บทที่ 330 อาการกำเริบครั้งแรก
ภายในห้อง ซูเล่ออวิ๋นและเหลียนซินช่วยกันปล่อยผมของเซี่ยงหลิงหลิงที่ถูกรวบไว้
“เหลียนซิน ไปต้มน้ำร้อนให้มากที่สุด แล้วให้คนยกถังไม้มาด้วย”
ผื่นแดงบนตัวของเซี่ยงหลิงหลิงเริ่มกระจายมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่บนใบหน้าก็มีจุดแดงขึ้นจนเกือบทั่ว ซูเล่ออวิ๋นเริ่มมีความสงสัยในใจว่าอาการนี้อาจเกี่ยวข้องกับโรคปานม่วง เป็นโรคที่เกิดจุดสีม่วงหรือแดงบนผิวหนัง เนื่องจากการมีเลือดออกใต้ผิวหนัง โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ลักษณะอาการมักคล้ายคลึงกัน
ไม่นาน น้ำร้อนก็ถูกส่งเข้ามา เซี่ยงหลิงหลิงถูกยกตัวลงไปในถังไม้น้ำร้อน
ไอน้ำอุ่นๆลอยขึ้นมา เสียงสะอึกของนางค่อยๆลดลงทีละน้อย
“คุณหนู ดูเหมือนว่าจะได้ผลแล้วเจ้าค่ะ!”
เหลียนซินสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเซี่ยงหลิงหลิงเริ่มกลับมามีสีเลือดตามปกติ จึงพูดออกมาด้วยความยินดี
ซูเล่ออวิ๋นเดินเข้ามาตรวจดูอาการก่อนกล่าวว่า “ยังต้องรอดูอีกทีหลังจากนางฟื้น”
ระหว่างนั้น หมอก็เดินทางมาถึง
เมื่อเข้ามาดูอาการ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“โชคดีที่แม่นางซูตอบสนองเร็ว ไม่อย่างนั้นถ้าข้าต้องมาทำเอง เกรงว่าจะไม่ทันการ”
“หมอเจ้าคะ หลานสาวข้าเป็นอะไรกันแน่”
ท่านยายเซียงที่เดินเข้ามาภายในห้อง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความกังวล แต่ลึกๆแล้วนางอยากรู้ว่าซูเล่ออวิ๋นและหมอผู้นี้จะสามารถตรวจพบต้นเหตุของอาการได้หรือไม่
หมอขมวดคิ้วหลังจากตรวจดูอาการอยู่นาน “อาการแบบนี้ดูคุ้นมาก แต่ข้านึกไม่ออกในตอนนี้”
ซูเล่ออวิ๋นจึงกล่าวเตือนขึ้น “ท่านหมอเจ้าคะ อาการนี้คล้ายกับโรคปานม่วงหรือไม่”
“โรคปานม่วง ใช่เลย! ใช่แน่ๆ มันคือโรคปานม่วง!”
ดวงตาของหมอเปล่งประกาย เขาเป็นหมอที่มีประสบการณ์มาหลายปี แต่ก็ยังไม่ทันได้พิจารณาว่าเป็นโรคนี้เหมือนที่ซูเล่ออวิ๋นคิดไว้ก่อนหน้านี้ และนี่เองที่ทำให้เขาเข้าใจว่าเหตุใดเถ้าแก่หวังจากหอเฉาไป่ถังถึงยกย่องแม่นางซูผู้นี้นัก
ท่านหญิงเซียงได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจ ก่อนจะหันมามองซูเล่ออวิ๋น นางรู้เรื่องนี้จริงหรือ
“โรคนี้ทำไมถึงกำเริบได้อย่างกะทันหัน ท่านยายเจ้าคะะก่อนหน้านี้หลิงหลิงเคยมีอาการเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ”
ซูเล่ออวิ๋นถามท่านหมอ พร้อมกับเหลือบมองท่านยายไปด้วยความสงสัย
หมอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “โรคปานม่วงนี้มีคนเป็นน้อยมาก หากอาการกำเริบขึ้นแล้วไม่ได้รับการรักษาทันที ก็ยากที่จะช่วยชีวิตได้ ข้าดูแล้วอาการของคุณหนูผู้นี้น่าจะเป็นการกำเริบครั้งแรก”
ซูเล่ออวิ๋นฟังคำพูดนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด ในใจของนางก็คิดเช่นเดียวกับหมอ แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆกับบางสิ่ง
ท่านหญิงเซียงเมื่อได้ยินดังนั้นก็เผยความโล่งอกในแววตา ก่อนถามต่อ “แล้วหลิงหลิงจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด”
“เรื่องนี้คาดเดายาก ต้องเฝ้าดูอาการ หากตื่นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าระหว่างนี้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น มีไข้สูง ก็ต้องระวังให้มาก”
คำพูดนี้ทำให้ท่านหญิงเซียงและเซี่ยงหลิงหลิงไม่สามารถออกเดินทางได้
เมื่อซุนฉางผิงและจางซซู่ทราบเรื่องก็คิดจะอยู่ช่วยดูแลก่อน แต่ซุนเจียงหรูและฉินจื่อเยี้ยนเกลี้ยกล่อมให้เดินทางต่อไปก่อน เพราะซุนฉางผิงจำเป็นต้องกลับไปยังค่ายทหาร หากล่าช้าจะถูกลงโทษตามกฎทหาร
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น ซูเล่ออวิ๋นตัดสินใจอยู่ดูแลเซี่ยงหลิงหลิงด้วยตนเอง เพราะไม่มั่นใจว่าบ่าวรับใช้จะตอบสนองได้ทันการณ์
ท่านหญิงเซียงที่นั่งอยู่ในห้องเกือบครึ่งวันก็เริ่มกระสับกระส่าย นางบ่นปวดหัวแล้วลุกออกจากห้องไป
เมื่อเห็นนางจากไป ซูเล่ออวิ๋นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตั้งแต่ตอนที่เซี่ยงหลิงหลิงเริ่มมีอาการ นางก็รู้สึกแปลกๆกับปฏิกิริยาของท่านยายผู้นี้ ที่ดูเหมือนจะไม่ตกใจนัก ราวกับนางรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ซูเล่ออวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ แล้วกลับไปตั้งใจคิดวิธีรักษาต่อ
วิธีการฝังเข็มที่อาจารย์เคยถ่ายทอดให้นางนั้นมีชื่อไพเราะว่า หลิวซีจิ่วเจิน(เก้าเข็มแห่งสายน้ำยามค่ำคืน)
แม้ชื่อจะเป็น “เก้าเข็ม” แต่วิชานี้ไม่ได้จำกัดเพียงเก้าแบบเท่านั้น แต่ใช้เก้าเข็มเป็นพื้นฐานแล้วพัฒนาไปสู่การประยุกต์เพิ่มเติม สามารถรักษาโรคได้หลากหลาย
สำหรับโรคปานม่วงนี้ แม้จะไม่เคยเจอมาก่อน แต่ซูเล่ออวิ๋นรู้ดีว่าการใช้ยาไม่ค่อยได้ผล นางจึงอยากลองใช้หลิวซีจิ่วเจินเพื่อดูว่าจะสามารถบรรเทาหรือรักษาได้หรือไม่
ยามค่ำคืนค่อยๆ ผ่านไป
เหลียนซินกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้เซี่ยงหลิงหลิง จู่ๆก็สัมผัสได้ถึงความร้อนผิดปกติ
“คุณหนู ดูเหมือนว่าคุณหนูเซี่ยงจะมีไข้สูงแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าจะดูเอง”
ซูเล่ออวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนรีบเข้าไปตรวจอาการทันที
ซูเล่ออวิ๋นเดินเข้าไปตรวจอาการ วางมือแตะที่หน้าผากของเซี่ยงหลิงหลิง
หน้าผากของเซี่ยงหลิงหลิงไม่ได้ร้อน แต่บริเวณแก้มทั้งสองข้างกลับมีอุณหภูมิผิดปกติ
เมื่อนางลองวางมือลงต่ำกว่าเดิม บริเวณใบหูก็ร้อนแดงขึ้นอย่างชัดเจน
“เอายาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้มา” ซูเล่ออวิ๋นสั่งเสียงเรียบ
เหลียนซินขยับตัวอย่างรวดเร็ว ยานั้นถูกต้มเตรียมไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย เผื่อเอาไว้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้
แต่เมื่อถึงเวลาป้อนยา กลับเกิดปัญหา เซี่ยงหลิงหลิงที่ก่อนหน้านี้สะอึกจนต่อเนื่อง อาจทำให้ลำคอได้รับการบาดเจ็บ ยาที่ป้อนเข้าไปกลับถูกสำลักออกมาเกือบทั้งหมด
หลังจากพยายามอยู่นาน เหลียนซินก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วม
ซูเล่ออวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องป้อนยาแล้ว ใช้การแช่ในยาสมุนไพรแทนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานนัก ถังยาสมุนไพรก็ถูกเตรียมจนพร้อม เมื่อไอน้ำร้อนลอยขึ้นมา เซี่ยงหลิงหลิงถูกพยุงให้ลงไปนั่งในถัง
ซูเล่ออวิ๋นยืนอยู่ด้านหลัง แล้วฝังเข็ม 5 เล่มลงบนแผ่นหลังและหัวไหล่ของเซี่ยงหลิงหลิง
หลังเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ไอหมอกเริ่มพวยพุ่งออกมาจากศีรษะของเซี่ยงหลิงหลิง สีหน้าของนางเริ่มกลับมามีเลือดฝาด
อีกครึ่งชั่วยามต่อมา เหลียนซินช่วยพยุงเซียงหลิงหลิงออกจากถังน้ำยาสมุนไพร แล้วเช็ดตัวให้นางจนแห้ง
เมื่อซูเล่ออวิ๋นตรวจอีกครั้ง บริเวณแก้มและใบหูของนางก็ไม่ร้อนอีกต่อไป
...
ในยามดึก ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาปะทะจนซูเล่ออวิ๋นตื่นจากการงีบหลับ นางขยี้หางตาอย่างเบาๆ ขณะที่ในห้องยังคงเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบากับเสียงลมที่ลอดผ่านเข้ามา
จากระยะไกล เสียงระฆังยามดังขึ้นบอกว่าเป็นเวลายามสาม
ซูเล่ออวิ๋นลุกขึ้นยืน มองไปที่เหลียนซินซึ่งนั่งพิงโต๊ะหลับสนิท
นางไม่ได้ปลุกเหลียนซิน แต่เดินเข้าไปตรวจชีพจรของเซี่ยงหลิงหลิงบนเตียง
อาการของนางดีขึ้นมากแล้ว ผื่นแดงบนร่างกายจางลงจนแทบมองไม่เห็น
ซูเล่ออวิ๋นดึงมือกลับ แต่ทันใดนั้น มือหนึ่งก็ยื่นมาจับมือนางไว้
“พี่สาวหรือ”
เสียงแหบพร่าและอ่อนแรงของเซี่ยงหลิงหลิงดังขึ้นเบาๆ
ซูเล่ออวิ๋นก้มลงมอง เห็นว่าเซี่ยงหลิงหลิงได้ลืมตาขึ้นมาตอนไหนไม่รู้
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
ซูเล่ออวิ๋นโน้มตัวลงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนหรือ”
“อืม ล่วงเข้ายามเช้าแล้ว”
“อ๋อ… ถึงว่าสิ ทำไมมันมืดนัก…”
คำพูดของเซี่ยงหลิงหลิงทำให้ซูเล่ออวิ๋นชะงัก “มืดหรือ”
นางหันไปมองเปลวเทียนที่ยังคงลุกไหว แม้จะริบหรี่แต่ก็พอให้เห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจน
ด้วยความสงสัย ซูเล่ออวิ๋นยกมือขึ้นโบกเบาๆ ต่อหน้าเซี่ยงหลิงหลิง “หลิงหลิง เจ้ามองเห็นมือข้าหรือไม่”
“พี่สาว ในความมืดขนาดนี้ ข้าจะมองเห็นได้อย่างไรเล่า”
คำตอบนั้นทำให้ซูเล่ออวิ๋นขมวดคิ้วแน่น เพราะนางมองเห็นใบหน้าของเซี่ยงหลิงหลิงได้ชัดเจนในแสงเทียนที่ส่องอยู่
ด้วยความกังวล นางตรวจชีพจรของเซี่ยงหลิงหลิงอีกครั้ง แต่ผลกลับเหมือนเดิม ทุกอย่างดูปกติจากชีพจร
“พี่สาว เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร เจ้าพักผ่อนต่อเถิด”
“อืม”
เซี่ยงหลิงหลิงตอบรับแผ่วเบา ก่อนจะผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แสดงว่านางกลับไปหลับอีกครั้ง
ซูเล่ออวิ๋นนั่งลงที่โต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่นาน เหลียนซินก็ตื่นขึ้น นางรีบลุกขึ้นปัดคราบน้ำลายที่มุมปากด้วยความลุกลี้ลุกลน
“คุณหนู ข้านอนหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
ซูเล่ออวิ๋นโบกมือให้เบาๆ พลางกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร เจ้าพูดเบาๆ หน่อย หลิงหลิงเพิ่งตื่นเมื่อครู่ ตอนนี้กลับไปพักแล้ว ไม่น่ามีอะไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูก็ควรพักด้วยเจ้าค่ะ”
ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้า และมองดูเหลียนซินดับเทียนลง
ในห้องมีการเตรียมเตียงเล็กไว้ให้ ซูเล่ออวิ๋นนอนลงโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ความคิดในหัวหมุนวนไปมา
นางตระหนักได้ว่า เซี่ยงหลิงหลิงอาจกำลังเผชิญกับผลข้างเคียงบางอย่าง อาการตาบอดในความมืดนี้เป็นสิ่งที่นางไม่รู้ว่าเป็นเพียงชั่วคราวหรือถาวร เพราะความรู้เกี่ยวกับโรคปานม่วงของนางยังมีจำกัดนัก