนวนของพวกมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกมันก็ยังมีพลังโจมตีสูงมากถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสกิลที่น่ารำคาญมากเลยทีเดียว”

“สกิลที่ 3 คือการปล่อยพิษแบบสุ่มเข้าใส่ผู้เล่นคนหนึ่งในรัศมี คนที่ติดพิษจะเสียเลือดวินาทีละ 80 หน่วยเป็นเวลา 5 วินาที ยิ่งไปกว่านั้นมันยังปล่อยสกิลนี้ควบคู่กับสกิลแรกทำให้นักบวชภายในทีมทำงานได้ลำบากมาก เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะโฟกัสการฮีลไปที่ใครก่อนดี”

“สกิลที่ 4 คือการฮีลตัวเอง ซึ่งทุกครั้งที่บอสเสียเลือดเกิน 10% มันจะใช้สกิลฮีลตัวเองขึ้นมา 1 ครั้ง” ชิงเฟิงอธิบายความยากลำบากที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับบอสในครั้งก่อน

“สิ่งที่ยากที่สุดในการเผชิญหน้ากับบอสตัวนี้คือสกิลปล่อยพิษ ตอนนี้พวกเราลงดันเจียนระดับอีปิค พิษของมันน่าจะทำให้เราเสียเลือดประมาณวินาทีละ 120 หน่วย ด้วยการฟื้นฟูจากนักบวชภายในทีมของเราตอนนี้มันก็อาจจะยังไม่เพียงพอ พวกเราควรจะเปลี่ยนนักบวชเข้ามาภายในทีมเพิ่มดีไหม?” ฉือมู่ถาม

พลังเวทของนักบวชภายในทีมอยู่ที่ประมาณ 70 หน่วยและถึงแม้มันจะรวมกับพลังเวทพื้นฐานของสกิลฮีลแล้ว แต่พวกเขาก็สามารถใช้สกิลฟื้นฟูได้ครั้งละประมาณ 90 หน่วยเท่านั้น อย่างไรก็ตามการโจมตีด้วยค้อนคู่ของอัลเฟร็ดสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า 400 หน่วย ซึ่งมันก็หมายความว่านักบวชจำเป็นจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดไปด้วยการรักษาชิงเฟิง เพื่อไม่ให้ตัวแทงค์ของพวกเขาเสียชีวิตลง

อย่างไรก็ตามหากในระหว่างนั้นอัลเฟร็ดใช้สกิลปล่อยพิษออกมา ผู้เล่นที่ไม่ใช่อาชีพสายป้องกันคนอื่น ๆ ก็จะต้องเสียชีวิตลงไปอย่างแน่นอน

หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาก็คงจะไม่กล้าแตะต้องบอสตัวนี้เลย เพราะถ้าหากนักบวชภายในทีมน้อยเกินไป พวกเขาก็จะไม่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตของสมาชิกภายในทีมได้ทัน อย่างไรก็ตามการเพิ่มนักบวชเข้ามาเป็นจำนวนมากก็หมายถึงการนำผู้เล่นสายโจมตีออกไป และถ้าหากว่าความเสียหายที่พวกเขาทำได้มีไม่มากพอ มันก็หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถฆ่าบอสได้เหมือนกัน

แต่ในตอนนี้พวกเขามีนักเวทที่สามารถสร้างความเสียหายได้สูงมากอย่างลู่หยางอยู่ในทีมแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถสับเปลี่ยนผู้เล่นบางส่วนเพื่อนำนักบวชเข้ามาเพิ่มได้

ลั่วซืออวี่และซิลเวอร์ไลท์แดนซ์ต่างก็แสดงสีหน้าลำบากใจ แต่พวกเธอก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพียงแค่พวกเธอไม่อยากให้ลูกน้องของตัวเองถูกเปลี่ยนตัวออกไป

“ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนตัวหรอก ผมก็มีสกิลฮีลเหมือนกัน” ลู่หยางกล่าว

“หา? นายฮีลได้ด้วยเหรอ?” ลั่วซืออวี่ถามอย่างประหลาดใจ และแน่นอนว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ภายในทีมก็กำลังมองไปที่ลู่หยางอย่างไม่อยากจะเชื่อด้วยเช่นกัน

“น้องชายถามจริง ๆ เถอะว่านายได้อาชีพลับมาหรือเปล่า?” ฉือมู่ถาม

“ไม่ใช่ครับ”

“แล้วทำไมคุณถึงมีสกิลฮีลได้ล่ะ?” หัวหน้านักบวชที่มีชื่อว่าดิสพลินถาม

ลู่หยางยักไหล่ ก่อนที่เขาจะยกนิ้วที่สวมแหวนขึ้นมาโชว์

“ลูกน้องคนหนึ่งให้แหวนวงนี้ผมมา มันทำให้ผมสามารถใช้สกิลฮีลเลเวล 1 ได้ ตอนนี้ผมมีพลังเวทอยู่ 247 หน่วย เอาเป็นว่าผมคอยดูแลตัวแทงค์คนเดียวก็น่าจะได้นะ”

ทุกคน: “...”

พวกซิลเวอร์วูฟแทบที่จะกระอักเลือดออกมาจากปาก เมื่อได้ยินว่านักเวทคนนี้มีพลังเวทสูงถึง 247 หน่วย

นี่พวกเขายังเล่นเกมเดียวกันอยู่ไหม?

“อาจารย์บอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าทำไมคุณถึงมีพลังเวทสูงขนาดนั้น?” ลั่วซืออวี่เดินเข้ามาถามด้วยแววตาอันออดอ้อน

ซิลเวอร์ไลท์แดนซ์และผู้เล่นสายเวทคนอื่น ๆ ก็กำลังรอฟังคำตอบจากลู่หยางด้วยเช่นกัน

“มันเกี่ยวกับภารกิจลับที่ผมบังเอิญได้รับมา” ลู่หยางตอบพร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก

“ภารกิจลับ?” ทุกคนต่างก็อุทานด้วยดวงตาอันเป็นประกาย เพราะการพูดถึงภารกิจลับมันก็มักจะตามมาด้วยของรางวัลมหาศาล

“ใช่ ผมได้ภารกิจรับจากผู้อาวุโสคนหนึ่งภายในเมือง คุณตาคนนั้นบอกว่าผมต้องห้ามบอกความลับกับคนที่ชื่อว่าลั่วซืออวี่อย่างเด็ดขาด” ลู่หยางกล่าวด้วยท่าทางที่จริงจัง

“...” ทุกคนอึ้ง

ลั่วซืออวี่รู้สึกอับอายจนหน้าแดง ก่อนที่เธอจะจ้องมองไปยังลู่หยางด้วยความไม่พอใจ

“นี่นายกล้าหลอกฉันงั้นเหรอ!”

ทุกคนต่างก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างสนุกสนาน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลั่วซืออวี่แสดงปฏิกิริยาแบบนี้ ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังโกรธอยู่จริง ๆ

ลู่หยางส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เขาจะแอบส่งข้อความไปหาหญิงสาว

เมื่อลั่วซืออวี่ได้เห็นข้อความจากลู่หยาง เธอก็แสดงท่าทางมึนงงออกมาชั่วขณะก่อนที่เธอจะพูดว่า

“ช่างเถอะ! วันนี้ฉันไม่เอาเรื่องกับนายก็ได้”

เหตุการณ์นี้ทำให้พวกชิงเฟิงค่อนข้างที่จะแปลกใจ เพราะโดยปกติลั่วซืออวี่ขึ้นชื่อเรื่องความซุกซนและความเจ้าเล่ห์ แต่ในตอนนี้ทั้ง ๆ ที่เธอโดนแกล้งแต่เธอกลับเลือกที่จะไม่ตอบโต้

“อาจารย์ คุณนี่เป็นไอดอลของผมจริง ๆ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง” ชิงเฟิงถาม

“สาวสวยมักจะใจกว้างเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พวกเราไปตีมอนสเตอร์ต่อกันเถอะ” ลู่หยางพูดเปลี่ยนเรื่อง

ความจริงแล้วลู่หยางแอบบอกวิธีผ่านภารกิจลับให้กับลั่วซืออวี่ ซึ่งภารกิจนั้นมีของรางวัลล้ำค่ามากพอสมควร ท้ายที่สุดในชาติก่อนแม้หญิงสาวคนนี้จะอยู่ภายใต้คำสั่งของฉือมู่ แต่เธอก็เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ลู่หยางเอาไว้และแน่นอนว่าเธอก็เคยแกล้งลู่หยางเอาไว้ด้วยเช่นกัน

สาเหตุที่ชายหนุ่มระวังลั่วซืออวี่ก็เพราะว่าในครั้งนั้นเขาถูกเธอแกล้งจนหงุดหงิด การแกล้งเธอกลับในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการแก้แค้นกับตัวเธอในชาติก่อน ส่วนการบอกภารกิจลับก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เธอเคยหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้กับเขา

เต๊าะสาวเก่งจริง ๆ พ่อคู๊ณณณณ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด