บทที่ 48 ตกลงเป็นพันธมิตร
"ว่ามาสิ ว่าจะร่วมมือกันยังไง?"
การร่วมมือกับตระกูลซางถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทั้งหลี่เหยาและสมาคมหมาป่าเงิน เมืองชิงไห่นั้นเป็นหนึ่งในสิบสองเมืองหลัก มีตระกูลใหญ่ครองเมืองอยู่หลายตระกูล โดยที่โดดเด่นที่สุดคือ ตระกูลซาง ตระกูลนี้ร่ำรวยมหาศาลจากธุรกิจปรุงยาและงานช่าง แม้ตระกูลอื่นในเมืองหลวงยังไม่กล้าประมาทพวกเขา
เมื่อได้ยินว่าหลี่เหยาสนใจร่วมมือ ซางจื่อจินก็ยิ้มกว้างขึ้น ราวกับต้องการเพิ่มความเร็วรถอีกหน่อย "ที่แท้ก็ไม่ได้จะปฏิเสธสาวงามผู้อ่อนแอที่น่าสงสารอย่างฉันหรอกเนอะ?" เธอเอ่ยหยอกก่อนอธิบายต่อ "เรื่องรายละเอียดทั้งหมด เดี๋ยวพ่อฉันจะส่งสัญญาจากสมาพันธ์ไปให้ประธานสมาคมหมาป่าเงินอีกที ฉันจะแค่พูดสรุป ๆ ให้ฟังพอ"
ซางจื่อจินหยุดคิดก่อนจะอธิบายอย่างจริงจัง "ตระกูลเราก่อตั้งได้ไม่นาน แม้จะไม่ขาดแคลนทรัพยากรและทรัพย์สิน แต่พ่อของฉันเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าถึงระดับหกได้ในตระกูล"
"เพราะอย่างนั้น เราต้องหาแรงสนับสนุนจากบุคคลที่มีศักยภาพ หรือไม่ก็ต้องหาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ตระกูลเรามีเงิน แต่ต้องการกำลัง"
"ซึ่งแน่นอนว่าการหาคนเก่งนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะกับพวกตระกูลใหญ่ที่มองว่าเราเป็นพวกคนรวยหน้าใหม่ ไร้ชาติตระกูล" ซางจื่อจินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ เธอหันมามอง
หลี่เหยาด้วยสายตาวิบวับ "ฉันเลยเสนอสมาคมหมาป่าเงินให้พ่อของฉัน"
"แม้ว่าพวกเธอจะมีทรัพยากรจำกัดและคนเก่งในระดับขั้นสามแค่สองคน แต่พวกเขานั้นก็มีนาย"
คำพูดของซางจื่อจินทำให้หลี่เหยาสนใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "งั้นที่เธอเสนอมาคือ ตระกูลซางจะลงทุนให้สมาคมหมาป่าเงิน แล้วร่วมมือกัน?"
ซางจื่อจินพยักหน้า "ใช่เลย นายก็รู้ว่าซังอวี่เฉิงในเจียงโจวเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเติบโต ที่นั่นมีตระกูลหยางกับตระกูลซ่งที่ครอบงำอยู่ แต่ถ้ามีตระกูลซางหนุนหลัง พวกเขาจะกีดกันสมาคมหมาป่าเงินไม่ได้เลย"
"อีกแค่สองปี สมาคมหมาป่าเงินจะสามารถเติบโตจนทัดเทียมกับตระกูลใหญ่ได้แน่นอน"
"แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อแม้บางอย่าง" สีหน้าซางจื่อจินเปลี่ยนเป็นจริงจัง
"นายต้องคว้าอันดับหนึ่งในระดับประเทศในการสอบประเมินนักรบ เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำทั้งสี่ และกลายเป็นศิษย์ของหนึ่งในห้าอาจารย์ระดับแนวหน้าของประเทศให้ได้"
หลี่เหยาฟังและพยักหน้า เขารู้ดีว่า ถึงจะมีตระกูลซางสนับสนุน แต่สมาคมหมาป่าเงินยังคงต้องการคนที่มีอำนาจคอยปกป้องอยู่ดี การก้าวสู่การเป็นศิษย์ของอาจารย์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
"ว่าไงล่ะ?" ซางจื่อจินยิ้มกว้าง "ข้อเสนอนี้คงปฏิเสธได้ยากเลยใช่ไหม?"
หลี่เหยายิ้มตอบ "ใช่ เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจจริง ๆ"
"แต่อย่าเพิ่งดีใจไป ตระกูลซางยังมีข้อแม้สุดท้ายอยู่"
"ว่ามาสิ" หลี่เหยารอฟังอย่างสงบ
"นายต้องแต่งงานกับฉัน!"
หลี่เหยาถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง
ซางจื่อจินหัวเราะลั่นก่อนจะยกมือปิดปากแล้วบอกว่า "ล้อเล่นน่ะ ฉันยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้หรอก”
“โอเค พูดเรื่องความร่วมมือจบไปแล้ว คราวนี้มาคุยเรื่องของเราสองคนกันบ้างดีกว่า”
“ในรอบนี้ที่พวกเราจะไปท้าทายหอคอยเทวะน้องสาวฉันกับคนอื่น ๆ ของตระกูลซางก็จะเข้าไปด้วย ฉันกังวลว่าพวกคนจากตระกูลหยานจะหาทางเล่นงานพวกเขา ดังนั้นอยากให้นายช่วยพาพวกเขาผ่านไปถึงชั้นหกที”
“ชั้นหกเลยเหรอ?”
หลี่เหยาถึงกับนิ่งไปสักครู่ ตระกูลซางนั้นมีพื้นฐานและอำนาจลึกซึ้งกว่าสมาคม
หมาป่าเงินอยู่หลายขุม หากใครจะขึ้นถึงชั้นหกเพื่อทำภารกิจเปลี่ยนสายอาชีพครั้งที่สองได้ ก็คงต้องเป็นผู้เล่นอาชีพระดับ A ขึ้นไปเท่านั้น
“ใช่เลย ในฐานะค่าตอบแทน ฉันเองก็ยินดีรับปากช่วยนายเรื่องหนึ่งด้วยนะ” ซางจื่อจินกระพริบตาหวาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวนว่า “เรื่องอะไรก็ได้เลยนะ”
หลี่เหยาไม่สนใจท่าทางหยอกเย้านั้น เขาหันไปถามอีกเรื่อง
“เธอรู้จักตระกูลอวี้เหวินไหม?”
“ก็แค่ตระกูลเล็ก ๆ ที่ส่งสามตัวประหลาดไปลอบสังหารนายน่ะสิ?” เธอตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “ฉันรู้เรื่องแล้ว”
...
ไม่นานนัก
รถหรูของซางจื่อจินก็จอดลงที่หน้าหอคอยเทวะหอคอยสูงตระหง่านแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงนี้มาแปดปีแล้ว ตั้งตระหง่านราวกับบันไดสู่สวรรค์ สง่างามและลึกลับ แม้จะไม่ใช่นักรบ แต่ผู้คนทั่วไปก็ยังมายืนมองหอคอยนี้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ
หลี่เหยาก้าวลงจากรถพร้อมกับซางจื่อจิน เสื้อคลุมลายสัตว์สีแดงเข้มช่วยเสริมบุคลิกเขาให้ดูดุดันมีเสน่ห์ ส่วนซางจื่อจินที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นดูสง่างามในชุดรัดรูปแบบโบราณ ซึ่งช่วยขับรูปร่างของเธอให้ดูโดดเด่น เมื่อคนทั้งคู่ก้าวลงจากรถหรู ความหล่อและความงามของทั้งสองก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนโดยรอบทันที
ด้วยความที่ตระกูลซางนั้นร่ำรวยมหาศาลในเมืองชิงไห่ หลายคนจึงจำซางจื่อจินได้
“นั่นใช่คุณหนูซางหรือเปล่า? ทำไมถึงมาที่นี่?”
“คุณหนูซางผู้งดงาม ผมคือน้องชายแท้ ๆ ที่พี่สาวพลัดพรากไปไกล! พาผมกลับบ้านเถอะนะครับ!”
“แล้วหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ นายเป็นใคร? แฟนเธอเหรอ?”
“บ้าไปแล้ว! อย่ามาดูหมิ่นคุณหนูของฉัน! หมอนั่นต้องเป็นญาติพี่น้องกันสิ คุณหนูซางคงแค่มาส่งเขาน่ะ”
“ใครกันที่บังอาจมาเรียกเขาว่าเด็กน้อย? ดูให้ดี ๆ นะ นั่นแหละน้องเขยของฉัน!”
“มาถึงหอคอยเทวะช่วงนี้ เดาว่าน่าจะมาเพื่อทำภารกิจเปลี่ยนสายอาชีพที่สองล่ะสิ คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วล่ะ นายน้อยตระกูลเนี่ยเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ใครจะผ่านถึงชั้นแปดได้ก่อนกัน”
“ถึงฉันจะชื่นชอบคุณหนูซาง แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าอาชีพของคนหนุ่มสาวในตระกูลซางสู้ตระกูลเนี่ยไม่ได้จริง ๆ”
“ก็ไม่แน่หรอก วันนี้น้องสาวของคุณหนูซางก็มาทำภารกิจเหมือนกัน ถ้าดวลกันแบบสองต่อหนึ่ง ตระกูลซางอาจจะมีลุ้นนะ”
“ภารกิจเปลี่ยนสายอาชีพจะมานับจำนวนคนได้ที่ไหน? ฉันว่าเลยนะ ถ้าคุณหนูซางไม่ได้ลงมือเองล่ะก็ คงไม่มีใครในตระกูลซางเทียบกับนายน้อยเนี่ยได้หรอก เขาเป็นผู้สืบทอดอาชีพระดับ SS เพียงคนเดียวของปีนี้ในเมืองชิงไห่เลยนะ”
หลี่เหยาแอบได้ยินบทสนทนาของคนรอบข้าง ทำให้เขารับรู้ว่าในเมืองชิงไห่ตอนนี้มีผู้เล่นอาชีพระดับ SS อยู่ในหอคอยเทวะแล้ว ถ้ามีโอกาส เขาก็อยากจะวัดฝีมือกับคนนั้นดู เพราะสุดท้ายคนเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งในการสอบประเมินนักรบของเขา
“ว่าแต่ เธอก็มีไอเทมอย่างกระจกแห่งเหวลึกด้วยใช่ไหม?”
“กระจกแห่งเหวลึก?” ซางจื่อจินขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เธอหยิบการ์ดจากคลังเก็บออกมายื่นให้หลี่เหยาดู “นี่ใช่ที่นายพูดถึงหรือเปล่า?”
【การ์ดแลกเปลี่ยนเวลา (ไอเทม)】 【ระดับ: แพลตินัม】
【คุณสมบัติ: สามารถแลกเปลี่ยนเวลาคูลดาวน์ของดันเจี้ยนกับบุคคลที่กำหนดได้】 【จำนวนการใช้: 5/12 (ต้องใช้ทรายเวลา 7 หน่วยเพื่อเพิ่มพลัง)】
“เอ่อ...” หลี่เหยาคิดถึงคำพูดหนึ่งจากชีวิตก่อนหน้า ‘ความพยายามสิบปีจะเทียบได้ยังไงกับความมั่งคั่งของสามรุ่น’
บรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่สามารถหยิบไอเทมอย่างของพวกนี้ออกมาใช้เหมือนไม่มีอะไร ทำให้สามารถลงดันเจี้ยนซ้ำได้ถึง 12 ครั้ง โดยไม่ต้องสนใจเวลาคูลดาวน์ เมื่อบวกกับการมีผู้เล่นฝีมือดีในตระกูลช่วยฝึกให้ พวกเขาจะเก็บเลเวลได้ช้าได้ยังไง?
พวกนักรบทั่วไปอย่างกลุ่มเพื่อน ๆ ของหลี่เหยาในโรงเรียน ตอนนี้ก็ยังอยู่แค่ระดับสิบกันอยู่เลย ส่วนมากก็มุ่งหมายว่าจะถึงแค่ระดับ 13 หรือ 14 ก่อนสอบ ถ้าโชคดีก็อาจจะไปได้ถึงประตูของสถาบันการศึกษาระดับสูงทั้งสี่แห่ง