บทที่ 131 ครอบครัวเดียวกัน
ความเข้าใจที่เข้าขากันอย่างดีนี้ทำให้จินเป่าเอ๋อถึงกับต้องเอ่ยชมในใจ!
ราชาเอลฟ์เองก็ลืมเป้าหมายของการมาในครั้งนี้ไปชั่วขณะ รังสีแห่งอำนาจของเขาลดลงอย่างหนักหน่วง
ความกดดันที่แผ่ซ่านไร้เสียงได้กระจายออกไปทั่ว! ป่าทั้งผืนพลันปั่นป่วน เถาวัลย์สีเขียวจำนวนมหาศาลพุ่งพรวดขึ้นจากพื้นราวกับจะฉีกฟ้า แล้วพันธนาการฟีนิกซ์ไว้และดึงร่างลงมาอย่างแรง!
เมื่อชางอู่เห็นสมาชิกในเผ่าของตนถูกโจมตี สีหน้าของเขาก็มืดทะมึน เขาพลันแปลงร่างเป็นร่างสัตว์อสูรอันมหึมา สยายปีกแดงฉานต้านลมพัดกระหน่ำ กลิ่นอายแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปะทะเข้ากับพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ นำมาซึ่งแรงปะทะมหาศาล!
กระแสลมอันทรงพลังหมุนวนรอบกายเขา แผ่ซ่านความร้อนอันเข้มข้น เข้าโจมตีศูนย์กลางของเหล่าเอลฟ์ กวาดล้างพวกเขาไปในวงกว้าง!
พลังอันแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายกระทบกันอย่างหนักหน่วง จินเป่าเอ๋อที่มีพลังเพียงขั้นกลางของระดับฮวาชินย่อมไม่อาจทนทานได้! สีหน้าของนางซีดขาวทันที ร่างกายของนางถูกกดจนแทบขยับไม่ได้ ความตกตะลึงที่เกิดขึ้นในใจของนางไม่อาจบรรยายได้! นางทำได้เพียงจ้องมองการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายตาไม่กะพริบ พลางรู้สึกถึงความกดดันที่มาจากปอดราวจะขาดอากาศหายใจ
แข็งแกร่งมาก! พลังนี้ไม่ใช่เพียงขั้นรวมร่าง…
เหนือกว่าผู้แข็งแกร่งจากแดนเบื้องบนที่เคยบดขยี้นางเสียอีก!
นี่…หรือจะเป็นพลังของผู้ที่ก้าวข้ามขั้นรวมร่างและทะยานสู่แดนเบื้องบนแล้วหรือ ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน! นางแทบไม่มีทางโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย
ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความตื่นเต้นที่มาจากวิญญาณแผ่ซ่าน นางเองก็จะต้องแข็งแกร่งได้ใช่หรือไม่ สักวันหนึ่ง นางจะต้องแข็งแกร่งเช่นนี้ได้แน่!
แสงสีทองเขียวและแสงสีทองแดงเข้าปะทะกันด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่เห็น เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นระยะแสดงถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ไม่อาจมองข้ามได้ ทำให้ทุกคนต่างหวาดหวั่น!
ในตอนนั้นเอง มีมือใหญ่ข้างหนึ่งเข้ามาโอบเอวนางไว้! กลิ่นอายที่คุ้นเคยแต่แฝงด้วยความแปลกประหลาดพัดผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปัดเป่าความหวาดกลัวรอบข้างไปจนหมดสิ้น! ร่างของนางที่ถูกกดทับจนขยับไม่ได้ก็ได้รับการปลดปล่อยทันที
นางเงยหน้าขึ้น แล้วสบตากับดวงตาสีม่วงที่แฝงด้วยความโกรธเล็กน้อยคู่นั้น
“โง่จริง! เจ้าจะไม่เอ่ยปากให้ช่วยสักคำเลยหรือ”
แรงกดดันที่ปะทะกันทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรจะทนไหวได้อย่างไรกัน! นางไม่กลัวว่าร่างจะระเบิดตายหรือ
จินเป่าเอ๋อกัดริมฝีปาก นางเป็นผู้บำเพ็ญกายา
ต่อให้บาดเจ็บภายในอย่างมากสุดก็กินเม็ดยาฟื้นฟูแล้วจะหายได้ในเร็ววัน
ที่สำคัญการต่อต้านแรงกดดันลักษณะนี้คือหนทางที่ดีที่สุดในการฝึกฝนร่างกาย ถึงจะเจ็บปวดบ้าง แต่นางก็ได้รับผลลัพธ์ดีๆจากการฝึกฝน ดังนั้นไม่ตายก็ถือว่าใช้ได้! แต่ทำไม…เขาถึงกังวลถึงเพียงนี้
เพราะระยะที่ใกล้กันมากขึ้น นางจึงมองเห็นชัดเจน! หลงหลีซิงกำลังกังวลเรื่องของนาง! แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่สหายร่วมทางเท่านั้นมิใช่หรือ ก็แค่เงื่อนไขที่เกี่ยวพันกับการคืนชีพของนาง หากดูจากพลังของหลงหลีซิงในปัจจุบันแล้ว เกรงว่าเขาสามารถฟื้นพลังของตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งนางอีกต่อไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายของชายหนุ่มที่แผ่กระจายอยู่โอบล้อมนางไว้ แขนแกร่งกอดรัดนางแน่นพร้อมกับปัดป้องเถาวัลย์ที่พุ่งขึ้นจากใต้เท้าออกไป จากนั้นจึงพานางฝ่าฟันผ่านฝูงฟีนิกซ์มากมาย…
ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบัน ไม่มีใครเคยปกป้องนางเช่นนี้มาก่อน นางมักจะต้องปกป้องตนเอง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่ยืนอยู่แนวหน้าคอยปกป้องผู้อื่น!
นี่เป็นครั้งแรก…ที่มีใครสักคนโอบอุ้มนางไว้อย่างห่วงใย…
คิดมาถึงตรงนี้ นางถอนหายใจ นี่คือสิ่งที่นางไม่อยากยอมรับมาตลอด! เพราะหลงหลีซิงคือมังกร ส่วนนางเป็นมนุษย์ อีกทั้งนางเคยเคารพเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่หรืออาจารย์ โดยเฉพาะเมื่อนางได้รู้ว่าเขามีอายุกว่าหมื่นปีแล้ว ด้วยความคิดที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมของนาง การยอมรับเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ลำบากใจนัก
เมื่อพวกเขาหลุดพ้นออกจากสถานการณ์อันตราย หลงหลีซิงก็เพิ่งสังเกตท่าทีของตนเองในขณะนั้น กลิ่นหอมเย็นเฉียบ ที่อบอวลทำให้เขาแข็งทื่อเล็กน้อย สายตาที่ก้มลงมองเห็นเพียงดวงตากลมโตของนางที่จ้องกลับมาไม่มีวี่แววความรู้สึกใดๆบนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขา แต่ปลายหูกลับแดงเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด!
กระนั้น จินเป่าเอ๋อก็ไม่ได้ผลักไสออก เขาเองก็ไม่คลายอ้อมกอดนั้นออก รักษาท่าทางเช่นนั้นไว้อยู่เนิ่นนาน…
“ราชาเอลฟ์คงมาตามหาไป๋ไป๋ นางคือเด็กที่ถือกำเนิดจากการออกดอกของต้นไม้แห่งชีวิต และเป็นต้นกำเนิดของพลังชีวิต หากนางไม่อยู่ในเผ่าเอลฟ์ ทวีปนี้อาจได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง…”
น้ำเสียงราบเรียบของนางอธิบายทุกอย่าง แม้ว่าจะมีความกังวลแฝงอยู่ แต่นางก็เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ดี
หลงหลีซิงชะงักไป นี่แค่นั้นเองหรือ
แม้จะไม่แน่ใจว่าตนกำลังคาดหวังอะไร แต่เขาก็ชอบไป๋ไป๋ม่น้อย นางช่วยควบคุมเจ้าแมวตัวแสบได้ดีทีเดียว!
“เรียกไป๋ไป๋ออกมาเถอะ”
น้ำเสียงที่มั่นคงและอ่อนโยนของเขาทำให้แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกแปลกใจ จินเป่าเอ๋อยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน นางรีบเรียกเด็กหญิงตัวน้อยออกมา พร้อมทั้งใช้โอกาสนั้นผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
หลงหลีซิงที่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยจากการถูกผละออกไป กลับสังเกตเห็นอาการของนาง และแววตาสีม่วงของเขาก็สว่างขึ้นด้วยความยินดี…
ในวินาทีต่อมา เด็กหญิงน้อยกลมปุ๊กน่ารักก็ปรากฏตัวขึ้นในอ้อมแขนของจินเป่าเอ๋อ ตัวของนางยังมีคราบโคลนเปื้อนอยู่เต็มไปหมด มือเล็กๆ กำตุ๊กตาดินเหนียวไว้แน่น เมื่อรู้ตัวถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบข้าง นางเงยหน้าขึ้น กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะโผเข้ากอดจินเป่าเอ๋อด้วยความตื่นเต้น!
“พี่สาวคนสวย! ดูนี่สิที่ข้าปั้น!”
โคลนเลอะเทอะทำให้ปกเสื้อของจินเป่าเอ๋อสกปรกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะทันได้ขยับตัว เด็กหญิงก็ชูตุ๊กตาดินในมือขึ้นมาอย่างภูมิใจ เสนอให้นางดูด้วยความดีใจเต็มเปี่ยม!
“นี่คือพี่สาว นี่คือไป๋ไป๋ นี่คือแมวเหมียว และนี่คือจินจิน! พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน!”
คำสามคำนี้ทำให้จินเป่าเอ๋อเผลอมองไปที่ตุ๊กตาดินในมือของเด็กน้อย แม้ว่าไป๋ไป๋จะตัวเลอะเปรอะเปื้อนไปหมด โดยเฉพาะใบหน้าที่มอมแมมจนเหมือนกับเด็กขอทานตัวน้อย แต่ตุ๊กตาดินที่นางปั้นอย่างตั้งใจนั้น—คนสองคน แมวหนึ่งตัว นกหนึ่งตัว—กลับดูอบอุ่นและกลมเกลียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ…
จะว่าไปแล้ว…
จินเป่าเอ๋อยิ้มออกมาโดยไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้ามืดมนแค่ไหน!
“ใช่ ครอบครัวเดียวกัน!”
ด้วยการใช้พลังจิตวิญญาณทำความสะอาด พวกนางทั้งสองกลับมาสะอาดหมดจดในพริบตา เด็กหญิงน้อยที่กลายเป็นภาพลักษณ์สะอาดสะอ้านมองตนเองอย่างประหลาดใจ อ้าปากค้าง แล้วหันมามองจินเป่าเอ๋อด้วยแววตาชื่นชมสุดใจ!
“ว้าว~ พี่สาวคนสวยเก่งจัง! เก่งกว่าจินจินอีก!”
เพราะทุกครั้งที่พวกนางเล่นจนเลอะเทอะไปหมด จินจินจะใช้ไฟเผาสิ่งสกปรกให้หมดไป ทำให้นางต้องทนอยู่ในสภาพเลอะเทอะไปเสมอ
จินเป่าเอ๋อไม่ได้รู้เรื่องนี้ ใจของนางมัวแต่คิดว่าจะสอนอะไรให้ไป๋ไป๋ดี…
ในตอนนั้นเอง ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้อย่างดุเดือดก็เริ่มหยุดลง…
“แหะ…แหะ…”
“ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้! เผ่าฟีนิกซ์ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะคิดมาหรือไปเมื่อไรก็ได้ตามใจ!”
ชางอู่พูดพลางหอบหายใจหนักหน่วง ร่างกายเหน็ดเหนื่อยจนต้องพิงไม้เท้าพยุงตัวไว้ ผมสีขาวยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่นเต็มไปด้วยร่องรอยจากการถูกเถาวัลย์และพลังวิญญาณคมกริบฟาดฟัน ใบหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยความสง่างามตอนนี้ดูแทบไม่เหลือเค้าเดิม พลังวิญญาณในร่างของเขาก็แทบจะหมดลงแล้วเช่นกัน
ทางด้านราชาเอลฟ์ก็ไม่อยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้เลย มงกุฎบนศีรษะเอียงไปข้างหนึ่ง เหงื่อไหลพรั่งพรูเต็มหน้า เสื้อผ้าที่เคยหรูหราบัดนี้ฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ มีรอยไหม้เกรียมกระจายไปทั่ว โดยเฉพาะใบหน้าที่ถูกเปลวไฟลวกจนแดงเถือก ดูไม่เหลือความสง่างามและงดงามใด ๆ
“หอบ… เจ้าเหลวไหล! วันนี้ข้าไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะกับเจ้าเลยนะ! ทุกอย่างเป็นเพราะปากเจ้ามันแหลมคมต่างหาก!”
ชางอู่ได้ยินดังนั้นจึงพูดอย่างเหยียดหยามกลับไป
“ถ้าไม่ได้มาหาเรื่องต่อสู้กับข้า แล้วเจ้าพาพวกเอลฟ์มากันเยอะแยะทำไม”