บทที่ 73: ทำไม "มาร์ค I" ที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบแข็งจึงไม่สามารถติดตั้งปืนใหญ่
บทที่ 73: ทำไม "มาร์ค I" ที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบแข็งจึงไม่สามารถติดตั้งปืนใหญ่
ในบทก่อนหน้า ผมได้เขียนถึงกรณีที่รถถัง "มาร์ค I" ไม่ได้ติดตั้งปืนใหญ่ ซึ่งมีผู้อ่านหลายท่านสงสัย ผมขอชี้แจงดังนี้
ก่อนจะพูดถึงปืนใหญ่ประจำรถถัง เราลองเปรียบเทียบกับปืนกลก่อน:
หากตั้งขาทรายปืนกลบนพื้นราบ พลปืนสามารถหมุนปืนเล็งเป้าหมายได้อย่างคล่องตัวทั้งซ้าย-ขวา และบน-ล่าง
แต่ถ้าขาทรายปืนกลเอียง ด้านหนึ่งสูงอีกด้านต่ำล่ะ? เมื่อหมุนซ้าย-ขวา ลำกล้องก็จะชี้ขึ้นฟ้าหรือลงพื้น แม้แต่การปรับขึ้น-ลงก็เช่นกัน จะไม่สามารถเล็งไปยังข้าศึกที่อยู่ตรงหน้าได้ แม้จะอยู่ในระยะประชิดก็ตาม
รถถัง "มาร์ค I" เป็นรถถังรุ่นแรก ใช้ระบบกันสะเทือนแบบแข็ง หมายความว่าไม่มีระบบกันสะเทือน โดยล้อรับน้ำหนักเชื่อมต่อกับตัวถังโดยตรง
ปัญหาร้ายแรงที่ตามมาคือ: แค่มีก้อนหินนูนขึ้นมาหรือพื้นขรุขระเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ตัวถังรถถังเอียงด้านหนึ่งสูงอีกด้านต่ำ
ในสภาพเช่นนี้ ปืนใหญ่จะไม่สามารถเล็งเป้าหมายได้ แม้แต่เป้าหมายในระยะประชิดก็ยังยิงไม่โดน
เพราะตัวถังรถถังไม่อยู่ในแนวระดับ ทำให้ปืนใหญ่ไม่อยู่ในแนวระดับด้วย อีกทั้งพลปืนที่อยู่ในรถถังที่เอียงก็มองผ่านช่องเล็งขนาดเล็ก จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าปืนอยู่ในแนวระดับหรือไม่
ทำให้ปืนใหญ่กลายเป็นแค่ของประดับ นอกจากไม่สามารถเล็งและยิงโดนเป้าหมายแล้ว ยังสร้างปัญหาอื่นตามมา เช่น เมื่อยิงปืน แก๊สพิษจะเต็มห้องรถถังและระบายออกไม่ได้
ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขบางส่วนในรถถังเรโนลต์ ที่ใช้ระบบกันสะเทือนแนวนอน พูดง่ายๆ คือใช้โครงสร้างสามเหลี่ยมเปลี่ยนแรงในแนวขึ้น-ลงให้เป็นแรงในแนวนอน
เมื่อเจอก้อนหินนูน ตีนตะขาบของรถถังเรโนลต์จะถูกดัน ระบบกันสะเทือนแนวนอนจะทำให้ล้อรับน้ำหนักแยกออกในแนวนอน ก้อนหินจะแทรกเข้าไประหว่างล้อรับน้ำหนัก ทำให้ตัวถังรถถังยังคงอยู่ในแนวระดับ
สรุป: รถถัง "มาร์ค I" ที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบแข็ง แม้จอดนิ่งก็ไม่สามารถเล็งปืนใหญ่ได้ เว้นแต่จะอยู่บนพื้นราบสมบูรณ์ แค่มีก้อนหินดันตีนตะขาบก็ใช้ไม่ได้แล้ว
รถถังเรโนลต์ที่ใช้ระบบกันสะเทือนแนวนอนสามารถจอดเล็งเป้าหมายได้ เพราะระบบกันสะเทือนมีความยืดหยุ่น หากพื้นนูน ล้อรับน้ำหนักจะยุบเข้า หากพื้นเว้า ล้อรับน้ำหนักจะยื่นออก ทำให้ตีนตะขาบสัมผัสพื้นในลักษณะที่รักษาตัวถังให้อยู่ในแนวระดับ แต่ต้องไม่ใช่พื้นขรุขระเกินไป อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถยิงขณะเคลื่อนที่ได้
รถถังในสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่ไม่สามารถยิงขณะเคลื่อนที่ได้ ยกเว้นสองรุ่น คือรถถังมาทิลดาของอังกฤษ และรถถังเชอร์แมนของสหรัฐฯ
มาทิลดาทำได้เพราะมีล้อรับน้ำหนักจำนวนมากและความเร็วต่ำ ทำให้ตัวถังค่อนข้างนิ่งขณะเคลื่อนที่ จึงยิงขณะเคลื่อนที่ได้แม่นพอสมควร
เชอร์แมนมีระบบรักษาเสถียรภาพในแนวดิ่ง ที่ทำให้ลำกล้องปืนคงที่ในระดับความสูงสัมบูรณ์ จึงยิงขณะเคลื่อนที่ได้แม่นพอสมควรเช่นกัน
การยิงขณะเคลื่อนที่อย่างแท้จริงเกิดขึ้นในรถถังยุคปัจจุบัน ที่มีระบบรักษาเสถียรภาพทั้งแนวดิ่งและแนวนอน หรือที่เรียกว่าระบบรักษาเสถียรภาพสองแกน
ด้วยระบบรักษาเสถียรภาพสองแกนนี้ ไม่ว่าตัวถังจะเคลื่อนไหวหรือเลี้ยวอย่างไร ลำกล้องปืนจะสามารถรักษาตำแหน่งสัมบูรณ์ไว้ได้ จนสามารถทำการทดสอบวางแก้วเบียร์หรือประแจบนปลายกระบอกปืนได้...
หากย้อนกลับไปมองรถถัง "มาร์ค I" ผู้คนในยุคนั้นไม่ได้เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย พวกเขาเพียงแค่คิดจะนำปืนใหญ่มาติดตั้งบนรถถัง ขอแค่ยิงได้ก็พอ จึงเกิดการผสมผสานที่แปลกประหลาดระหว่างระบบกันสะเทือนแบบแข็งกับปืนใหญ่หลักสองกระบอก
ในการรบจริง แม้จะมีบันทึกการยิงโดนเป้าหมายของรถถังที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบแข็ง แต่ส่วนใหญ่เป็นการยิงระยะประชิด อาศัยความรู้สึกและโชค กรณีพิเศษเหล่านี้ไม่สามารถนำมาอ้างอิงอะไรได้
ตัวเอกรู้ว่าระบบกันสะเทือนแบบแข็งไม่เหมาะกับการติดตั้งปืนใหญ่ จึงเลือกใช้ปืนกลที่ติดตั้งกระจายทั่วตัวถังเป็นอาวุธหลักแทน
(จบบท)
[หมายเหตุผู้แปล: บทนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรมทางวิศวกรรมในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะระบบกันสะเทือนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการยิงของรถถัง เป็นการอธิบายที่ละเอียดและเข้าใจง่าย ผ่านการเปรียบเทียบกับสิ่งที่คุ้นเคยอย่างขาทรายปืนกล]