บทที่ 132 จินจินที่ถอยกลับกลายเป็นไข่
ราชาเอลฟ์กลอกตาไปมา
“แหวะ! ใครกันอยากจะมามองหน้าชราเหี่ยวย่นของเจ้า! ข้ามาตามหามนุษย์หญิงคนหนึ่ง! นางนำสมบัติล้ำค่าของเผ่าเอลฟ์ไป!”
ชางอู่แค่นเสียงอย่างดูถูก!
“โกหกโดยไม่คิดเลย! บนแผ่นดินเอลฟ์นี้จะมีมนุษย์ได้อย่างไร…”
เสียงของเขาชะงักลงทันทีเมื่อดูเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันกลับไปอย่างรวดเร็ว มองไปรอบๆก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่จินเป่าเอ๋อในระยะไกล ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง!
เหตุผลก็เพราะในอ้อมแขนของจินเป่าเอ๋อมีเด็กน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกคน ท่ามกลางพวกเขาทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้นช่างดูเหมือนครอบครัวที่อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ! ความงามของทั้งสามทำให้ยากที่จะเชื่อได้เลยว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน!
ราชาเอลฟ์ก็หันไปเห็นเป่าเปาเช่นกัน และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นในทันที! “นางนั่นเอง!”
เหล่าฟีนิกซ์ทั้งหลายต่างพากันงงงวย! ตามหานางอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พวกเขาสู้กันมานานนี้ก็เพื่ออะไร ฝึกฝนกันเฉยๆอย่างนั้นหรือ
ในขณะเดียวกัน จินเป่าเอ๋อก็สังเกตเห็นสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่ตน นางยังคงสงบนิ่ง
“ในเมื่อราชาเอลฟ์กล่าวว่าไป๋ไป๋จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อแผ่นดิน ข้าก็ไม่ได้ไร้เหตุผล หากจะให้ไป๋ไป๋อยู่ที่นี่ ข้ามีเงื่อนไข!”
ใครจะไปคาดคิดว่านางจะยอมเจรจา ราชาเอลฟ์เลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าที่ดูสูงศักดิ์เยือกเย็น แต่ลืมไปว่าสภาพของตนเองในขณะนี้เต็มไปด้วยความยับเยิน!
“ว่ามาเถิด” จินเป่าเอ๋อได้ยินดังนั้นจึงแย้มยิ้มเล็กน้อย
“ข้อแรก ข้าต้องการกิ่งสดจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเอลฟ์สามกิ่ง! ข้อสองไป๋ไป๋ไม่ชอบให้ใครรบกวน ดังนั้นนางต้องได้จำศีลอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์! ข้อสามข้าต้องการ ‘หัวใจแห่งเอลฟ์’!” สิ้นเสียงของนาง ราชาเอลฟ์ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเย็นเยียบขึ้นในพริบตา!
“สองข้อแรกข้าตกลงได้ แต่ข้อสุดท้ายเป็นไปไม่ได้!”
จินเป่าเอ๋อไม่ได้หวาดหวั่น สีหน้าของนางแสดงความอ่อนใจพร้อมกล่าวขึ้น
“เช่นนั้น ข้าก็จนปัญญาแล้ว! อย่างไรเสีย ไป๋ไป๋ก็เชื่อฟังแต่ข้า ถ้าข้าจากไป นางต้องตามข้าไปแน่…น่าเสียดายที่แผ่นดินเอลฟ์นี้อาจถึงคราวล่มสลาย!”
ท่าทางนั้นของนางทำเอาราชาเอลฟ์แทบจะสบถออกมา แต่เขารู้ดีว่าสิ่งใดสำคัญกว่า จึงได้แต่กดหน้าดำข่มโทสะไว้
“หัวใจแห่งเอลฟ์คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่าเอลฟ์สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ไม่อาจมอบให้เจ้าได้! เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น!”
หากไม่ใช่เพราะเขาสู้หลงหลีซิงไม่ได้ มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเล็กๆเช่นนี้คงถูกเขาทำให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ไปนานแล้ว! ไม่มีทางที่นางจะมีสิทธิ์มาเจรจากับเขาได้เช่นนี้!!
แม้เผ่าเอลฟ์จะรักสันติ แต่หากต้องต่อสู้จริงๆ ก็โหดเหี้ยมไม่น้อย
จินเป่าเอ๋อขมวดคิ้ว คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้นในขณะที่ความอดทนของราชาเอลฟ์ใกล้หมดลงเต็มที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้ ข้าเห็นว่าไม้เท้าของท่านนั้นดูงดงามมาก…ใช้เพชรประดับบนไม้เท้านั่นแลกเปลี่ยนกับข้าสิ!”
คำพูดนี้ทำให้ดวงตาของราชาเอลฟ์หดแคบลงทันที เขามองนางด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน…ก่อนจะหันไปมองหลงหลีซิงที่ยังคงไร้ความรู้สึกใดๆ และทันใดนั้นก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่ามนุษย์เช่นเจ้ารู้เรื่องหัวใจแห่งเอลฟ์ได้อย่างไร ที่แท้พวกเจ้าก็วางแผนไว้แล้วสินะ! รอข้าอยู่ที่นี่เลย!”
แต่ถึงอย่างนั้น เขารู้ดีว่าของสิ่งนี้ยังเทียบไม่ได้กับไป๋ไป๋ เขาจึงมองไปยังหลงหลีซิงด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“เจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ! ข้ายังคิดว่ากลิ่นอายเฉพาะตัวของเผ่าเอลฟ์จะปิดบังได้ ที่แท้ก็ถูกเจ้าจับได้อยู่ดี!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างงุนงงไปตามๆกัน จนกระทั่งจินเป่าเอ๋อได้รับสิ่งที่ต้องการ รวมทั้งเพชรบนไม้เท้านั้นด้วย นางจึงสัมผัสได้ถึงพลังมังกรที่แผ่ซ่านออกมาอย่างชัดเจน นางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง! ไม่แปลกใจเลยที่จู่ๆ เจ้าถึงต้องการของสิ่งนี้” หลงหลีซิงยังไม่ทันจะพูดอะไร ราชาเอลฟ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ของก็ให้เจ้าไปแล้ว! แล้วนางล่ะ”
จินเป่าเอ๋อแสยะยิ้ม ก่อนจะโยนวัตถุคล้ายวุ้นก้อนหนึ่งไปให้ ราชาเอลฟ์ตกใจถอยกรูด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ!
“นี่…นี่มันอะไร?!”
“เอ๋ เจ้าไม่ต้องการนางแล้วหรือ นี่คือร่างแท้จริงของนางนะ~ ถ้าไม่อยากได้ ข้าก็…”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ ราชาเอลฟ์ก็รีบสั่งให้สตันตี้ที่ยืนอยู่ข้างๆไปรับมันมา หลังจากตรวจสอบแล้วก็พยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าใช่จริง ราชาเอลฟ์จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ฮึ! เจ้าฟีนิกซ์เฒ่า วันนี้เรายังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ ครั้งหน้าเจ้าเตรียมตัวโดนหั่นเป็นชิ้นๆ ได้เลย!”
ชางอู่แค่นเสียง “ก็ดีเหมือนกัน!”
การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็จบลงแบบลวกๆ เช่นนั้นเอง…
ไม่นานนัก…
“ท่านหัวหน้าชางอู่ ข้าขอถามหน่อยเถิด ช่วงนี้มีฟีนิกซ์ทองคำตกลงมาในเผ่าฟีนิกซ์หรือไม่”
ชางอู่มองไปยังนางด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้า!
ไม่ใช่ว่าเขามีนิสัยดีอะไรขนาดนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเล็กเช่นนี้ เขาแทบไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพียงแต่ชายที่ยืนข้างนางไม่เพียงแต่ดูหยาบกระด้าง ดุดันและโอหัง ยังไม่พูดอะไรเลยแต่ก็ยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ทำให้ชางอู่เลี่ยงไม่ได้ที่จะตอบคำถาม
เมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการมีอยู่ของจินหวง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวความกังวลก็แทรกซึมเข้ามาในใจ
“มีอยู่ก็จริง! แต่บาดแผลของนางร้ายแรงมาก ปัจจุบันนอนหลับไม่ตื่นมาหลายวันแล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะถอยกลับสู่สภาพเดิม”
ถอยกลับหรือ หมายความว่าอย่างไร
คางอู่เหมือนจะจับความสงสัยของนางได้ จึงถอนหายใจ
“เรื่องนี้ก็แปลกอยู่ นางมีบาดแผลฉกรรจ์เหมือนถูกฉีกกระชากทั่วร่าง หลังจากที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า เลือดไหลอาบตัว ดูเหมือนจะยังเป็นเพียงลูกนกที่อ่อนแออยู่แล้ว ขาดสารอาหาร และต่อมาก็ไม่ได้รับการบำรุงพอสมควร จึงทำให้พลังไม่เพียงพอ”
กล่าวคือ จินจินเกิดมาด้วยร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อไม่สามารถได้รับสารอาหารเพียงพอและต้องเผชิญกับบาดแผลจากพายุขณะกลับมายังเผ่าฟีนิกซ์ จึงส่งผลให้พลังของนางถดถอย!
ในฐานะผู้ที่ทำพันธสัญญากับจินจิน นางกลับไม่เคยตระหนักถึงความอ่อนแอของนางเลย!
ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ามาในจิตใจของจินเป่าเอ๋อ นางตัวแข็งทื่อราวกับตกตะลึง นึกย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่จินจินต้องแบกรับพายุภายในค่ายกลเพื่อพาทุกคนข้ามผ่าน ทั้งที่นางเพิ่งเกิดได้ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่กลับฝืนตัวเองอย่างหนัก…
เป็นเพราะนาง! หากนางเอาใจใส่ให้มากกว่านี้ เรื่องคงไม่ถึงเพียงนี้…
“เจ้าอย่าได้โทษตัวเองนักเลย แม้เจ้าจะรู้ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้อยู่ดี! ทวีปบำเพ็ญเพียรนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยฟื้นฟูนางได้หรอก! เผ่าฟีนิกซ์มีสถานที่หนึ่งชื่อว่า ‘ป่าหลุดลอย’ ซึ่งสามารถเก็บผลฟีนิกซ์มาเสริมสารอาหารให้แก่นาง”
เสียงของหลงหลีซิงแฝงไว้ด้วยความปลอบประโลมและดูเหมือนพูดลอยๆ ทว่าทำให้ชางอู่ถึงกับเบิกตากว้าง เคราขาวสะบัดขึ้นอย่างตื่นตกใจ
“ท่านปรมาจารย์มังกร ท่านพูดถึง ‘ป่าหลุดลอย’ อย่างนั้นหรือ ที่นั่นคือสถานที่ที่เผ่าฟีนิกซ์ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป แม้แต่ข้าไปเองยังมีโอกาสรอดเพียงเล็กน้อย แล้วจะเก็บผลฟีนิกซ์ได้อย่างไร…หากเป็นท่านในสภาพเต็มกำลังก็ว่าไปอย่าง แต่ในตอนนี้กระทั่งตัวท่านเองยังทำไม่ได้!”
คำพูดของเขาแสดงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ทว่าในขณะเดียวกันก็ทำให้ดวงตาของจินเป่าเอ๋อทอประกายขึ้น นี่อาจเป็นหนทางเดียวที่นางจะชดเชยให้จินจินได้! “ข้าขอดูนางก่อนเถิด”
ชางอู่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อน “เอาเถิด พวกเจ้าตามข้ามา”
เขาไม่โง่ ครั้งแรกที่มองเห็นนางก็รู้ว่านางมีพลังของเผ่าฟีนิกซ์แฝงอยู่ในตัว อาจเป็นเพราะทำพันธสัญญากับฟีนิกซ์ตนหนึ่ง ทว่าเผ่าสัตว์อสูรไม่เคยเห็นมนุษย์ในสายตา ยิ่งเป็นเผ่าฟีนิกซ์ที่หยิ่งผยองก็ยิ่งแล้วใหญ่! แต่เด็กสาวผู้นี้มีอะไรพิเศษเช่นไร เขาต้องการจะดูให้ชัดเจน
ไม่นานนัก จินเป่าเอ๋อก็ได้มองเห็นไข่ฟีนิกซ์ขนาดใหญ่ราวหนึ่งเมตรตรงหน้า
นางมองเห็นร่างของฟีนิกซ์ที่ขดตัวอยู่ข้างใน ความรู้สึกซับซ้อนต่างๆถาโถมเข้าใส่…
นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าการถดถอยหรือ