บทที่ 338 เป็นคนดี
ซูเล่ออวิ๋นเพียงยิ้มรับ แต่ไม่ได้ตอบอะไร ไม่ว่าจะตอบหรือไม่ก็แทบไม่มีความแตกต่างในสถานการณ์นี้
เมื่อเห็นซูเล่ออวิ๋นเพียงยิ้มเงียบๆ เสิ่นตานก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพิ่มเติม
นางเหลือบมองการตกแต่งในลานด้านหลังของหอ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ในเมืองหลวงนี้ มีโรงหมอที่ดีกว่าหอเฉาไป่ถังอยู่ไม่น้อย เหตุใดคุณหนูซูจึงเลือกที่นี่”
“ข้ารู้จักกับท่านเจ้าของโรงหมอ พูดให้ถูกคือท่านเจ้าของโรงหมอให้โอกาสข้าต่างหาก มิใช่ข้าที่เลือกที่นี่เพคะ”
คำตอบของซูเล่ออวิ๋นชัดเจนและรอบคอบ
คำพูดของนางไม่เพียงแต่แสดงความสัมพันธ์กับหอเฉาไป่ถังอย่างชัดเจน แต่ยังปัดคำพูดของเสิ่นตานที่แฝงความยกตัวอีกด้วย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
เสิ่นตานพยักหน้ารับ พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องของเสิ่นปินแม้แต่น้อย
ซูเล่ออวิ๋นก็อดทนสนทนาต่อ นางพูดด้วยความรอบคอบ ไม่ตกหลุมพรางของเสิ่นตัน และค่อยๆทำให้อีกฝ่ายหมดเรื่องจะพูด
ในที่สุด เสิ่นตานก็อดรนทนไม่ได้ ใบหน้าที่นิ่งเรียบเริ่มเผยความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย นางเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“คุณหนูซู เจ้าคงรู้ดีว่าข้ามาหาเจ้าด้วยเหตุใด”
เมื่อเสิ่นตันเปิดประเด็น ซูเล่ออวิ๋นก็เก็บรอยยิ้มที่มุมปากทันที
“หากท่านมีเรื่องใดจะพูด ก็โปรดพูดตรงๆเถิด หากให้ข้าคาดเดาไปเอง แล้วเกิดผิดพลาด คงเป็นเรื่องน่าขัน”
“งั้นข้าจะพูดตรงๆ” เสิ่นตานกล่าว น้ำเสียงแฝงความจริงจัง
“คุณหนูซู คิดอย่างไรกับเรื่องของน้องชายข้า เสิ่นปิน”
ซูเล่ออวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย คล้ายกำลังสงสัยในคำถามนั้น
นางเงยหน้ามองเสิ่นตันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านหมายถึงอะไรหรือเพคะ คุณชายเสิ่นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
ซูเล่ออวิ๋นจงใจไม่พูดถึงอาการป่วยของเสิ่นปิน เรื่องนี้จะออกจากปากของเสิ่นตานได้เท่านั้น นางไม่มีวันพูดก่อน
จากมุมมองของเสิ่นตาน ท่าทีของซูเล่ออวิ๋นดูราวกับไม่รู้อะไรจริงๆ
แต่เพียงแวบเดียว นางก็เข้าใจความหมายที่ซูเล่ออวิ๋นต้องการจะสื่อ
“งั้นหมอในหอเฉาไป่ถังว่าอย่างไรบ้าง”
เสิ่นตานหลีกเลี่ยงไม่พูดตรงๆ ทั้งคู่เหมือนกำลังเล่นเกมทายปริศนากัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทั้งสองยืนสนทนาอยู่ในลานหลังบ้านที่เงียบสงบ แม้มีคนคอยเฝ้าด้านนอก แต่ไม่มีใครสามารถได้ยินบทสนทนานี้
ซูเล่ออวิ๋นยิ้มบางๆ ก่อนตอบ “หมอมีหน้าที่พูดถึงอาการของคนไข้เท่านั้น เรื่องอื่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะพูดถึง”
คำตอบของซูเล่ออวิ๋นตรงไปตรงมา
เรื่องของเสิ่นปินไม่ควรโยงไปถึงหมอหลี่และหมอเหอในหอเฉาไป่ถัง แต่โชคดีที่ปัจจุบันที่นยี่อยู่ภายใต้การดูแลของจวนจิ้นอ่อง อีกทั้งยังมีซูเล่ออวิ๋นคอยจัดการ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งการแก้แค้น
และเมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลเสิ่นจะไม่มีโอกาสแตะต้องหอเฉาไป่ถังอีกเลย
เสิ่นตานจ้องมองซูเล่ออวิ๋นอย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “ข้าหวังว่าคุณหนูซูจะจำคำพูดของเจ้าวันนี้ให้ดี”
“โปรดวางใจเถิดเพคะ” ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้าน้อยๆ มองเสิ่นตานเดินจากไป
ซูเล่ออวิ๋นไม่ได้รู้สึกสนใจในอาการป่วยของเสิ่นปินเลย เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าอนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร
ตระกูลเสิ่นจะถูกจับผิดจากเรื่องอาการป่วยนี้จนมีคนร้องเรียนต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน และนำไปสู่การเปิดเผยความชั่วร้ายมากมายในเบื้องหลังของพวกเขา จนบิดาและบุตรชายตระกูลเสิ่นถูกประหาร ส่วนคนที่เหลือในตระกูลถูกเนรเทศ
เวลาเดินเข้าสู่ช่วงใบไม้ผลิ
สองวันก่อนเซียวเฉิงอวี้ ฟื้นจากอาการหมดสติ
ทางหอเยว่โหลวส่งข่าวมาว่า อาการป่วยของเสิ่นปินทรุดหนักจนพฤติกรรมเริ่มผิดปกติ บิดาของเขาเมื่อทราบเรื่องนี้ถึงขั้นลงมือทำร้ายมารดา และขังเสิ่นปินไว้ที่เรือนหลัง
____________________
ในจวนฉินเซี่ย
ซูเล่ออวิ๋นนั่งอยู่ในลานของฉินซิ่ว หลังจากตรวจดูอาการเสร็จ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เด็กแข็งแรงดีมาก”
ซูเล่ออวิ๋นกล่าวกับฉินซิ่ว
ฉินซิ่วลดมือลง ลูบท้องกลมโตของตัวเองด้วยความอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“เขาว่าท้องกลมได้ลูกชาย ท้องแหลมได้ลูกสาว แต่ดูเหมือนของข้าจะกลับกัน เสียดายออกจะแหลมเชียว”
ยังไม่ทันที่ซูเล่ออวิ๋นจะตอบ เสียงหยอกล้อของหลิวฉินก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ท้องแหลมก็ดีไม่ใช่หรือ อาจได้ลูกที่โดดเด่นในทุกด้านก็เป็นได้”
ในมือของหลิวฉินถือกล่องขนมจากหอฟุ่ยชุ่ย กลิ่นหอมหวานของขนมลอยเข้ามาในห้องทันทีที่นางปรากฏตัว
“คุณหนูหลิว เชิญนั่งเลยเจ้าค่ะ”
หยายาบาวของฉินซิ่ว รีบนำเก้าอี้มาวางให้หลิวฉินนั่ง
หลิวฉินวางกล่องขนมลงบนโต๊ะ จากนั้นหยิบห่อผ้าขนาดใหญ่ออกจากด้านหลัง นางค่อยๆคลี่ห่อผ้าออก เผยให้เห็นชิ้นงานปักฝีมือนางเอง งานปักเหล่านี้เป็นของที่ฉินซิ่วสั่งไว้ อีกไม่นานนัก นางและโจวหมิงเซิงก็จะเดินทางกลับบ้านเกิด
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ซูเล่ออวิ๋นได้ตรวจดูอาการของฉินซิ่ว
หลังจากใช้ชีวิตในเมืองหลวงเกือบหนึ่งปี โจวหมิงเซิงซึ่งสอบได้ตำแหน่งจอหงวนและดำรงตำแหน่งขุนนางในสำนักหานหลิน แต่เมื่อทั้งสองปรึกษากัน ก็พบว่าชีวิตเรียบง่ายในบ้านเกิดนั้นสุขสบายยิ่งกว่า
โจวหมิงเซิงจึงทูลขอพระราชทานตำแหน่งในบ้านเกิดจากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ซึ่งก็ทรงอนุญาต
เมื่อซูเล่ออวิ๋นได้ยินข่าวนี้ ก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่จักรพรรดิเจี้ยนเหวินทรงกระทำในชาตินี้ แตกต่างจากชาติที่แล้วมากนัก
“ฝีมือคุณหนูหลิวช่างไร้ที่ติจริงๆ”
ฉินซิ่วหยิบชิ้นงานปักขึ้นมาชื่นชมทีละชิ้น ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความชื่นชม
หลิวฉินยิ้มตอบ “ท่านชมเกินไปแล้ว ถ้าจะให้พูดจริงๆ ฝีมือของเล่ออวิ๋นยังดีกว่าข้าเสียอีก”
“เจ้ากำลังยกยอข้าอยู่”
ซูเล่ออวิ๋นยิ้มตอบกลับด้วยความถ่อมตัว
จากนั้นนางหันไปทางฉินซิ่วพร้อมกล่าว “ถ้าท่านบอกข้าก่อนว่าจะเดินทาง ข้าคงมีเวลาเตรียมงานปักไว้ให้เป็นของขวัญ แต่ตอนนี้คงไม่ทันเสียแล้ว”
“คุณหนูซูช่วยดูแลข้าขนาดนี้ นั่นก็คือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว” ฉินซิ่วกล่าวด้วยความจริงใจ
ตลอดเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา หากไม่มีการช่วยเหลือจากคุณหนูซู แม้เพียงเล็กน้อยในบางครั้ง แต่นางและโจวหมิงเซิงคงไม่มีวันนี้
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนที่หอฟุ่ยชุ่ย หากไม่มีซูเล่ออวิ๋นคอยช่วยเหลือ
บางทีสามีของนางอาจจากไปแล้ว
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ฉินซิ่วยิ่งรู้สึกโชคดีที่ได้พบกับคุณหนูซู
ซูเล่ออวิ๋นเพียงส่ายหัวเล็กน้อย “การที่ข้าช่วยพวกเจ้า ก็ใช่ว่าจะไร้จุดประสงค์เสียทีเดียว”
“แต่จนถึงตอนนี้ คุณหนูซูก็ยังไม่เคยขอให้พวกข้าทำสิ่งใดเลย”
ฉินซิ่วรู้ดีว่าการที่ซูเล่ออวิ๋นช่วยเหลือโจวหมิงเซิงในตอนแรก เป็นเพราะน้ำใจล้วนๆ ส่วนการติดต่อกันหลังจากนั้น แม้อาจมีความตั้งใจบางอย่าง แต่สุดท้ายซูเล่ออวิ๋นก็ไม่ได้เรียกร้องสิ่งใด
“คุณหนูซู ท่านเป็นคนดีจริงๆ” ฉินซิ่วสบตากับซูเล่ออวิ๋น พูดเน้นทุกคำอย่างจริงจัง
ซูเล่ออวิ๋นเผยสีหน้าลังเลก่อนจะอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
บางที นางอาจเป็นคนดีก็ได้...
หรือบางที นางอาจเป็นเพียงคนที่ชอบยอมให้ผู้อื่นจนเกินไป
ซูเล่ออวิ๋นยิ้มบางๆ อย่างปลงตก ก่อนเขียนใบสั่งยาให้ฉินซิ่วเสร็จ และออกจากเรือนพร้อมกับหลิวฉิน
ระหว่างเดินทาง หลิวหลิวฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง
“เล่ออวิ๋น อีกไม่นานข้าก็อาจจะออกจากเมืองหลวงเหมือนกัน”
เสียงของนางแฝงไว้ด้วยความสบายใจเหมือนได้ปลดพันธนาการ
แต่ก่อนนางเคยติดอยู่กับความกังวลเรื่องอาการป่วยของมารดา ทว่าตอนนี้นางได้มองเห็นชีวิตในอีกมุมหนึ่ง
หลิวฉินคิดว่าหลังจากนี้ ช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต ควรเป็นเวลาที่นางได้อยู่เพื่อตัวเองเสียที
ซูเล่ออวิ๋นยิ้มให้เพื่อน “ถ้าถึงตอนนั้น อย่าลืมบอกข้าด้วยนะ ข้าจะได้ไปส่งเจ้า อย่าได้หนีไปเงียบๆล่ะ”
“แน่นอนสิ” หลิวฉินยิ้มรับ