บทที่ 334 มีผู้ป่วยมา
“พี่ชาย บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ซูเล่ออวิ๋นไม่ได้ถามว่าซูเยี่ยทำอะไรอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะในความคิดของเขาเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความไม่ตั้งใจเรียนต่อหน้าน้องสาว
ซูเยี่ยหัวเราะแหะๆ ก่อนเก็บตำราในมือ ซึ่งบนปกมีลายเงินวาววับให้เห็นเล็กน้อย
“เล่ออวิ๋น เจ้ามาทำไมหรือ ใช่เรื่องที่ข้าได้ยินมาหรือเปล่า ได้ยินว่าอะไรเกิดขึ้นกับหลิงหลิงหรือ”
เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ด้วยท่าทางที่ไม่สะดวกจากการบาดเจ็บ ทำให้ซูเล่ออวิ๋นต้องกดเขาให้นอนคว่ำลง
“หลิงหลิงตาบอดแล้ว”
“ตาบอดหรือ”
ซูเย่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขาไม่ได้ถามรายละเอียดจากคนอื่นมาก่อน ดังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกมึนงง
“ทำไมจู่ๆ ถึงตาบอด เกิดอะไรขึ้น แล้วจะรักษาได้หรือไม่”
คำถามหลั่งไหลออกมาจากปากของเขาอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อวานเขายังเห็นหลิงหลิงไม่มีอะไรผิดปกติอยู่เลย
ซูเล่ออวิ๋นตอบคำถามทีละข้อ “หลิงหลิงป่วยเป็นโรคปานม่วง อาการกำเริบขึ้นอย่างฉับพลัน แม้ว่าอาการของโรคจะถูกกดไว้ได้ แต่ลิ่มเลือดที่กดทับดวงตาทำให้นางตาบอด อาการแบบนี้อาจรักษาได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองดู และส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา”
“โรคปานม่วงหรือ”
ซูเยี่ยด้ยินชื่อโรคนี้เป็นครั้งแรก หลังจากซูเล่ออวิ๋นอธิบายเกี่ยวกับโรคให้ฟัง เขาถามด้วยความสงสัย
“แสดงว่าก่อนอาการกำเริบ หลิงหลิงไม่รู้ตัวเลยว่านางมีโรคนี้หรือ”
“ก็ประมาณนั้น” ซูเล่ออวิ๋นตอบ “ถ้าไม่กำเริบ ก็แทบตรวจไม่พบ”
ซูเยี่ยถอนหายใจเบาๆ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีโรคแบบนี้อยู่”
“ใช่ หลิงหลิงยัง…”
ซูเล่ออวิ๋นหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แม้ว่าอาการจะตรวจพบยากหากไม่กำเริบ แต่ก็มักมีสัญญาณเล็กๆ ที่บ่งบอก เช่น อาการสะอึกที่หาสาเหตุไม่ได้
เซียงหลิงหลิงเคยบอกว่านางเคยสะอึกไม่หยุด และท่านย่าเองก็เคยเตือนให้นางระวังการกินอาหารมากเกินไป ดูเหมือนว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ซูเล่ออวิ๋นพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“เล่ออวิ๋น”
ซูเยี่ยเรียกเบาๆ เมื่อเห็นน้องสาวนิ่งไป
“มีอะไรหรือ”
“พี่ชาย ข้าคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง” นางตอบ ก่อนเปลี่ยนเรื่องทันที “พี่ พี่ชายว่าตอนนี้จินอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ซูเล่ออวิ๋นพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงเบา
ซูเย่แทบไม่ได้ยิน ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจสิ่งที่นางพูด ก่อนจะส่ายหัว
“ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน”
เพราะซูเล่ออวิ๋นไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของจินอ๋องมาก่อน
ซูเล่ออวิ๋นยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเบา
“เป็นเพราะจางเหล่า เนื่องจากอ๋องอันทำให้หมอหวังเลยยังเปิดเฉาไป่ถังไม่ได้ ข้ากังวลอยู่บ้าง”
“อ๋องอัน...” ซูเยี่ยหยุดคิดก่อนจะพูดต่อ
“เจ้าบอกให้หมอหวังเปิดหอเฉาไป่ถังต่อไปได้เลย อ๋องอันจะไม่มาหาเรื่องแน่นอน”
ซูเล่ออวิ๋นจับจ้องใบหน้าของซูเยี่ยเหมือนพยายามสังเกตอะไรบางอย่าง นางเริ่มเข้าใจเล็กน้อย
ข่าวเรื่องจินอ๋องป่วยได้ถูกส่งไปยังจักรพรรดิเจี้ยนเหวินแล้ว และจางเหล่าเองก็ทำหน้าที่อย่างเปิดเผย อ๋องอันจึงถูกกดดันจากจักรพรรดิ หากเป็นเช่นนี้ ก็ดูเหมือนอ๋องอันไม่น่าจะสร้างปัญหาเพิ่มในเร็วๆ นี้
แต่จากนิสัยของอ๋องอัน นางก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะอดทนได้นานแค่ไหน
“งั้นข้าจะส่งคนไปบอกหมอหวัง”
ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองดูว่างจนเกินไป
ซูเยี่ยพยักหน้าตอบ ก่อนจะนึกถึงบางอย่างแล้วถามขึ้น “แล้วคนของตระกูลเสิ่นได้มาอีกหรือไม่”
คำถามนี้ทำให้ซูเล่ออวิ๋นนึกถึงตระกูลเสิ่นที่นางแทบลืมไปแล้ว นางส่ายหัว “เท่าที่รู้ยังไม่มีใครมา”
“แต่เจ้าก็ต้องระวังตัวไว้ หากออกไปข้างนอก ให้ซุนอู่กับซุนเหวินไปด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะพี่ชาย”
หลังพูดคุยกับซูเยี่ยเสร็จ ซูเล่ออวิ๋นก็เดินกลับไป
เรื่องการเปิดหอเฉาไป่ถังอีกครั้งถูกส่งไปยังหมอหวังแล้ว และอีกไม่กี่วัน หอก็กลับมาเปิดให้บริการ
_______
ที่หอเฉ่าไป่ถัง
ซูเล่ออวิ๋นมาถึงหอ พบว่ามีคนไข้ที่คุ้นเคยนั่งรออยู่ที่โต๊ะของนาง
“หมอซู ในที่สุดท่านก็กลับมา!”
ซูเล่ออวิ๋นมีคนไข้ที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องหลายคน เมื่อหอปิดตัวลง คนไข้เหล่านี้ก็กังวลอย่างมาก พอทราบข่าวว่าหอเปิดอีกครั้ง จึงรีบมารอทันที
พวกเขาปฏิเสธที่จะให้หมอคนอื่นตรวจ เพราะเชื่อมั่นในตัวซูเล่ออวิ๋น
หลังตรวจอาการของคนไข้เรียบร้อย ซูเล่ออวิ๋นจึงมีเวลาว่าง นางนั่งคุยเรื่องโรคปานม่วงกับหมอหลี่และหมอเหอ
ในการศึกษาวิชาแพทย์ พวกเขาล้วนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เมื่อพูดถึงโรคและอาการต่างๆ ก็มักจะสนทนาอย่างยาวนาน
ซูเล่ออวิ๋น แม้จะมีความรู้ด้านการแพทย์จากชาติที่แล้ว แต่ยังถือว่าอ่อนประสบการณ์ที่สุดในกลุ่ม นางมักจดบันทึกสิ่งสำคัญจากการสนทนาของหมอหลี่และหมอเหออยู่เสมอ
ด้านหมอหลี่และหมอเหอ แม้จะคุยกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ก็ยังคงรักษาน้ำใจและมีจังหวะหยอกล้อกันบ้าง
บรรยากาศในหอเฉาไป่ถังช่างอบอุ่นและครึกครื้น
ขณะที่ซูเล่ออวิ๋นเพิ่งจดบันทึกเสร็จ นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นกลุ่มคนเดินเข้ามา
ในตอนแรกนางคิดว่าคงเป็นคนไข้ใหม่ จึงพูดขึ้นว่า “ท่านหมอหลี่ หมอเหอ ดูเหมือนจะมีคนไข้มานะเจ้าคะ”
หมอหลี่และหมอเหอหยุดการสนทนา เพราะหากต้องตรวจคนไข้ ย่อมไม่ควรพูดคุยเรื่องอื่นให้เสียสมาธิ
แต่คนที่เข้ามากลุ่มนี้ ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจมารักษาโรค หรืออาจจะพูดได้ว่า ไม่ได้ตั้งใจมารักษาอย่างเดียว
คุณชายที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่ม กางพัดในมือออกอย่างโอ้อวด แสร้งทำท่าเป็นคนสำรวมและมีความรู้
“หมอซู ข้าปวดหัวหน่อยๆ เจ้ามาดูให้ข้าทีสิ”
ซูเล่ออวิ๋นสบตากับรอยยิ้มกวนประสาทของเสิ่นปิน นางเพียงแค่ยิ้มมุมปาก
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเสิ่นปินไม่น่าจะสนใจตัวนาง แต่ที่แท้แล้ว เขาแค่ยังไม่มีโอกาสแสดงตัวต่อหน้านางเท่านั้น
ท่าทีโอ้อวดของเสิ่นปินชวนให้นึกถึงการกระทำของกู้หยวนไป่ หากแต่เขาเลียนแบบได้ไม่ถึงขั้น กลับดูเหมือนเสือที่กลายเป็นแมวเสียมากกว่า
แม้ว่าความคิดจะแล่นไปในหัว แต่น้ำเสียงของซูเล่ออวิ๋นกลับสงบนิ่งไร้ความเปลี่ยนแปลง
“เชิญคุณชายเสิ่นนั่งก่อนเจ้าค่ะ”
หมอหลี่และหมอเหอมองเหตุการณ์ตรงหน้าก็พอจับได้ว่าไม่ปกติ หมอหลี่จึงเอ่ยขึ้น “คุณชาย ข้าชำนาญเรื่องอาการปวดหัวตัวร้อน ให้ข้าช่วยตรวจดูให้ดีไหมขอรับ”
แต่เสิ่นปินไม่แม้แต่จะหันไปมองหมอหลี่ คนรับใช้ที่มากับเขากลับก้าวออกมาแล้วกันหมอหลี่และหมอเหอให้ถอยไป
หนึ่งในนั้นพูดด้วยท่าทีข่มขู่ “คุณชายของข้าต้องการให้หมอซูตรวจให้เท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้คิดวุ่นวาย”
ซูเล่ออวิ๋นส่งยิ้มบางๆ ให้หมอหลี่และหมอเหอ เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องห่วง
ทางด้านเหลียนซินและชุ่ยหลิ่วที่กำลังยุ่งอยู่ในลานหลังบ้าน เมื่อได้ยินเสียงบ่าวบอกว่ามีคนมาก่อกวน จึงรีบออกมาดู และเมื่อเห็นว่าเป็นเสิ่นปินก็จำได้ทันที
ทั้งสองตั้งใจจะเข้าไปช่วย แต่เพียงสบตากับซูเล่ออวิ๋นก็ชะงักลง
เหลียนซินและชุ่ยหลิ่วสบตากันอย่างเข้าใจ แม้จะกังวลอยู่ แต่ก็รู้ว่าคุณหนูเตรียมการไว้แล้ว เพราะวันนี้ซูเล่ออวิ๋นออกมาพร้อมซุนเหวินและซุนอู่ หากเสิ่นปินคิดจะก่อเรื่องจริงๆคงไม่ได้ผลดีแน่นอน
แต่จากท่าทีของคุณหนู ดูเหมือนนางจะไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่สาธารณะ
ทั้งสองจึงวางใจลงชั่วคราว คิดว่าคุณหนูคงมีวิธีจัดการ และหากจำเป็นจริงๆซุนเหวินและซุนอู่ก็ยังเป็นกำลังสนับสนุนอยู่
เสิ่นปินนั่งลงตรงหน้าซูเล่ออวิ๋น เขาเอนตัวมาข้างหน้าเหมือนตั้งใจจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
ขณะที่ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ผงสีขาวบางเบาก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าเขา
ทันทีที่เสิ่นปินกะพริบตา ผงเหล่านั้นก็ปลิวเข้าตาเขาอย่างรวดเร็ว