บทที่ 5 เรื่องราวซับซ้อนขึ้นอย่างกะทันหัน
บางคนเคยล้อเลียนกวนอวิ๋นว่าเขาอ่านหนังสือพิมพ์จริงจังกว่าอ่านเอกสารเสียอีก และตั้งคำถามว่า หนังสือพิมพ์จะช่วยให้เขาเลื่อนตำแหน่งได้หรือ? กวนอวิ๋นเพียงยิ้มรับ ไม่ได้อธิบายหรือแก้ตัวอะไร การอ่านหนังสือพิมพ์เป็นนิสัยที่เขาเริ่มติดมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง และแม้กลับมาอยู่ในอำเภอข่ง เขาก็ยังคงนิสัยนี้ไว้ เพราะเขาเชื่อว่าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ของพรรค เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับเข้าใจเหตุการณ์ระดับชาติและแนวโน้มของนโยบาย
สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ กวนอวิ๋นไม่เพียงแต่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ เขายังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ทุกวันเป็นกิจวัตร หนังสือที่เขาอ่านล้วนเป็นงานประวัติศาสตร์คลาสสิก เช่น ประวัติศาสตร์ยี่สิบสี่ราชวงศ์ และ บันทึกประวัติศาสตร์ (史记)ทุกคืนก่อนนอน หากเขาไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง เขาจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
เขาเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อเป็นบทเรียนในการตัดสินใจ” หากข่าวในหนังสือพิมพ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางของนโยบายและสถานการณ์ระดับชาติ หนังสือประวัติศาสตร์ก็ให้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและความรุ่งโรจน์หรือความล่มสลายของยุคสมัย
ลมฤดูร้อนพัดเข้ามา ทำให้ม่านไม้ไผ่กระทบกันดังเบา ๆ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงบที่ชวนให้คิดลึกซึ้ง กวนอวิ๋นและเวินหลินต่างนั่งอยู่ในความคิดของตนเอง ไม่มีใครพูดอะไร
สำหรับกวนอวิ๋น ความคิดของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องโรแมนติก แต่เป็นความกังวลเกี่ยวกับ
อนาคต หากเหิงเฟิงถูกย้ายออกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ การวางแผนของเขาอาจล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการสูญเสียโอกาส แต่ยังอาจทำให้สถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ยิ่งแย่ลง
ในขณะที่กวนอวิ๋นกำลังคิด เวินหลินกลับแสดงออกถึงความล่องลอย เธอมองออกไปที่ต้นหลิวเป็นพัก ๆ และบางครั้งสายตาก็เหลือบมองหน้ากวนอวิ๋นด้วยความลังเล ริมฝีปากที่เม้มแน่นบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจในใจของเธอ ราวกับเธอกำลังพยายามตัดสินใจว่าจะบอกอะไรบางอย่างกับ
กวนอวิ๋นดีหรือไม่
ทันใดนั้น เสียงม่านไม้ไผ่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงใสกังวานของเด็กหญิงคนหนึ่งที่พูดอย่างคล่องแคล่ว
“ขอโทษค่ะ ที่นี่คือแผนกเลขานุการสำนักงานพรรคใช่ไหมคะ?”
กวนอวิ๋นและเวินหลินเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน และพบเด็กหญิงอายุราว 15-16 ปี ยืนอยู่หน้าประตู ผมของเธอถักเป็นเปียสองข้าง สวมชุดกระโปรงสีเหลืองนวลที่ดูสะอาดตา พร้อมสะพายกระเป๋าเป้ ใบหน้าเรียวรูปเมล็ดแตง ดวงตาโตแบบตาหงส์ ขาเรียวขาวเนียน และแขนที่ดูนุ่มนวลราวหยกขาว ทำให้เธอดูงดงามและบริสุทธิ์
การปรากฏตัวของเธอเป็นเหมือนเมฆสีขาวลอยอยู่กลางฟ้าที่สดใส ชวนให้รู้สึกถึงความบริสุทธิ์และสง่างาม
ทั้งกวนอวิ๋นและเวินหลินต่างนิ่งอึ้งมองเด็กหญิงคนนั้น เวินหลินคิดอะไรอยู่กวนอวิ๋นไม่แน่ใจ แต่สำหรับเขา มันเหมือนกับได้พบกับ "หลินไต้หยู"* ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า
“หนูจ๊ะ ที่นี่คือแผนกเลขานุการสำนักงานพรรคค่ะ หนูมาหาใครเหรอ?” กวนอวิ๋นลุกขึ้นและเดินไปถามด้วยความสุภาพ
เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดก่อนจะมองเวินหลินแวบหนึ่ง เธอชี้มือเรียกกวนอวิ๋นให้เข้ามาใกล้และพูดเบา ๆ
“พี่ชาย ขยับมาใกล้ ๆ หน่อยค่ะ หนูบอกได้แค่พี่คนเดียว”
กวนอวิ่นหันกลับไปมองเวินหลินอย่างงุนงง เวินหลินทำหน้าสงสัยและยิ้มเล็กน้อย
โดยไม่คิดอะไรมาก กวนอวิ๋นย่อตัวลงและยื่นหูเข้าไปใกล้เด็กหญิง คิดว่าเธอจะกระซิบบอกอะไรเขา แต่เธอกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไม่บอกค่ะ!”
“ฮ่า ๆ!” เวินหลินหัวเราะจนตัวงอ ชี้ไปที่กวนอวิ่นพร้อมพูดติดตลก
“โดนเด็กหญิงหลอกเข้าให้แล้ว นายกวนอวิ๋น วันนี้แหละที่เป็นวันของนาย ฮ่า ๆ!”
กวนอวิ๋นพยายามไม่สนใจคำล้อเลียนของเวินหลิน และหันมาจ้องมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสีหน้าขึงขัง
“หนูคะ การแกล้งคนแบบนี้มันไม่สนุกหรอกนะ และที่นี่ไม่ใช่ที่ให้หนูมาเล่นซุกซน ที่นี่คือสำนักงานพรรค”
เด็กหญิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“หนูไม่ได้มาเล่นนะคะ หนูมีเรื่องสำคัญจริง ๆ ที่ต้องมาหาคน ฟังจากน้ำเสียงพี่ พี่ต้องเป็นเวินหลินแน่เลย ใช่ไหมคะ?”
คำพูดของเด็กหญิงทำให้กวนอวิ๋นอึ้ง เธอฉลาดพอที่จะรู้ว่า “เวินหลิน” เป็นชื่อผู้หญิง แต่กลับตั้งใจเรียกเขาแบบผิด ๆ แถมยังจับมือเขาและพูดว่า
“พี่เวิน หนูมาหาพี่นี่แหละค่ะ”
กวนอวิ๋นหัวเราะไม่ออก จะร้องไห้ก็ไม่ได้ เพราะดูเหมือนเด็กหญิงตั้งใจแกล้งเขาอย่างจริงจัง เขาถึงกับคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ "หลินไต้หยู" อ่อนโยนตามที่เขาจินตนาการ แต่กลับเป็นหลินไต้หยูที่เจ้าเล่ห์และเปี่ยมไปด้วยกลเม็ด
เวินหลินที่ยืนหัวเราะอยู่แล้วก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินเด็กหญิงเรียกกวนอวิ๋นว่า “พี่เวิน” เธอหัวเราะจนลุกขึ้นไม่ไหว โก้งโค้งกับโต๊ะ น้ำตาไหลด้วยความขบขัน
กวนอวิ๋นได้แต่ส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“พี่เวิน? หนูต้องเรียกพี่สาวคนนี้ว่าเวินหลินต่างหาก ส่วนพี่ชื่อกวนอวิ๋น” เขาชี้ไปที่เวินหลินเพื่อช่วยอธิบาย แต่เด็กหญิงยังคงทำทีไม่เข้าใจ
“พี่เวินคะ ถึงพี่จะดูผิวขาวเหมือนผู้หญิง แต่ยังไงพี่ก็เป็นผู้ชายนะ หรือว่าพี่อยากให้หนูเรียกพี่ว่า ‘พี่สาว’ จริง ๆ?”
“ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องไปก่อน ไม่งั้นคงหัวเราะจนเป็นบ้า” เวินหลินพูดพร้อมหัวเราะหนักจนต้องเอามือจับท้องและเดินออกจากห้องไป ทิ้งกวนอวิ๋นให้ยืนอยู่กับเด็กหญิงและความวุ่นวาย
กวนอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ต้องฝืนยิ้ม เขาตัดสินใจตั้งท่าจริงจังพร้อมพูด
“โอเค ถ้าหนูคิดว่าพี่คือเวินหลิน หนูชื่ออะไร และมาหาพี่ทำไมล่ะ?”
เด็กหญิงยิ้มพร้อมตอบ
“หนูชื่อหลี่ฮวาเอ๋อร์ มาจากเมืองหลวง หนูมาหาพี่เพราะไม่มีใครดูแลหนูแล้วค่ะ” เธอเดินเข้ามาควงแขนกวนอวิ๋น พร้อมทำหน้าตาเศร้าเหมือนคนถูกทอดทิ้ง
“พี่เวินคะ อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียวนะคะ หนูไม่อยากกลายเป็นเด็กที่ไม่มีใครดูแล ไม่มีข้าวกิน ไม่มีใครรักเลย”
ชื่อ “หลี่ฮวาเอ๋อร์” และคำว่า “มาจากเมืองหลวง” ทำให้กวนอวิ๋นเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เขามองหน้าเด็กหญิงอย่างตั้งใจ ลักษณะใบหน้า ดวงตา และคิ้วของเธอคล้ายกับหลี่อี้เฟิง ผนวกกับรอยยับบนกระโปรงจากการนั่งนานและรอยกดบนมือที่อาจเกิดจากการถือกระเป๋านาน กวนอวิ๋นจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันที
เด็กหญิงตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น “หลี่ฮวาเอ๋อร์” ลูกสาวสุดที่รักของหลี่อี้เฟิง ที่หวังเชอจวินเคยบอกว่าเขาต้องไปรับ
กวนอวิ๋นอดสงสัยไม่ได้ ทำไมหลี่ฮวาเอ๋อร์ถึงมาโผล่ที่แผนกเลขานุการได้เอง? หวังเชอจวินหายไปไหน ทำไมถึงไม่ได้ไปรับเธอตามที่บอกไว้? ต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ
เขาถามเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ฮวาเอ๋อร์ แล้วพี่เชอจวินล่ะ? เขาไม่ได้มารับหนูเหรอ?”
“เขาไปประชุมกับพ่อของหนูที่ในเมือง เลยไม่มีเวลามาดูแลหนูค่ะ เขาบอกให้หนูมาที่นี่ แล้วให้พี่เวินหลินช่วยดูแล” หลี่ฮวาเอ๋อร์พูดพร้อมใช้มือพัดตัวเอง “ที่นี่ร้อนจังเลย ทำไมไม่มีเครื่องปรับอากาศ?”
กวนอวิ๋นถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม แม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะซับซ้อนมากแค่ไหน แต่เขารู้ว่าต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะตามมา
กวนอวิ๋นเปิดพัดลมเพดานเพื่อไล่ความร้อนขณะความคิดในหัวหมุนวนไปมา การที่หลี่อี้เฟิงไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วจู่ ๆ เดินทางไปประชุมในเมือง น่าจะหมายถึงมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการที่หวังเชอจวินเดินทางไปด้วยก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่อี้เฟิงใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา แม้ว่าหลี่อี้เฟิงจะให้ความสำคัญกับหวังเชอจวิน แต่ไม่เคยพาเขาไปประชุมในเมืองด้วย การที่หวังเชอจวินให้หลี่หวาเอ๋อร์มาหาเวินหลินแทนที่จะมาหาเขา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนที่หวังเชอจวินระวังตัวที่สุดก็คือกวนอวิ๋น เขาไม่มีทางมอบหมายเรื่องสำคัญอย่างนี้ให้กับกวนอวิ๋น
หลี่ฮวาเอ๋อร์เป็นใคร? เธอคือแก้วตาดวงใจของหลี่อี้เฟิง ลูกสาวของเลขาธิการพรรค และในแง่ของสถานะ เวินหลินที่เป็นผู้หญิงก็ดูเหมือนจะปลอดภัยกว่ากวนอวิ๋นในสายตาของหวังเชอจวิน อีกทั้งทุกคนในสำนักงานพรรคก็รู้ดีว่าหวังเชอจวินแอบมีใจให้เวินหลินอยู่เล็กน้อย
ขณะที่กวนอวิ๋นกำลังคิดเรื่องต่าง ๆ โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
ในแผนกเลขานุการมีโทรศัพท์อยู่สองเครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นสายตรงสำหรับผู้นำ ซึ่งจะดังเฉพาะเมื่อมีเรื่องสำคัญ อีกเครื่องเป็นสายสาธารณะสำหรับติดต่อภายนอก ซึ่งโดยปกติจะปล่อยให้ดังสักสามครั้งก่อนจะรับสาย
ครั้งนี้เป็นสายตรงของผู้นำที่ดังขึ้น
กวนอวิ๋นรีบยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสายทันที
“ผมกวนอวิ๋นครับ”
“กวนอวิ๋น ฉันเอง เชอจวิน” เสียงของหวังเชอจวินดังขึ้นอย่างเร่งรีบ
“เวินหลินอยู่ไหม?”
หวังเชอจวินโทรเข้ามาทางสายตรงของผู้นำ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มมีบทบาทในสำนักงานมากขึ้นเรื่อย ๆ กวนอวิ๋นรู้ว่าเขาต้องการหาเวินหลินเรื่องอะไร จึงตอบกลับไปว่า
“ไม่อยู่ครับ เธอออกไปข้างนอก มีอะไรให้ช่วยไหม?”
หวังเชอจวินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนพูดอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันไปประชุมในเมืองพร้อมกับเลขาธิการหลี่และนายอำเภอเหิง ก่อนหน้านี้ฉันไปรับฮวาเอ๋อร์มา แต่ไม่มีเวลาพาเธอไปส่งที่แผนกเลขานุการ เลยให้เธอไปหาเวินหลินก่อน เธอไปถึงหรือยัง?”
กวนอวิ๋นยังไม่ทันตอบ หลี่ฮวาเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็รีบโบกมือทำท่าทางให้เขาไม่พูดความจริง เธอแลบลิ้นและทำหน้าทะเล้น
กวนอวิ๋นรู้สึกอึดอัดและไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
สิ่งที่หวังเชอจวินเพิ่งบอกทำให้กวนอวิ๋นตกตะลึงอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่หลี่อี้เฟิงจะเดินทางไปประชุมในเมืองโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่เหิงเฟิงก็ไปด้วย นั่นทำให้สถานการณ์ดูซับซ้อนขึ้นทันที การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาแทบจะตามไม่ทัน
หรือว่าการย้ายเหิงเฟิงกำลังจะเกิดขึ้นจริง? ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่เขาเพิ่งส่งเอกสารให้เหิงเฟิงก็อาจกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่า และถ้าเหิงเฟิงย้ายออกในช่วงเวลานี้ เขาอาจส่งเอกสารนั้นต่อให้หลี่อี้เฟิงเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในวินาทีสุดท้าย นั่นจะเป็นหายนะสำหรับกวนอวิ๋น
ในชั่วขณะนั้น กวนอวิ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกลงจากหน้าผาสูง ความคิดในหัวหยุดชะงัก และหัวใจเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ
(จบบท) ###