บทที่ 89 ยอมรับจากใจจริง
บทที่ 89 ยอมรับจากใจจริง
ซิลเวอร์วูฟยืนอยู่กับที่อย่างอึดอัด เพราะเขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่เคยเป็นพันธมิตรทั้งสองจะทรยศต่อเขาอย่างรวดเร็วขนาดนี้
เมื่อชิงเฟิงสังเกตเห็นถึงปัญหา เขาจึงพยายามพูดออกไปเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“ตอนนี้พวกเราไปสู้กับบอสกันก่อนดีไหม? ไหน ๆ ทุกคนก็กำลังมีไฟกันแล้วบางทีมันอาจจะช่วยให้เราสู้บอสง่ายขึ้นก็ได้นะ”
“หลังจากนี้ให้น้องชายลู่หยางเป็นผู้นำทีมก็แล้วกัน พวกเราให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะบอสตัวนี้ให้ได้” ฉือมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากได้เห็นฝีมือการต่อสู้มันก็ไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่จะให้ลู่หยางเป็นผู้นำทีมอีกต่อไป นอกจากนี้ลั่วซืออวี่และซิลเวอร์ไลท์แดนซ์ก็ยังชื่นชมชายหนุ่มเป็นอย่างมาก เพราะอย่างน้อยพวกเธอก็ไม่สามารถที่จะทำให้ซิลเวอร์วูฟหมดหนทางแบบนี้ได้ ส่วนทางด้านลอร์ดเดสทรอยเยอร์ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เมื่อไม่มีคนสนับสนุนเขาจึงทำได้เพียงแต่พยักหน้ายอมรับ
“ได้ครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้พวกเราชนะบอสตัวนี้ให้ได้ แต่ผมขอพูดอะไรไว้อย่างหนึ่งว่าถ้าจะมีข้อโต้แย้งค่อยออกมาพูดนอกดันเจียนแต่ตอนอยู่ในดันเจียนทุกคนจะต้องฟังคำสั่งของผม” ลู่หยางกล่าว
ทุกคนพยักหน้ารับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ขณะที่ลั่วซืออวี่และซิลเวอร์ไลท์แดนซ์กำลังมองลู่หยางด้วยแววตาอันเป็นประกายมากยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มเริ่มจะทนสายตาของหญิงสาวทั้งสองคนนี้ไม่ไหว เขาจึงเปลี่ยนเรื่องหันไปถามฉือมู่ขึ้นมาว่า
“ตอนนี้พวกคุณลงดันเจียนไปได้ถึงไหนกันแล้ว?”
“พวกเราไปถึงบอสตัวแรกแล้ว ส่วนมอนสเตอร์ก่อนหน้านั้นก็ถูกพวกเราจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา” ฉือมู่ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปหาบอสตัวแรกกันเลย ระหว่างทางคุณช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยว่าก่อนหน้านี้มันมีปัญหาติดขัดที่ตรงไหน?” ลู่หยางกล่าว
“อือ” ฉือมู่พยักหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายปัญหาระหว่างการตีบอสตัวแรกให้ลู่หยางฟัง โดยบอสตัวนี้มีเงื่อนไขว่าถ้าพวกเขาไม่สามารถฆ่ามันได้ภายใน 5 นาที บอสจะทำการปลดปล่อยการโจมตีออกมาทางหน้าจอเพื่อทำการสังหารทุกคนภายในทีม
ลู่หยางเปิดดูหน้าต่างข้อมูลทีม ก่อนจะได้พบว่าภายในทีมมีนักเวทไฟอยู่ทั้งหมด 10 คน
“มีนักเวทไฟอยู่เยอะขนาดนี้น่าจะผ่านไปได้ง่าย ๆ” ลู่หยางกล่าว
“สาเหตุที่ฉันเชิญนายมาก็เพราะพวกเรามีนักเวทไฟเยอะแต่ไม่มีใครมีสกิลคอมบัสชันเหมือนน้องชายสักคน นายได้สกิลนี้มาจากไหนงั้นเหรอ ทำไมมันถึงหาซื้อได้ยากขนาดนั้น?” ฉือมู่ถาม
ลู่หยางอดที่จะเผยรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรหนังสือสกิลภายในเกมก็เป็นไอเท็มที่หาได้ยากมากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหนังสือสกิลคอมบัสชันยิ่งหาได้ยากมากไปใหญ่ เพราะมันต้องดรอปลงมาจากโกลเดนเดรคในแผนที่เลเวล 10 ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็โชคดีที่สามารถฆ่ามันได้สำเร็จ สำหรับผู้เล่นคนอื่น ๆ ในเวลานี้โอกาสที่จะได้สกิลคอมบัสชันมาจึงแทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลย
“มันเป็นของรางวัลจากภารกิจลับแม้แต่ตัวผมก็บังเอิญได้รับภารกิจนี้มาด้วยเหมือนกัน” ลู่หยางเลี่ยงตอบ
ตอนนี้พวกเขามาถึงหน้าบอสแล้วโดยมันเป็นนักรบวิญญาณสวมชุดเกราะเต็มตัวและถือดาบใหญ่สองมือ
บารอนแคนท์
เลเวล 10
พลังชีวิต 150,000/150,000
ปราสาทรัตติกาลนิรันดร์แต่เดิมแล้วมันเคยเป็นปราสาทของในดยุกยูริส แห่งจักรวรรดิฟาลส์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเมืองเซนต์กอลล์ น่าเสียดายที่ปราสาทแห่งนี้ถูกโจมตีในช่วงสงคราม ดยุกยูริสและทหารบริเวณปราสาทจึงถูกสังหารลงไปทั้งหมด
หลังจากดยุกยูริสเสียชีวิต เขาและทหารก็ถูกชุบชีวิตขึ้นมาในภายหลัง ตามปกติแล้วพวกเขาควรจะยกกองกำลังไปช่วยจักรวรรดิฟาลส์ แต่น่าเสียดายตอนที่พวกเขาตื่นขึ้นมาจักรวรรดิฟาลส์ก็ถูกพระราชากอลล์บุกโจมตีจนล่มสลายลงไปแล้ว เมื่อดินแดนมีการเปลี่ยนราชวงศ์ปราสาทรัตติกาลนิรันดร์จึงกลายเป็นสถานที่ที่ถูกลืมอยู่ในป่าเขา
บารอนแคนท์ซึ่งเป็นบอสตัวแรกของดันเจียนแห่งนี้แต่เดิมก็เคยเป็นหัวหน้าทหารม้าของในดยุกยูริสเมื่อก่อน บอสตัวนี้ไม่ได้มีสกิลพิเศษอะไรมากนักขอแค่ผู้เล่นรุมโจมตีไปสักพักก็สามารถที่จะฆ่าบอสลงไปได้ง่าย ๆ แล้ว
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ชิงเฟิงรอฟังคำสั่งจากฉันแล้วค่อยเข้าไปชนบอสเอาไว้” ลู่หยางตะโกนสั่ง
“เราไม่จำเป็นจะต้องยืนตำแหน่งอะไรกันก่อนเหรอ?” ลั่วซืออวี่ถามด้วยความประหลาดใจ
“บอสตัวนี้ง่ายมากแค่ทุกคนฟังคำสั่งจากผมแล้วโจมตีก็พอ” ลู่หยางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
ทุกคน: “...”
ลั่วซืออวี่ฟังดูรู้สึกเหมือนลู่หยางไม่ได้ให้ความสำคัญกับบอสตัวนี้เลย แต่บอสตัวที่อีกฝ่ายบอกว่าง่าย ๆ กวาดล้างปาร์ตี้ของพวกเธอไปได้แล้วถึงสี่ครั้ง อย่างไรก็ตามทุกคนก็เคยรับปากให้ลู่หยางเป็นผู้นำ มันจึงไม่มีใครคิดจะคัดค้านอะไรออกมา
ทุกคนต่างก็มีความคิดคล้าย ๆ กัน พวกเขาจึงมองไปที่ลู่หยางด้วยแววตาไม่พอใจเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นหัวหน้าทีมคนไหนไม่ให้ความใส่ใจในระหว่างการเผชิญหน้ากับบอสมาก่อน
อย่างไรก็ตามชิงเฟิงกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าหากว่ามันมีอะไรยากจริง ๆ ลู่หยางคงไม่พูดแบบนี้ออกมาเป็นอันขาด
“อาจารย์ ผมต้องอ้อมไปดึงบอสด้านหลังหรือเปล่า?” ชิงเฟิงถาม
“อือ ถ้าคุณไม่อ้อมไปด้านหลังบอส นักเวทจะโจมตีได้ลำบาก นักบวชทั้งห้าคนคอยโฟกัสแค่ชิงเฟิงคนเดียว คนอื่น ๆ ไม่จำเป็นจะต้องสนใจ เอาล่ะชิงเฟิงเข้าไปดึงบอสเอาไว้ได้แล้ว” ลู่หยางสั่ง
“ได้ครับ” ชิงเฟิงใช้สกิลชาร์จเข้าใส่บอสอย่างฉับพลัน ก่อนที่เขาจะพลิกตัวไปอยู่อีกด้านเพื่อเปิดโอกาสให้นักเวทจู่โจมเข้าใส่บอสได้อย่างเต็มที่
“ทุกคนยังไม่ต้องรีบโจมตีรอให้ชิงเฟิงเจาะเกราะบอสไป 3 ชั้นก่อน นักบวชจำเอาไว้ให้ดี ๆ คอยโฟกัสแค่ชิงเฟิงคนเดียวเท่านั้นไม่ต้องสนใจคนอื่น” ลู่หยางตะโกนย้ำ
คำสั่งของลู่หยางเป็นเพียงเรื่องพื้นฐานที่พวกซิลเวอร์วูฟก็รู้ดี หลังจากชิงเฟิงใช้สกิลเจาะเกราะบอสไปแล้วสามชั้น เหล่านักรบระยะประชิดในส่วนที่เหลือจึงเริ่มพุ่งเข้าไปปะทะกับบอสด้วยเหมือนกัน
“นักเวททุกคนรอก่อน รอฟังคำสั่งจากฉันแล้วค่อยโจมตี ชิงฟังคอยใช้สกิลดึงดูดความเกลียดชังต่อไป” ลู่หยางสั่งต่อ
“ครับ”
ชิงเฟิงเป็นตัวแทงค์หลักของกิลด์ เขาจึงมีสกิลที่เอาไว้ดึงดูดความเกลียดชังถึงหกสกิล เมื่อไหร่ก็ตามที่สกิลพวกนี้ถูกปล่อยออกมาจนครบ ในเวลานั้นความเกลียดชังของบอสก็จะถูกเพิ่มขึ้นจนเต็มเปี่ยม
เมื่อนักเวทภายในทีมเห็นว่าลู่หยางยังไม่เริ่มสั่งการทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปนานกว่า 30 วินาที พวกเขาก็เริ่มเกิดอาการร้อนใจ
“อาจารย์ พวกเรายังไม่ต้องโจมตีอีกงั้นเหรอ? แบบนี้มันจะไม่ทันเวลาเอานะ” ลั่วซืออวี่กล่าว
ลู่หยางยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามแต่รอให้ชิงเฟิงใช้สกิลสร้างความเกลียดชังกับบอสเป็นสกิลที่ 3 เขาจึงเริ่มใช้สกิลคอมบัสชันเข้าใส่บอส
“นักเวททุกคนโจมตีได้ ชิงเฟิงคอยดูให้ดี ๆ ว่ายังดึงความเกลียดชังของบอสเอาไว้ไหวไหม?”
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่…” ชิงเฟิงยังพูดไม่ทันจบมันก็มีลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ศีรษะบอสอย่างแม่นยำ
-928 (คริติคอล)
“โอ้โห! อาจารย์เบา ๆ มือหน่อย ความเสียหายของคุณมันจะสูงเกินไปแล้ว” ชิงเฟิงรีบตะโกน
พวกซิลเวอร์วูฟที่กำลังโจมตีอย่างสุดความสามารถกำลังสงสัยว่าทำไมลู่หยางถึงยังไม่เริ่มโจมตีเสียที แต่พอพวกเขาเห็นตัวเลขความเสียหายที่ปรากฏขึ้นมามันก็ทำให้ทุกคนแอบยอมรับภายในใจ
ท้ายที่สุดพลังชีวิตของซิลเวอร์วูฟก็มีอยู่ไม่ถึง 500 หน่วยเลยด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าตอนที่ต่อสู้กัน ลู่หยางพยายามออมมือให้กับเขาแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงอีกฝ่ายไม่จำเป็นจะต้องหลบการใช้สกิลของเขาด้วยซ้ำ เพียงแค่การปล่อยไฟร์บอลสวนออกมามันก็มากพอที่จะฆ่าเขาได้แล้ว การรับรู้ความจริงในเรื่องนี้มันก็ยิ่งทำให้ซิลเวอร์วูฟรู้สึกละอายใจมากขึ้นไปอีก
ลั่วซืออวี่และซิลเวอร์ไลท์แดนซ์หันมาสบตากันด้วยความประหลาดใจ เพราะพวกเธอไม่คิดเลยว่าลู่หยางจะสามารถสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้
ความจริงลู่หยางยังสามารถรีดความเสียหายได้มากกว่านี้อีก เพราะเมื่อกี้เขาใช้เพียงแค่ไฟร์บอลในการโจมตีไม่ได้ใช้สกิลเบลซซิงเบิร์สเหมือนกับที่ได้ใช้ประจำ และเพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ ได้รู้ว่าเขาสามารถปล่อยเวทมนตร์ออกมาได้อย่างฉับพลัน เขาจึงตั้งใจท่องคาถาออกมาช้า ๆ เพื่อโจมตีคล้ายกับนักเวททั่ว ๆ ไป
“ชิงเฟิงไม่จำเป็นจะต้องกังวลความเสียหายของฉัน ฉันมีอุปกรณ์ช่วยลดความเกลียดชังอยู่ คนอื่นอย่ามัวแต่ยืนอยู่เฉย ๆ รีบโจมตีบอสเร็วเข้า” ลู่หยางตะโกนสั่ง
ลั่วซืออวี่และนักเวทคนอื่น ๆ แสดงสีหน้าเขินอายออกมาเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้พวกเธอมัวแต่ยืนตกตะลึงจนลืมโจมตีตามคำสั่ง
นักเวททั้ง 10 ต่างก็ปล่อยไฟร์บอลออกมาพร้อมกันทำให้ในพริบตาลูกไฟทั้ง 10 ลูกก็พุ่งเข้าใส่บริเวณด้านหลังบอส
-257, -254, -251, …
เมื่อความเสียหายปรากฏขึ้นมามากกว่า 250 หน่วย มันก็ทำให้พวกลั่วซืออวี่ตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมความเสียหายของพวกเราถึงสูงมากขนาดนี้?” ลั่วซืออวี่ถาม
“มันเป็นผลมาจากสกิลคอมบัสชันของฉัน” ลู่หยางตอบก่อนจะตะโกนออกไปว่า
“ชิงเฟิงถ้ารู้สึกว่าควบคุมความเกลียดชังเอาไว้ไม่ได้รีบตะโกนบอกได้เลยนะ ฉันจะสั่งให้ทุกคนหยุดโจมตี”
“ครับ” ชิงเฟิงตอบ
ตอนนี้ทุกคนไม่กังวลเรื่องการเอาชนะบอสอีกต่อไปแล้วและพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฉือมู่ถึงได้เชิญลู่หยางมาเป็นผู้นำทีม เพราะมันไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงความเสียหายที่อีกฝ่ายทำได้เลย เพียงแค่สกิลคอมบัสชันเพียงสกิลเดียวก็สามารถเพิ่มความเสียหายให้กับนักเวทไฟภายในทีมได้เป็นสองเท่า หรือมันอาจจะพูดได้เลยว่าในตอนนี้นักเวทภายในทีมเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 10 คนเป็น 20 คน
ยอมรับพี่หยางของเราอย่างถ้วนหน้า 5555