บทที่ 360 ศาลาหินลึกลับ ความลับของแคว้นอู๋
ในดินแดนต้าอวี่ หลังจากการกลับมาของสวี่เหยียน ทำให้ความแข็งแกร่งของต้าอวี่ต้องก้าวไปอีกขั้นอย่างแน่นอน อีกทั้งเส้นทางข้างหน้ายังเปิดกว้าง นานวันเข้าความแข็งแกร่งของต้าอวี่ ย่อมไม่ด้อยไปกว่าเขตวิญญาณอย่างแน่นอน
เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างมีความมั่นใจ และซ่อนความมุ่งมั่นอยู่ในใจ
เมื่อถึงเวลาที่ต้าอวี่แข็งแกร่งขึ้น จะทำให้นักยุทธ์ในเขตวิญญาณรู้ว่า ดินแดนต้าอวี่ไม่อาจถูกดูหมิ่นได้!
จวนอ๋องตู้ ตู้หยู่หยิงกลับมาพร้อมกับชุ่ยเอ๋อ
ที่นี่ ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ยังเป็นบ้านของนาง บิดาและปู่ของนาง ล้วนรักใคร่นางอย่างมาก
อ๋องตู้ดีใจยิ่งนัก แม้เขาจะมีสถานะโดดเด่นในต้าอวี่ แต่ความสามารถของเขาก็ไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม ทั้งหมดนี้ก็เพราะสายสัมพันธ์ของตู้หยู่หยิงเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อตู้หยู่หยิงกลับมา แถมนำสมบัติติดตัวกลับมาด้วย และยังนำทางฝึกฝนที่สวี่เหยียนได้ชี้แนะแนวทางมาให้ ซึ่งนั่นหมายถึงสถานะของจวนอ๋องตู้จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นไปอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้ผู้แข็งแกร่งแห่งต้าอวี่เกือบทุกคนต่างรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตู้หยู่หยิงกับสวี่เหยียน
มารดาของสวี่เหยียนก็เห็นนางเป็นลูกสะใภ้ไปแล้ว
ทุกคนต่างยุ่งกันมาก แม้กระทั่งเยวี่ยเอ๋อร์และไฉหลิงเอ๋อร์ ก็สนใจออกเดินทางเที่ยวชมตามสถานที่ต่าง ๆ ในดินแดนต้าอวี่ เพื่อสัมผัสถึงวัฒนธรรมและบรรยากาศที่แตกต่างระหว่างดินแดนภายในและเขตวิญญาณ
ในขณะที่หลี่เซวียน เดินอยู่เหนือท้องฟ้าดินแดนต้าอวี่ ทุกครั้งที่เขาไปถึงที่ใด ก็มักจะขยับเขยื้อนกฎฟ้าดิน หรือแม้กระทั่งเรียกใช้พลังแห่งกฎของสวรรค์และโลก
เขาได้เพิ่มพลังชีวิตแห่งฟ้าดินให้กับต้าอวี่ และทำให้พลังของกฎฟ้าดินยิ่งมีชีวิตชีวาขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่พลังวิญญาณของต้าอวี่มีน้อยเกินไป
เพื่อไม่ให้เกิดความสั่นสะเทือนมากเกินไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นไปอย่างช้า ๆ พลังวิญญาณจะไม่เพิ่มขึ้นในทันที แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ความเข้มข้นของพลังวิญญาณย่อมไม่ด้อยไปกว่าของเขตวิญญาณ
"ช่างเป็นงานที่เหนื่อยจริง ๆ!"
หลี่เซวียนถอนหายใจเบา ๆ
แม้แต่ในความสามารถของเขา การทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ลำบาก
"เมื่อพลังวิญญาณของต้าอวี่เพิ่มขึ้น ความเร็วในการฝึกฝนจนถึงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะเพิ่มขึ้น ข้าต้องการดูว่า เหล่านักยุทธ์ต้าอวี่จะก่อเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง"
"หากมีนักยุทธ์ที่เข้าสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น จะส่งผลสะท้อนอะไรกลับมาบ้าง"
หลี่เซวียนแสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
แน่นอนว่า ด้วยแนวโน้มการพัฒนาของต้าอวี่ในปัจจุบัน ผู้ที่มีโอกาสเข้าสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกนั้นคงจะเป็นสวี่จวินเหอ ส่วนคนที่อาจตามมาเป็นคนต่อไปก็คือโข่วรั่วจื้อ
ส่วนผู้ที่ไม่ใช่นักยุทธ์สายตรงของต้าอวี่ แม้จะเกิดพลังเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก็อาจจะเป็นเทพปลอม ซึ่งเขาได้ตัดทิ้งไปจากการพิจารณาแล้ว
"ต้าอวี่ยังมีเหล่าเทียนเจียวอยู่บ้าง ศักยภาพก็ไม่เลว เมื่อพลังวิญญาณเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะเกิดเทียนเจียวก็จะยิ่งมากขึ้น"
จากทิศใต้ไปทิศเหนือ แล้วก็จากทิศเหนือไปทิศตะวันออก หลี่เซวียนเสร็จสิ้นการจัดการ เขาถอนหายใจในใจ "งานที่เหนื่อยแบบนี้ ทำแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว"
งานที่ลำบากแบบนี้ ปกติมักจะเป็นหน้าที่ของศิษย์ แต่เนื่องจากศิษย์ยังมีพลังไม่พอ เขาจึงต้องลงมือทำเอง
...
แคว้นชายแดนอู๋ พระราชวังแห่งแคว้นอู๋
ภายในวังแห่งนั้น ในศาลาหินหลังหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีเสียงพึมพำดังขึ้น
"ใครกันที่กำลังเปลี่ยนแปลงกระแสแห่งฟ้าดิน? ใครกันที่ขยับเขยื้อนกฎแห่งฟ้าดิน ใครกันที่เรียกใช้พลังของกฎ?"
"บริเวณใกล้ชายแดนนี้ มีใครจะมาที่นี่ได้?"
"แย่แล้ว หรือว่าจะเป็นศัตรู? เขามาเพื่อหาข้าหรือ?"
"ไม่ได้ ข้าต้องซ่อนตัว ใช่แล้ว ซ่อนตัว ห้ามให้ใครพบเจอข้าได้ ไม่ได้เด็ดขาด ต้องแกล้งตาย ใช่แล้ว แกล้งตาย!"
"ตราบใดที่ข้าแกล้งตาย ไม่มีใครสามารถหาข้าเจอได้ ทำอย่างนี้แหละ!"
เสียงพึมพำในศาลาหินได้หายไปแล้ว และกลับคืนสู่ความเงียบสงัด
ในพระราชวังของแคว้นอู๋ หนึ่งในสองจักรพรรดิแห่งต้าอวี่ คือ จักรพรรดิอู๋ ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะมีสถานะเป็นเพียงเครื่องหมายเชิงสัญลักษณ์ ไม่มีอำนาจแท้จริงในต้าอวี่ แต่ด้วยความเป็นหนึ่งในสองจักรพรรดิแห่งต้าอวี่ ทำให้เขามีสถานะสูงส่งและสภาภายในต้าอวี่ต้องเคารพเขาตามกฎระเบียบ
กั๋วหรงซาน ซึ่งเป็นผู้ดูแลสภา ในการปฏิบัติต่อจักรพรรดิอู๋และจักรพรรดิฉี ล้วนไม่เคยล้ำเส้น ซึ่งทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเสนอการปลดจักรพรรดิทั้งสองได้
จักรพรรดิอู๋รู้สึกดีต่อกั๋วหรงซาน เขามีสถานะที่สูงส่งและมีอำนาจคำสั่งเด็ดขาด ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่ได้รับการเคารพบูชาในต้าอวี่ ก็ล้วนแต่เชื่อฟังกั๋วหรงซานเพียงผู้เดียว
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น กั๋วหรงซานยังคงมีท่าทีเคารพต่อเขาและจักรพรรดิฉี ไม่หยิ่งยโส และยังคงมีความสุภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมและความเป็นผู้มีศีลธรรมอันสูงส่ง
ไม่ว่าจะเป็นเพราะกั๋วหรงซานต้องการสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้มีคุณธรรม หรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม จักรพรรดิอู๋ล้วนพึงพอใจ
แน่นอนว่า เขากับจักรพรรดิฉี ก็ไม่เคยแสดงท่าทีโอ้อวดในฐานะหนึ่งในสองจักรพรรดิของต้าอวี่ต่อหน้ากั๋วหรงซานเลย
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกฝนวรยุทธ์
ปัจจุบัน จักรพรรดิอู๋เพิ่งจะบรรลุขั้นเชื่อมฟ้าดิน หลังจากที่เสริมความแข็งแกร่งให้มั่นคงแล้ว เขาจึงกลับมายังแคว้นอู๋ที่เคยเป็นบ้านเกิดของเขาอีกครั้ง
ด้วยท่าทีเดินอย่างสบายใจ แหงนหน้าด้วยความภาคภูมิใจ จักรพรรดิอู๋เดินเข้ามายังพระราชวัง และเข้าสู่ศาลาหินหลังนั้น
"ข้า...กลายเป็นนักยุทธ์แล้ว เจ้าแปลกใจหรือไม่?"
จักรพรรดิอู๋ยิ้มด้วยความลำพองใจ
"เจ้าปฏิเสธที่จะถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ข้า ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ตอนนี้ข้ากลายเป็นนักยุทธ์แล้ว มีความแข็งแกร่งมาก เจ้าคิดว่าอย่างไร?"
ภายในศาลาหินกลับเงียบสงบ ไม่มีเสียงลึกลับนั้นปรากฏขึ้น
จักรพรรดิอู๋ขมวดคิ้ว กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า "ออกมา! เจ้าไม่ตายไปแล้วหรือไง?"
แต่ศาลาหินยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมาเป็นเวลานาน
จักรพรรดิอู๋รู้สึกขัดข้องใจ เขามาที่นี่เพื่ออวดและยั่วเย้าเสียงลึกลับนั้น แต่กลับไม่พบอะไรเลยหรือ?
"ไม่ถูกต้องเลย เสียงลึกลับนั้นอยู่มาตลอด ทำไมถึงหายไปอย่างกระทันหัน? หรือว่าตายไปจริง ๆ แล้ว?"
จักรพรรดิอู๋เต็มไปด้วยความสงสัย
ศาลาหินเล็ก ๆ และเสียงลึกลับนั้น เป็นความลับที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์แห่งแคว้นอู๋ มีเพียงจักรพรรดิอู๋ในแต่ละรุ่นเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
"เจ้าคงคิดว่ามันน่าประหลาดใจ กลัวว่าจะถูกข้าหัวเราะเยาะ เลยไม่พูดอะไรออกมา? เจ้าออกมาเถอะ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้าเป็นนักยุทธ์ได้อย่างไร?"
จักรพรรดิอู๋ยังคงไม่ยอมแพ้ กล่าวต่อไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือพยายามยั่วยุอย่างไร ศาลาหินก็ยังคงเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย
"หายไปจริง ๆ แล้วหรือ?"
จักรพรรดิอู๋ขมวดคิ้วเดินออกจากศาลาหินด้วยความสงสัย
"ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเหมือนกัน"
เขาส่ายหัวด้วยความเสียดายที่ไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่จะมาอวด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมาย
หลังจากอยู่ในแคว้นอู๋ไม่กี่วัน จักรพรรดิอู๋ก็กลับไปยังดินแดนต้าอวี่
เมื่อกลับมาถึง ก็ได้ทราบข่าวว่าสวี่เหยียนกลับมาจากเขตวิญญาณแล้ว และดูเหมือนว่าจะมอบโอกาสพิเศษให้กับผู้ที่ได้รับการเคารพบูชา โดยให้ยาล้ำค่าและวัตถุวิญญาณแก่พวกเขา
"แม้ข้าจะเป็นหนึ่งในสองจักรพรรดิแห่งต้าอวี่ มีสถานะสูงส่ง แต่สมบัติเหล่านี้กลับหายากนัก..."
จักรพรรดิอู๋ถอนหายใจเบา ๆ
จะให้เขาเปิดปากขอสมบัติที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝนจากกั๋วหรงซานหรือ?
หากทำเช่นนั้นแล้วกั๋วหรงซานไม่พอใจ คิดว่าเขามีความต้องการมากเกินไป และทำให้เกิดความห่างเหินกัน สถานการณ์คงยากลำบาก
จักรพรรดิอู๋รู้ดีว่า หากเขาต้องการแซงจักรพรรดิฉี มีเพียงการได้รับสมบัติล้ำค่าเท่านั้น
"แลกเปลี่ยน ข้าสามารถใช้ของมาแลกเปลี่ยนได้!"
จักรพรรดิอู๋ดวงตาสว่างไสวขึ้นทันที เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้
แต่แล้วก็ลังเล "ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น เคยอยู่ที่ชายแดนต้าอวี่เป็นเวลาสักพัก เขาจะไม่รู้เรื่องเสียงลึกลับในศาลาหินเล็ก ๆ นั้นได้หรือ?
ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นออกจากชายแดนแล้วไปยังเขตวิญญาณ ตอนนี้เสียงนั้นก็หายไปแล้ว จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่?"
จักรพรรดิอู๋รู้สึกขัดแย้งในใจ
สิ่งที่เขาคิดว่ามีคุณค่าในการแลกเปลี่ยน ก็คือศาลาหินลึกลับนั้นเอง
แต่ถ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นรู้อยู่แล้วว่าศาลาหินนั้นมีอยู่เล่า?
ในขณะนั้น จักรพรรดิอู๋รู้สึกสับสน และไม่สามารถตัดสินใจได้ ทำให้เขารู้สึกกังวลใจ
"เจ้าหนูอู๋ มาสู้กันสักรอบ!"
เสียงของจักรพรรดิฉีดังขึ้นอย่างโอหัง
สองจักรพรรดิแห่งต้าอวี่ จำเป็นต้องมีคนที่แข็งแกร่งกว่า เมื่อว่างไม่มีอะไรทำ ทั้งสองก็มักจะท้าประลองกันเอง แต่ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
"ไม่มีเวลา!"
จักรพรรดิอู๋กำลังเครียดอยู่ จึงปฏิเสธไปทันที
"เจ้ากลัวข้าหรือเปล่า? ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้ว มาสู้กันสักรอบเพื่อให้ข้าสะใจหน่อย!"
จักรพรรดิฉีกลับไม่ยอมแพ้
"หึ ฉีเฒ่า หากไม่ใช่เพราะท่านกั๋วเห็นแก่เจ้าว่าเป็นจักรพรรดิร่วมกันและให้โอกาสพิเศษ เจ้าไม่อาจสู้กับข้าได้ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ!"
(ต่อ)
“หึ ฉีเฒ่า หากไม่ใช่เพราะท่านกั๋วเห็นแก่เจ้าว่าเป็นจักรพรรดิร่วมกันและให้โอกาสพิเศษ เจ้าจะสู้ข้าได้เสมอกันหรือ?”
จักรพรรดิอู๋หัวเราะเยาะ
เมื่อจักรพรรดิฉีต้องการท้าสู้จริง ๆ เช่นนั้นก็สู้กันสักครั้ง เพื่อระบายความเครียดในใจ
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าได้มาด้วยความสามารถของข้าเอง!”
จักรพรรดิฉีกล่าวด้วยความหยิ่งผยอง
สองจักรพรรดิแห่งต้าอวี่ เริ่มการประลองกันกลางลานกว้างของพระราชวัง สำหรับทหารองครักษ์ในพระราชวัง นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นจนชินตาแล้ว
ผลคือ หลังจากการต่อสู้ จักรพรรดิอู๋พ่ายแพ้!
ใบหน้าของเขาบวมช้ำเต็มไปด้วยความสับสน
“ฉีเฒ่า เจ้า...เจ้าเป็นไปได้อย่างไร!”
จักรพรรดิอู๋ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
จักรพรรดิฉียิ้มอย่างภาคภูมิใจ แหงนหน้ากล่าวว่า “ข้า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสวี่เหยียน ครั้งนี้ข้าได้รับคำแนะนำจากสวี่เหยียน และยังได้รับสมบัติล้ำค่าที่เขามอบให้ เจ้าไม่มีทางสู้ข้าได้หรอก!
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นจักรพรรดิแห่งต้าอวี่ที่หนึ่ง!”
จักรพรรดิฉียิ่งใหญ่ใจพองโต เขารู้สึกว่าการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเขาคือการให้สวี่เหยียนเข้ามาชมความงามในวังหลังของเขา
ว่ากันว่า สวี่เหยียนทำเช่นนั้นเพื่อฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่ง
เหตุใดถึงต้องไปฝึกฝนจิตใจในวังหลัง ก็อาจจะบอกได้ว่า พฤติกรรมของคนอัจฉริยะนั้นย่อมแตกต่างจากคนทั่วไปเสมอ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสวี่เหยียนกลับมา จักรพรรดิฉีก็หน้าหนาเข้าไปขอพบ และขณะพูดคุยกันก็ยกย่องสวี่เหยียนว่าในครั้งนั้นที่เขาเข้าวังหลังจิตใจสงบนิ่ง ไม่หลงใหลในความงามใด ๆ
เป้าหมายก็เพื่อขอผลประโยชน์
เมื่อได้รับคำแนะนำและประโยชน์จากสวี่เหยียนแล้ว จักรพรรดิฉีจึงได้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้น และมาเอาชนะจักรพรรดิอู๋
“ฮ่าฮ่า ข้านี่แหละคือจักรพรรดิที่หนึ่งแห่งต้าอวี่ เจ้าเทียบข้าไม่ได้หรอก!”
จักรพรรดิฉีจากไปด้วยความยินดี
จักรพรรดิอู๋รู้สึกไม่ดีเลย ท้ายที่สุดก็กัดฟันตัดสินใจ จะไปหาผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่งเพื่อขอผลประโยชน์!
ต้องเอาศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้ได้!
...
หลี่เซวียนยุ่งมากกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดก็กลับมาที่เกาะชางหลัน นั่งอยู่บนเก้าอี้และเขียนเรื่องราวการฝึกฝนวรยุทธ์ของตนเองต่อไป
คัมภีร์วิชาศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ในระหว่างการจัดทำ
และการฝึกฝนวรยุทธ์ขั้นต่อ ๆ ไปก็ยังคงได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
เวลาที่สะพานเทพจะเปิดใช้งานก็กำลังใกล้เข้ามา นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เขาจะต้องออกจากที่นี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
การจากไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะได้กลับมายังต้าอวี่อีกครั้ง
ทุกอย่างได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว การพัฒนาของต้าอวี่ก็เป็นไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง และความปลอดภัยก็ไม่มีปัญหา สวี่เหยียนสามารถออกไปผจญภัยได้อย่างสบายใจ
ไฉหลิงเอ๋อร์และเยวี่ยเอ๋อร์ก็กลับมาแล้ว
“ใกล้จะกลับไปเขตวิญญาณแล้ว”
หยุนเหมี่ยวเหมี่ยวมองดูต้นไม้ใบหญ้าบนเกาะชางหลันด้วยความอาลัย
แมวแดงนอนอยู่ในสวนผลวิญญาณ ข้าง ๆ มารดาของสวี่เหยียน มองดูนางกำลังขีดเขียนแผนที่ค่ายกล พร้อมทั้งสอนเขาให้เรียนรู้ตัวอักษรและความรู้ต่าง ๆ
ครั้งนี้เมื่อจากกัน ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร
วันหนึ่ง เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด มีคนมาเยี่ยมอย่างไม่คาดหมาย
จักรพรรดิอู๋!
เขาไม่ได้มาพบสวี่เหยียน และก็ไม่ได้มาพบเมิ่งชงหรือใครอื่น แต่มาขอพบผู้ยิ่งใหญ่หลี่เซวียนผู้สูงส่ง
“ท่านอาจารย์ ข้าจะปฏิเสธการพบของเขาหรือไม่?”
สวี่จวินเหอถาม
“ให้เขามาพบเถิด”
หลี่เซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจให้จักรพรรดิอู๋เข้ามาพบ เขาต้องการดูว่าจักรพรรดิอู๋มาหาเขาด้วยเหตุใด
ที่ยอมให้จักรพรรดิอู๋มาพบ เพราะหลี่เซวียนนึกถึงหนังสือไท่ชาง ที่เคยพบในคลังสมบัติของราชวงศ์แห่งแคว้นอู๋
ถือว่าเป็นโชคชะตาบางอย่าง
จักรพรรดิอู๋ทั้งตื่นเต้นและกังวล เดินตามสวี่จวินเหอเข้ามา จนมาถึงเบื้องหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่ง
“ตูม” เสียงดัง จักรพรรดิอู๋คุกเข่าลงกับพื้น
“ข้าน้อยขอคารวะผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่ง!”
จักรพรรดิอู๋ก้มลงกราบด้วยความเคารพ
"ลุกขึ้นเถิด ท่านมาพบข้าเพราะเหตุใด?"
หลี่เซวียนกล่าวอย่างเรียบง่าย
จักรพรรดิอู๋เงยหน้าขึ้น มองไปยังสวี่จวินเหอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีลังเล
สวี่จวินเหอยิ้มเจื่อน ๆ หรือว่าเจ้าจักรพรรดิอู๋คนนี้จะมาฟ้องงั้นหรือ? ยังกลัวว่าตนจะได้ยินอีก?
หลังจากแสดงความเคารพต่อหลี่เซวียน สวี่จวินเหอก็หันหลังจากไป
หลี่เซวียนยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า "ว่ามาเถอะ เรื่องอะไรที่ลึกลับถึงเพียงนี้?"
"ข้าขอเรียนต่อท่านผู้ยิ่งใหญ่ ในพระราชวังแห่งแคว้นอู๋ของข้ามีสถานที่ลับแห่งหนึ่ง เป็นศาลาหินเล็ก ๆ ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ภายในมีเสียงลึกลับ..."
จักรพรรดิอู๋ไม่ลังเลเลย และบอกความลับของศาลาหินออกมา
หลี่เซวียนในตอนแรกไม่ได้ให้ความสนใจ ฟังอย่างยิ้มแย้มเหมือนกับว่าไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ หรืออาจจะรู้อยู่แล้วก็เป็นได้
แต่ในใจของเขากลับไม่สงบลงเลย
ศาลาหินเล็ก ๆ เสียงลึกลับ?
ที่ชายแดนกลับซ่อนเร้นสถานที่ลึกลับเช่นนี้ไว้ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับความลับของไท่ชาง!
"หนังสือไท่ชางที่ปรากฏอยู่ในห้องสมบัติของแคว้นอู๋ อาจจะเกี่ยวข้องกับเสียงลึกลับนี้หรือไม่? หรือว่า เขาคือเจ้าของหนังสือไท่ชาง?"
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของหลี่เซวียนก็เต้นแรงขึ้น
เจ้าของหนังสือไท่ชางต้องมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่แน่นอน
แต่จากเรื่องที่จักรพรรดิอู๋เล่า เสียงลึกลับนั้นดูเหมือนว่าจะไม่สามารถออกจากศาลาหินได้ และไม่มีพลังโจมตี
ดูเหมือนจะถูกกักขังไว้ หรืออาจจะอยู่ในสถานะที่ถูกผนึก
"...แต่เมื่อไม่นานมานี้ เสียงนั้นดูเหมือนจะหายไป ข้าเรียกอย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับ"
จักรพรรดิอู๋กล่าวด้วยความหวาดหวั่น พร้อมทั้งแอบสังเกตท่าทีของผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่ง
ผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่งนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเรียบเฉย ยิ้มอยู่เสมอ ไม่มีท่าทีตกใจหรือแปลกใจ เหมือนกับว่ารู้อยู่แล้ว
"จริงด้วย! ผู้ยิ่งใหญ่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ความลับของชายแดนจะปิดบังผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร"
จักรพรรดิอู๋รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
"ในเมื่อเป็นความลับของแคว้นอู๋ เจ้าก็จงเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าได้บอกให้ผู้ใดรู้"
หลี่เซวียนรอจนเขาพูดจบ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ขอรับ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!"
จักรพรรดิอู๋รู้สึกท้อแท้อย่างมาก ผู้ยิ่งใหญ่รู้เรื่องความลับเหล่านี้อยู่แล้ว นี่คือการบอกให้เขารู้ว่า ในเมื่อเป็นความลับที่สืบทอดมา ก็อย่าเผยแพร่ออกไป
และยังมองทะลุในใจของเขา ที่คิดจะเผยแพร่ความลับเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
ในวินาทีนั้น จักรพรรดิอู๋รู้สึกละอายใจ และเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนี้ ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่มีความประทับใจไม่ดีต่อเขา!
"เอาไปสิ จงฝึกฝนให้ดี"
หลี่เซวียนยกมือขึ้น หนังสือเล่มเล็กและขวดยาลูกกลมตกลงตรงหน้าจักรพรรดิอู๋
หนังสือนั้นเป็นวิชาวรยุทธ์ ซึ่งเป็นวิชาที่ง่าย ๆ แต่สำหรับจักรพรรดิอู๋และนักยุทธ์ทั่วไป กลับเป็นวิชาที่ทรงพลังมาก หากฝึกฝนสำเร็จ ความสามารถจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในระดับเดียวกัน
ยานั้นก็เป็นตัวช่วยในการฝึกฝน ระดับไม่ต่ำ และเพียงพอสำหรับการฝึกฝนของจักรพรรดิอู๋
พรสวรรค์ของจักรพรรดิอู๋ไม่ถึงกับแย่ แต่ก็ไม่ดีมากนัก ไม่อาจเทียบได้กับสวี่จวินเหอหรือโข่วรั่วจื้อ แต่แม้จะมีวิชาวรยุทธ์และยานี้ ก็ยังไม่อาจตามทันสวี่จวินเหอและโข่วรั่วจื้อได้
"ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่! ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่!"
จักรพรรดิอู๋ดีใจจนตาเปียกชื้น ผู้ยิ่งใหญ่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ มีใจที่กว้างขวาง ไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยของเขา กลับพอใจและมอบสิ่งที่เขาต้องการให้
จักรพรรดิอู๋รับหนังสือเล่มเล็กและยาด้วยความเคารพ และก้มกราบกล่าวว่า "ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านผู้ยิ่งใหญ่ไว้ให้มั่น และจะรักษาความลับนี้ไว้ตายก็ไม่แพร่งพราย!"
"อืม!"
หลี่เซวียนพยักหน้า แสดงความพอใจกับท่าทีของเขา
หลังจากเรื่องนี้ จักรพรรดิอู๋คงจะไม่เอ่ยถึงเรื่องศาลาหินลึกลับให้ใครฟังอีก
ส่วนการฆ่าปิดปาก หลี่เซวียนไม่เห็นค่าที่จะทำเพื่อความลับแค่นี้ อีกทั้งเมื่อมีจักรพรรดิอู๋เฝ้าไว้ ศาลาหินลึกลับก็ยิ่งจะไม่ถูกบุคคลภายนอกค้นพบความลับนี้ได้ง่าย