บทที่ 335 เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะพูด
“อะไรน่ะ!”
เสิ่นปินรีบหลับตาแน่น แต่ด้วยความระคายเคืองจากผงที่เข้าตา เขาอดไม่ได้ที่จะใช้มือขยี้หวังให้มันหลุดออก แต่ยิ่งขยี้ ความรู้สึกแสบตาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
เขายังเผลอสูดเอาผงบางส่วนเข้าไปทางจมูก จนต้องจามออกมาอย่างต่อเนื่อง
ซูเล่ออวิ๋นสะบัดผงสีขาวในมือเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนตกใจเล็กๆ
“คุณชายเสิ่น ข้าต้องขอโทษจริงๆ ข้าพลั้งเผลอทำผงยาไปโดนท่าน ท่านเป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ”
พูดจบ นางก็หยิบผ้าที่ห้อยอยู่บนราวข้างๆ แล้วยื่นให้เสิ่นปิน “คุณชายเสิ่น รีบเช็ดออกเถิดเจ้าค่ะ”
ซูเล่ออวิ๋นพูดพลางขยับตัวไปยืนบังสายตาของคนรับใช้ที่มากับเสิ่นปินไว้
เสิ่นปินไม่ได้คิดอะไรมาก รีบรับผ้ามาเช็ดหน้าอย่างลวกๆ
แต่เช็ดไปได้เพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็รู้สึกแปลกๆ
ผ้าที่อยู่ในมือนั้นหยาบกระด้างอย่างมาก ไม่เหมือนผ้าสำหรับเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดเหงื่อที่เขาคุ้นเคย
พออาการแสบตาทุเลาลง เขาเปิดตาขึ้นมองผ้าที่อยู่ในมือ พบว่ามันเป็นผ้าขี้ริ้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ผ้าขี้ริ้วผืนนี้ยังมีรอยเปื้อนชัดเจน แสดงว่าเพิ่งใช้เช็ดอะไรบางอย่างมาก่อน
เสิ่นปินยืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่มุมปากจะกระตุกด้วยความโกรธปนขยะแขยง
ซูเล่ออวิ๋นทำทีเหมือนเพิ่งสังเกตเห็น นางรีบกล่าวขอโทษอีกครั้ง
“คุณชายเสิ่น ข้าขอโทษจริงๆ ตอนนั้นข้าตกใจจนหยิบอะไรมาได้ก็ยื่นให้ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ”
เสิ่นปินจ้องหน้าซูเล่ออวิ๋น หวังจะหาหลักฐานว่านางตั้งใจกลั่นแกล้งเขา แต่กลับไม่พบอะไรนอกจากแววตาที่ดูเหมือนกังวลจริงใจ
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลปนงดงามของนาง เสิ่นปินก็ไม่อาจโกรธได้ เขากลืนคำพูดลงไป ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“หมอซู ข้าจะกลับไปก่อน ไว้วันพรุ่งข้าจะมาใหม่”
เขาหันไปมองคนรับใช้ด้วยสายตาดุดันอย่างตำหนิ เพราะหากพวกนั้นขยับตัวเร็วสักนิด เขาคงไม่ต้องอับอายถึงเพียงนี้
หลังจากเสิ่นปินและพรรคพวกเดินออกไป ซูเล่ออวิ๋นมองผ้าขี้ริ้วที่เขาทิ้งไว้บนพื้น นางหยิบมันขึ้นมาแล้วโยนใส่ถังไม้ใกล้ๆ เหลียนซินเดินมาทำความสะอาดผงขาวที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู แล้วเรื่องนี้เราจะจัดการอย่างไรดีเจ้าคะ” ชุ่ยหลิ่วเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงกังวล
หมอหลี่และหมอเหอก็มองซูเล่ออวิ๋นด้วยสีหน้ากังวล แม้พวกเขาจะไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นปินและซูเล่ออวิ๋น แต่ก็เห็นชัดว่าเสิ่นปินไม่ได้มาอย่างมีเจตนาดี
ซูเล่ออวิ๋นยิ้มบางๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “เมื่อมีศัตรูมา ก็ต้องใช้ทหารรับมือ เมื่อมีน้ำหลาก ก็ต้องใช้ดินปิดกั้น”
ซูเล่ออวิ๋นไม่ได้ตั้งใจจะเล่นสนุกกับเสิ่นปิน แต่เมื่อเห็นหน้าเขา นางก็อดนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาไม่ได้
ในเมื่อเสิ่นปินเข้ามาหานางเอง นางก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้
แต่เรื่องนี้ไม่วายถูกซุนเจียงหรูและซูเยี่ยล่วงรู้เข้า แม้ว่าเป็นเพียง เหตุการณ์ตั้งแต่เสิ่นปินเข้ามาจนออกไปจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ แต่ซุนเจียโรวก็อดกังวลไม่ได้
ถึงขั้นคิดหาวิธีแปลกๆขึ้นมา เช่น การรีบหาคู่ให้ซูเล่ออวิ๋น เพื่อจะได้ตัดความคิดของตระกูลเสิ่นไป
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านลองคิดดู หากตระกูลเสิ่นตั้งใจจะให้เสิ่นปินแต่งกับข้าจริงๆ ทำไมพวกเขายังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย”
“ไม่เคลื่อนไหวหรือ แต่เสิ่นปินก็...”
ซุนเจียงหรูหยุดพูดไป เพราะสิ่งที่ลูกสาวพูดมาก็มีเหตุผล
หากตระกูลเสิ่นตั้งใจจะแต่งงานจริง ก็ควรให้ผู้ใหญ่เข้ามาเจรจาสู่ขอ ไม่ใช่ปล่อยให้เสิ่นปินออกหน้ามาก่อกวนเอง
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า “นี่อาจเป็นความคิดของสนมเสิ่นตันและเสิ่นปินเอง”
“ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”
ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้า เพราะนางเองก็คิดเช่นนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเยี่ยกลับโกรธยิ่งกว่าเดิม “อย่างนั้นก็แสดงว่า พี่น้องคู่นี้แค่ต้องการล้อเล่นกับเจ้า”
หากตระกูลเสิ่นมาติดต่ออย่างเป็นทางการ ซูเยี่ยยังอาจปฏิเสธพวกเขาอย่างเหมาะสมได้ แต่ถ้าเสิ่นปินตั้งใจมาเล่นสนุกแบบนี้ เขาอยากจะจับเสิ่นปินมาต่อยให้สักหมัดสองหมัด
ใครคิดจะเล่นสนุกกับน้องสาวเขา คิดผิดแล้ว
“ไม่แน่เสมอไป ข้าคิดว่าเสิ่นตันอาจต้องการทำลายชื่อเสียงของข้ามากกว่า”
แม้ว่าซูเล่ออวิ๋นจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่ลางสังหรณ์ของนางก็บอกว่าสิ่งที่นางคิดนั้นถูกต้อง
ใบหน้าของซุนเจียงหรูและซูเยี่ยพลันแสดงออกถึงความเคร่งเครียด
ไม่ว่าจริงหรือไม่ พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมรับมือไว้
เมื่อซุนเจียงหรูเดินออกไป ซูเล่ออวิ๋นหันมาพูดกับซูเยี่ยว่า “พี่ชาย ข้าขอให้ช่วยเรื่องนี้หน่อยเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ”
ซูเยี่ยถามพร้อมโน้มตัวเข้าไปฟังอย่างใกล้ชิด
หลังจากซูเล่ออวิ๋นอธิบาย ซูเยี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เล่ออวิ๋น เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”
“ความฝันบอกข้ามา พี่เชื่อหรือไม่ล่ะเจ้าคะ” ซูเล่ออวิ๋นยิ้ม
“ข้าไม่โง่ขนาดนั้น” ซูเยี่ยหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการเอง!”
---
วันรุ่งขึ้น เสิ่นปินกลับมาที่หอเฉาไป่ถังอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามเข้าใกล้ซูเล่ออวิ๋นเหมือนเมื่อวาน แต่เลือกนั่งลงบนเก้าอี้ และยังเอนตัวพิงเบาะหลังอย่างผ่อนคลาย “คุณชายเสิ่น ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”
ซูเล่ออวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ต่างจากที่นางพูดกับคนไข้ทั่วไป
แต่สำหรับเสิ่นปิน เขารู้สึกเหมือนซูเล่ออวิ๋นดูอ่อนโยนขึ้นมาก
เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย แม้จะไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร แต่ในใจกลับรู้สึกพอใจไม่น้อย
ด้วยฐานะและรูปลักษณ์ของเขา ผู้หญิงคนไหนที่เห็นเขาก็มักจะพุ่งเข้าหา แต่ซูเล่ออวิ๋นกลับเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ยอมแม้กระทั่งตอบรับคำเชิญจากเขาเอง แต่ตอนนี้นางก็ต้องมาสนใจเขาอยู่ดี
“หมอซู ข้ารู้สึกปวดหัว แล้วก็ปวดใจด้วย แต่พอเห็นหน้าหมอซูแล้ว ก็หายปวดเลย”
การที่ผู้ชายทำท่า "มือทาบอก" แบบแสร้งทำเจ็บใจนั้น ไม่ค่อยมีใครทำให้ออกมาดูดีได้
ยิ่งเป็นเสิ่นปิน ยิ่งไม่มีทาง
ซูเล่ออวิ๋นพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้หัวเราะออกมา “คุณชายเสิ่น โปรดยื่นมือมาให้ข้าตรวจเถิดเจ้าค่ะ”
“หมอซู อย่าลืมช่วยตรวจอย่างละเอียดให้ข้าด้วยนะ” เสิ่นปินพูดอย่างโอ้อวด
ซูเล่ออวิ๋นวางนิ้วบนข้อมือของเสิ่นปิน เพื่อตรวจชีพจร สักพัก นางก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
สีหน้าของนางดูสมจริงเกินไปจนเสิ่นปินเริ่มรู้สึกใจไม่ดี
“คุณชายเสิ่น อาการของท่าน...”
ซูเล่ออวิ๋นพูดเหมือนจะลำบากใจ ก่อนหันไปหา หมอหลี่ และ หมอเหอ แล้วเอ่ยขึ้น
“ทั้งสองท่านช่วยตรวจอาการของคุณชายเสิ่นอีกครั้งเถิดเจ้าค่ะ”
หมอหลี่และหมอเหอมองหน้ากัน ดูเหมือนจะตกใจ แต่หากสังเกตดีๆ สีหน้าของพวกเขากลับดูเหมือนแสร้งทำมากกว่า
เสิ่นปินที่กำลังเป็นกังวลเรื่องสุขภาพไม่ได้ทันสังเกตความผิดปกตินี้
หมอหลี่และหมอเหอก้าวมาข้างหน้า และผลัดกันจับชีพจรของเสิ่นปิน
หลังจากนั้น ทั้งสองก็สบตากัน และทำสีหน้าราวกับเจอเรื่องหนักใจ
“พวกท่านเจออะไรหรือ!” เสิ่นปินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
แม้เสิ่นปินจะรู้ดีว่าเขาไม่ได้ป่วยเป็นอะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางของหมอทั้งสาม เขาก็เริ่มลังเล และความสงสัยก็เข้าครอบงำ
หมอเหอ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณชายเสิ่น เรื่องเช่นนี้ คงไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก”
หมอหลี่ พยักหน้าเห็นด้วย
เสิ่นปินขมวดคิ้วแน่น เขาหันไปมองบ่าวและลูกมือในหอเแาไป่ถัง ก่อนพูดอย่างหงุดหงิด “งั้นก็ให้ทุกคนออกไปสิ!”
“คุณชายเสิ่น คนทั้งหมดออกไปไม่ได้หรอก เราต้องทำงาน หากมีคนเข้ามาใหม่จะไม่สะดวก หากเป็นเช่นนั้น ท่านไปคุยกับพวกข้าที่หลังบ้านจะดีกว่า” หมอหลี่รีบพูดด้วยท่าทีที่ดูเหมือนกังวล
คำพูดของหมอหลี่ฟังดูสมเหตุสมผล เสิ่นปินจึงลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่หลังบ้าน แต่ในใจกลับคิดว่า ถ้าพวกเจ้าพูดอะไรไม่เข้าท่า ข้าจะถล่มที่นี่ให้ราบ!