บทที่ 49 ชั้นแรกของหอคอยเทวะ
"ฉันคงต้องส่งนายแค่นี้" ซางจื่อจินกล่าว "อย่าลืมเรื่องที่ฉันบอกนะ เซียวหย่าจะรอพบนายอยู่ที่ชั้นแรก"
ถึงจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่การคุกคามจากตระกูลหยานก็ไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซางจะละเลยได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เซียวหย่ากำลังจะเปลี่ยนอาชีพครั้งที่สอง ซึ่งถือว่าโชคร้ายที่ดันมาตรงกับช่วงที่ตระกูลหยานกำลังตั้งใจจะหาเรื่องพอดี แต่การสอบประเมินนักรบใกล้เข้ามาทุกที จะให้หลีกเลี่ยงเพียงเพราะกลัวการถูกเล่นงานก็คงไม่ได้
เพราะน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ซางจื่อจินจึงเดินทางมารับหลี่เหยาถึงสนามบิน มิฉะนั้นเรื่องแค่สัญญาพันธมิตรก็คงรอจนกว่าหลี่เหยาจะทำภารกิจเปลี่ยนอาชีพเสร็จแล้วค่อยคุยกันก็ยังได้
ในสายตาของเธอ หากอยู่ในหอคอยเทวะไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวท็อปอย่างจางอี้เฉิง หลี่เหยาก็ถือเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่ไม่มีใครต่อกรได้ ตราบใดที่เขาใส่ใจช่วยดูแล น้องสาวของเธอก็ปลอดภัยหายห่วงแน่นอน
ซางจื่อจินครุ่นคิดแล้วก็อดกำชับไม่ได้ “ช่วยดูแลน้องสาวฉันด้วยนะ ถ้ามีอะไรที่ทำให้นายไม่พอใจ นายถือว่าทำเพื่อฉันแล้วกันนะ”
“ส่วนคนอื่น ๆ นายจะจัดการยังไงก็ได้ ฉันไม่ห่วง”
หลี่เหยาพยักหน้า “ไว้ใจได้ เรื่องที่ตกลงกันไว้ ฉันไม่ผิดคำพูด”
“ว่าแต่ ภารกิจครั้งนี้นายจะไปถึงชั้นไหน?” ซางจื่อจินเอ่ยถามด้วยความสงสัย ยิ่งสูง ภารกิจก็ยากขึ้นและเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถได้อย่างดี ตอนที่เธอเปลี่ยนอาชีพครั้งที่สอง เธอต้องขึ้นไปถึงชั้นแปดเพื่อทำภารกิจ และถ้าจะทำให้สมบูรณ์แบบก็คงต้องไปถึงชั้นเก้า หลี่เหยาคงไม่แพ้เธอแน่ ๆ
“ชั้นสูงสุด” หลี่เหยาตอบสั้น ๆ แล้วก้าวเข้าสู่จุดวาร์ปของหอคอย ร่างค่อย ๆ จางหายไป
ภารกิจครั้งนี้บอกเพียงว่าให้ไปพบสัตว์อสูรแจกของรางวัลที่อยู่ในชั้นสูงสุด ดังนั้นจะนับว่าเขาพูดจริงก็ไม่ผิด หอคอยเทวะมีทั้งหมดสิบชั้น แน่นอนว่าชั้นสูงสุดก็คือชั้นที่สิบ
ชั้นที่สิบจริง ๆ ด้วยสินะ… ซางจื่อจินขมวดคิ้วมองตามร่างของหลี่เหยาที่ค่อย ๆ จางหายไป
พันธมิตรระหว่างตระกูลซางกับสมาคมหมาป่าเงินนั้นมีอีกเหตุผลสำคัญที่เธอยังไม่ได้บอกหลี่เหยา และเมื่อร่างเขาหายไปจนสิ้น เธอก็พึมพำออกมาเบา ๆ
“ถ้านายพิชิตชั้นที่สิบได้ ฉันสัญญาว่าตระกูลซางจะให้ความช่วยเหลือสมาคมหมาป่าเงินอย่างเต็มที่ แต่ถ้าไม่ไหว…”
หอคอยเทวะปรากฏขึ้นมาได้แปดปีแล้ว คนที่สามารถพิชิตถึงชั้นสิบได้ทั้งประเทศ
มีเพียงแค่สิบสี่คนเท่านั้น และข้อมูลตรงนี้ก็เป็นความลับสุดยอดของประเทศ
เรื่องจำนวนผู้ที่พิชิตได้สำเร็จนั้นต่อให้เป็นเธอก็ไม่รู้เช่นกัน
ในใจลึก ๆ ซางจื่อจินคิดว่าความเป็นไปได้ที่หลี่เหยาจะผ่านชั้นที่สิบได้นั้นต่ำมาก เพราะครั้งที่เธอทำภารกิจครั้งนั้น เธอแทบจะต้องทุ่มทุกอย่างลงไปเพื่อโค่นบอสของชั้นเก้า พอจบศึกนั้นตัวเองก็แทบจะหมดแรง ต่อให้รู้ว่ามีชั้นที่สิบ เธอก็หมดแรงที่จะขึ้นไปท้าทาย
“เอาเถอะ อย่ามาว่าฉันแล้วกันนะ” เธอพึมพำกับตัวเอง “ฉันอ้อนวอนคุณพ่อแล้วนะ ขอแค่ผ่านชั้นเก้าก็เพียงพอ แต่ท่านไม่ฟัง ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ตระกูลซาง ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นพ่อค้า
...
【กำลังเข้าสู่หอคอยเทวะ...】
【โปรดตั้งชื่อระบุตัวตนภายในหอคอยเทวะ】
“ตั้งชื่อ?”
หลี่เหยาครุ่นคิดถึงอาชีพของตัวเอง “ตั้งชื่อว่า... ‘หยุนติ้ง’” (ยอดเมฆา)
【ตั้งชื่อสำเร็จ กำลังเข้าสู่ชั้นแรกของหอคอยเทวะ】
【สังหารปูเดินดิน 100 ตัวเพื่อปลดล็อกทางผ่านไปยังชั้นที่สอง】
【ความคืบหน้า: 0/100】
ทันทีที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง หลี่เหยาก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ในพื้นที่ที่ดูเหมือนเมืองโบราณ เมืองนี้มีชื่อว่าตำบลเต้าหยาง ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือของนักผจญภัยภายในหอคอยเทวะเพื่อใช้เป็นที่พักแลกเปลี่ยนอาวุธ ยา และเป็นแหล่งพักพิง คล้ายกับตลาดซื้อขายเล็ก ๆ
ช่วงนี้ผู้คนยังไม่พลุกพล่านเท่าไร เพราะการเปลี่ยนอาชีพเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ทำให้พวกนักผจญภัยรุ่นใหม่ยังต้องฟาร์มเลเวลอีกสักพักใหญ่กว่าจะพร้อมเข้ามาท้าทายหอคอยแห่งนี้
หอคอยเทวะจะเริ่มคึกคักจริง ๆ ก็ตอนช่วงหลังการสอบนักรบ แต่ก็มีนักผจญภัยจากเมืองชิงไห่ไม่น้อยที่รีบมาเก็บเลเวลที่นี่ทันทีที่ถึงเลเวล 15 เพราะการได้รับค่าประสบการณ์จากหอคอยนี้อยู่ระหว่างการต่อสู้ในป่ากับการเข้าดันเจี้ยนทั่วไป
แม้จะไม่มากหรือน้อยเกินไป แต่ด้วยความที่พวกเขาคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ จึงทำให้หอคอยปลอดภัยกว่าดันเจี้ยนหลายเท่า
หลี่เหยาเดินอยู่ในตำบลเต้าหยางที่ดูคล้ายกับหมู่บ้านสำหรับผู้เล่นมือใหม่ในเกมออนไลน์สมัยก่อน แผงขายยาน้ำและอาวุธตั้งเรียงรายเต็มไปหมด รอบ ๆ เมืองมีพ่อค้ารับจ้างพานักรบเข้าไปในดันเจี้ยนในระดับต่ำ เพราะเป็นเมืองชั่วคราวที่นักรบภอย่างพวกเขาสร้างขึ้นเอง จึงไม่มีระบบป้องกันของหอคอย ทำให้รอบนอกต้องมีการก่อกำแพงล้อมและมีทางเข้าออกเพียงแค่หนึ่งทาง
ทีมจากตระกูลซางที่ซางจื่อจินนัดไว้ก็กำลังรอเขาอยู่ที่นี่ หลี่เหยาก้าวมาถึงเพียงไม่นานก็มีนักผจญภัยสี่คนเดินตรงเข้ามาหา สองชายสองหญิงซึ่งแต่งตัวด้วยอุปกรณ์ที่ดูแพงพอตัว หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าสุดหน้าตาละม้ายคล้ายกับซางจื่อจิน แต่บุคลิกของทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เสี่ยวหย่าหรือเปล่า?” หลี่เหยาถามด้วยความสงสัย
“อือ...อือ ใช่ค่ะ” ซางหย่าหนาตอบเสียงเบา “ฉันได้ยินพี่จื่อจินเล่าให้ฟังเรื่องที่รบกวนคุณครั้งนี้ ขอบคุณมากนะคะ”
ไม่เหมือนกับซ่งอันชิงที่เคยเจอครั้งก่อน หลี่เหยารู้ได้ในทันทีว่าความไร้เดียงสาของซางหย่าหนานั้นไม่ใช่การเสแสร้ง คงเพราะเธอได้รับการปกป้องจากตระกูลซางเป็นอย่างดีจนไม่เคยพบความลำบากเลย
“เข้าไปในทีมเถอะ พวกเรารอเธอตั้งนานแล้ว” หญิงสาวที่ยืนข้าง ๆ ซางหย่าหนากล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ดูเหมือนว่าซางจื่อจินจะฝากให้หลี่เหยาดูแลน้องสาวของเธอเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ในทีมไม่ได้เอ่ยถึงเลย น่าจะบ่งบอกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่น่าจะสนิทกันมาก
เมื่อหลี่เหยาเข้าร่วมทีมแล้ว รายละเอียดอาชีพของสมาชิกคนอื่น ๆ ก็ปรากฏให้เขาเห็น ซางหย่าหนามีอาชีพเป็นจอมดาบวายุระดับ S ส่วนอีกสามคนเป็นอาชีพระดับ A มีทั้งอัศวิน จอมเวท และนักบำบัด ซึ่งถือเป็นทีมที่มีการจัดเตรียมมาอย่างดี โดยซางหย่าหนามีเลเวล 20 ส่วนคนอื่น ๆ อยู่ในช่วงเลเวล 17-18
หัวหน้าทีมซึ่งเป็นอัศวินชื่อซางห่าวหันมามองหน้าหลี่เหยาด้วยคิ้วขมวดก่อนถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “นี่อย่าบอกนะว่านายเป็นผู้อัญเชิญ?”
“ใช่” หลี่เหยาตอบสั้น ๆ
ทันทีที่ได้รับคำยืนยัน จอมเวทชื่อซางหมิงซวี่ถึงกับถอนหายใจแล้วพูดด้วยความเบื่อหน่าย “นี่พี่จื่อจินบอกว่าเรียกคนมาช่วย ที่แท้ก็แค่ผู้อัญเชิญนี่เอง พวกเรานั่งรอตั้งนาน”
ซางเชี่ยนหันไปกระซิบกับซางหย่าหนาว่า “เสี่ยวหย่า พี่เธอถูกหลอกหรือเปล่า ผู้อัญเชิญระดับ A จะมาทำหน้าที่นี้ได้ยังไง?”
ซางหย่าหนารีบส่ายหน้ารัว ๆ ด้วยความร้อนใจ “ไม่ใช่แบบนั้นนะ! เขาเก่งมากเลยจริง ๆ!”
เมื่อเห็นว่าหลี่เหยาไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น ซางหย่าหนาจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนนึกถึงคำที่พี่จื่อจินได้กำชับไว้ว่าห้ามเอ่ยถึงรายละเอียดที่มากเกินไปเกี่ยวกับเขา เนื่องจากตระกูลซางกับตระกูลหยานอยู่ในช่วงที่ตึงเครียด การที่หลี่เหยาเข้ามาในหอคอยเทวะอาจนำไปสู่เรื่องไม่คาดฝันได้หากฝั่งนั้นล่วงรู้เข้า
ซางเชี่ยนยังคงไม่เชื่อ “เก่งมาก…แต่ผู้อัญเชิญจะเก่งขนาดไหนกันเชียว?” แม้จะไม่พูดอะไรมากกว่านี้ แต่เธอก็ยังไม่คลายความสงสัย
เมื่อสังเกตว่าหลี่เหยาเป็นคนที่ซางจื่อจินเรียกตัวมา ต่อให้เขามีอาชีพเป็นผู้อัญเชิญ ซางหมิงซวี่ ก็ตระหนักได้ว่าเขาควรหยุดพูดจาว่ากล่าวเพราะไม่อยากให้เสียเรื่อง
การที่พี่จื่อจินถึงกับยอมเรียกเขามาร่วมทีมด้วยย่อมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเขา อีกทั้งด้วยเลเวลที่สูงถึง 20 จึงมีความเป็นไปได้สูงที่หลี่เหยาจะมาจากตระกูลใหญ่และอาจมีการตกลงความร่วมมือบางอย่างกับพี่จื่อจิน