บทที่ 22 รับจ้าวหยุนเข้าสังกัด
บทที่ 22 รับจ้าวหยุนเข้าสังกัด
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านวัยฉกรรจ์ถือจอบและมีดอารักขาคนชราและเด็กๆ ไว้ตรงกลาง พวกเขาต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเตียนอุยที่ร่อนลงมาจากฟ้าและสังหารศัตรูราวกับเทพเจ้าสงคราม
"ขอบคุณสวรรค์ ทหารจากสวรรค์มาช่วยหมู่บ้านตระกูลจ้าวของเราแล้ว!" ชายชราผมขาวโพลนร่างหลังค่อมกล่าวด้วยความตื่นเต้น
"คุณปู่หัวหน้าตระกูล ก้อนเหล็กนั่นบินได้ด้วย มันคืออะไรหรือ?" เด็กชายที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของชายชราชี้ไปที่เฮลิคอปเตอร์สีเงินที่จอดอยู่หน้าหมู่บ้านถามด้วยความสงสัย
"อ๋อ น่าจะเป็นยานของเซียนน่ะ" ชายชราครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบพลางลูบเครา
"คุณปู่เล่าเรื่องเซียนให้พวกหนูฟังบ่อยๆ แสดงว่าคุณปู่เคยเจอเซียนมาก่อนเหรอ?" เด็กชายอีกคนถาม
"ปู่ไม่เคยเจอหรอก แต่พวกเจ้าก็จะได้เจอในไม่ช้านี้แหละ" ชายชราตอบอย่างมีนัยสำคัญ
ที่หน้าหมู่บ้าน เผ่าต่างดาวมิโนทอร์สิบกว่าตนถูกเตียนอุยและชายหนุ่มชุดขาวร่วมมือกันสังหารจนหมดในชั่วพริบตา
ฟางอวี่เห็นดังนั้นจึงกระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้วเดินตรงไปหาทั้งสอง
"ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้!" ชายหนุ่มชุดขาวที่เสื้อผ้าเปื้อนเลือดรีบคำนับเตียนอุย
"เจ้าขอบคุณผิดคนแล้ว" เตียนอุยส่ายหน้าพลางชี้ไปที่ฟางอวี่ที่กำลังเดินมา "นั่นคือนายท่านของข้า ฟางอวี่ ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณเขาเถอะ เมื่อครู่เขาเป็นคนสั่งให้ข้าออกโรงช่วย!"
พูดจบเตียนอุยก็เดินไปที่ศพของพวกมิโนทอร์ เขารู้หน้าที่ในการเก็บกวาดสนามรบและรวบรวมของที่ระลึก หลังจากช่วยฟางอวี่เก็บกวาดสนามรบมาสามครั้ง เขาชำนาญเส้นทางนี้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ฟางอวี่สั่ง เขาเป็นเตียนอุยที่เติบโตเต็มที่แล้ว
"ข้าคือจ้าวหยุนแห่งฉางซาน ขอคารวะท่านผู้มีพระคุณ" ชายหนุ่มชุดขาวหันไปทางฟางอวี่แล้วคำนับ "ขอบคุณท่านฟางที่ส่งคนมาช่วยข้าและช่วยหมู่บ้านตระกูลจ้าวของพวกเราไว้!"
"ไม่ต้องมากพิธีหรอก!" ฟางอวี่โบกมือพลางมองด้วยประกายตาแวววาว นี่คือแม่ทัพพยัคทั้งห้าของหลิวผู้ชอบวิ่งจริงๆ เมื่อเจอจ้าวหยุนแล้วก็ต้องชิงตัวไว้
ฟางอวี่มองสำรวจจ้าวหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้า
จ้าวหยุนสวมเสื้อคลุมสีขาว อายุยี่สิบปี สูงแปดฉื่อ คิ้วเข้ม ตาโต ใบหน้ากว้าง คางหนา ท่าทางสง่างาม ในมือถือหอกยาวสีเงิน
"จ้าวหยุน อนาคตเจ้าวางแผนไว้อย่างไร?" ฟางอวี่ถามพลางยิ้ม
"ท่านผู้มีพระคุณ ข้าฝึกวิชายุทธ์กับอาจารย์บนเขามาตั้งแต่เด็ก ตั้งใจจะรับใช้บ้านเมืองและกำจัดเผ่าต่างดาวให้สิ้น แต่เมื่อข้าได้เผชิญหน้ากับพวกมันจริงๆ ถึงได้รู้ว่าเผ่าต่างดาวพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะต่อกรได้ ข้าก็ไม่รู้ว่าอนาคตควรจะไปทางไหนดี"
จ้าวหยุนพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น แต่เดิมเขาคิดว่าตัวเองฝึกวิชายุทธ์จนแกร่งกล้าแล้ว การสังหารเผ่าต่างดาวที่อาจารย์เคยพูดถึงคงง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
แต่เมื่อได้เผชิญหน้าจริงๆ เขาถึงได้รู้ว่าตนประเมินพละกำลังของเผ่าต่างดาวต่ำเกินไปมาก
หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะฟางอวี่ส่งเตียนอุยมาช่วยทันเวลา เขาคงหนีไม่พ้นความตาย ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านตระกูลจ้าวก็คงถูกสังหารจนหมดสิ้น
เผ่าต่างดาวพวกนั้นดาบธรรมดาก็ทำอันตรายไม่ได้ แถมยังแข็งแกร่งมาก กองทัพของราชวงศ์ฮั่นไม่มีทางต่อกรได้แน่
เขาได้เห็นเผ่าต่างดาวลงมาที่โลกหลายที่ในช่วงนี้ แค่สิบกว่าตัวเขายังรับมือไม่ได้ แล้วจะกำจัดเผ่าต่างดาวทั้งหมดได้อย่างไร?
คิดถึงตรงนี้ จ้าวหยุนก็รู้สึกสับสนในใจ ไม่รู้ว่าอนาคตควรไปทางไหนดี
"จ้าวหยุนไม่ต้องดูถูกตัวเอง เจ้าฝึกแค่วิชายุทธ์ภายนอก แต่ก็รับมือกับเผ่าต่างดาวมิโนทอร์สิบกว่าตัวได้ นับว่าเก่งมากแล้ว" ฟางอวี่ปลอบใจ
แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด "จ้าวหยุน ข้าต้องการสร้างกองทัพไร้พ่ายเพื่อกวาดล้างเผ่าต่างดาว เจ้าสนใจจะช่วยข้าไหม?"
จ้าวหยุนชะงัก "นี่..."
หากเขาอยู่คนเดียว เขาคงยินดีติดตามฟางอวี่เพื่อตอบแทนที่ช่วยชีวิตเขาไว้
ในตอนนั้นเอง เสียงแก่ชราดังขึ้นจากด้านหลังจ้าวหยุน "จ้าวหยุน"
"หัวหน้าตระกูล ท่านออกมาทำไมขอรับ?" จ้าวหยุนหันหลังและรีบเดินไปประคองชายชรา
"ข้าชื่อจ้าวอี้ ขอเป็นตัวแทนชาวบ้านตระกูลจ้าวทั้ง 212 ชีวิต ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยหมู่บ้านของพวกเราไว้ ทำให้พวกเรารอดพ้นจากเคราะห์ร้าย" ชายชราสะบัดมือของจ้าวหยุนออกแล้วคำนับฟางอวี่จนศีรษะแทบแตะพื้น
"ท่านจ้าว เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สมควรรับการคำนับเช่นนี้" ฟางอวี่รีบหลบ รู้สึกอึดอัดที่ให้ผู้อาวุโสที่อายุรุ่นปู่มาคำนับตนเช่นนี้
"สำหรับท่านผู้มีพระคุณอาจเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับหมู่บ้านตระกูลจ้าวของเรา นี่คือบุญคุณช่วยชีวิต บุญคุณช่วยชีวิตเปรียบเสมือนการสร้างชีวิตใหม่ ดังนั้นการคำนับนี้ท่านสมควรได้รับ!" จ้าวอี้เงยหน้ามองฟางอวี่พลางกล่าวอย่างจริงจัง
พูดจบก็หันไปหาจ้าวหยุน ยกมือที่หยาบกร้านตบไหล่เขาเบาๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า "จ้าวหยุน เมื่อครู่ข้าได้ยินบทสนทนาของเจ้ากับท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด เมื่อท่านมีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เจ้าจงไปกับเขาเถิด การกำจัดเผ่าต่างดาวให้สิ้นก็เป็นความปรารถนาแต่เดิมของเจ้าไม่ใช่หรือ!"
จ้าวหยุนรีบพูด "หัวหน้าตระกูล หากข้าจากไป พวกท่านจะทำอย่างไร? แล้วหมู่บ้านตระกูลจ้าวจะเป็นอย่างไร?"
จ้าวอี้ส่ายหน้า "จ้าวหยุน หมู่บ้านตระกูลจ้าวไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียวที่เป็นชายฉกรรจ์ ไม่มีจ้าวหยุน หมู่บ้านตระกูลจ้าวก็ยังเป็นหมู่บ้านตระกูลจ้าวอยู่วันยังค่ำ"
"เจ้าวางใจตามท่านผู้มีพระคุณไปเถิด เขาเป็นผู้มีความสามารถยิ่งใหญ่ เมื่อกำจัดเผ่าต่างดาวทั้งหมดได้แล้ว โลกจึงจะสงบสุขอย่างแท้จริง"
คำพูดของจ้าวอี้แท้จริงแล้วเป็นการปลอบใจจ้าวหยุน เพราะเมื่อครู่ชายฉกรรจ์สิบคนของหมู่บ้านตระกูลจ้าวร่วมกันโจมตีมิโนทอร์หนึ่งตัว แค่ปะทะครั้งแรกก็บาดเจ็บไปห้าคน
หากไม่ใช่เพราะจ้าวหยุนปรากฏตัวช่วยพวกเขาไว้ทัน พวกเขาคงตายด้วยน้ำมือของเผ่าต่างดาวไปแล้ว
ตั้งแต่เห็นฟางอวี่ขับก้อนเหล็กลงมาจากฟ้า เขาก็เริ่มเดาได้ว่าฟางอวี่คือ "เจ้าของพิภพ" ที่ถูกกล่าวถึงในข้อมูลประหลาดที่ปรากฏในหัวของเขา
หากฟางอวี่เป็นเจ้าของพิภพจริง การที่จ้าวหยุนได้ติดตามฟางอวี่ก็เหมือนกับหลุมศพบรรพบุรุษปล่อยควันเขียวออกมาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าสาเหตุหลักคือฟางอวี่มีท่าทีอ่อนโยน สั่งให้คนมาช่วยหมู่บ้านตระกูลจ้าวของพวกเขา ไม่ใช่คนไม่ดี
หากฟางอวี่เป็นคนไม่ดี ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของพิภพในตำนาน จ้าวอี้ก็จะไม่แนะนำให้จ้าวหยุนติดตาม
จ้าวอี้รู้ดีว่า หากไม่มีเผ่าต่างดาว ด้วยวิชายุทธ์และความสามารถในการจัดทัพตั้งค่ายที่จ้าวหยุนร่ำเรียนมาจากบนเขา บางทีในอนาคตเขาอาจกลายเป็นแม่ทัพผู้เลิศล้ำก็ได้
ถึงแม้จ้าวหยุนจะอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลจ้าว หากเจอสถานการณ์เช่นวันนี้อีก จ้าวหยุนก็ไม่อาจปกป้องหมู่บ้านได้
แทนที่จะผูกมัดจ้าวหยุนไว้กับหมู่บ้านตระกูลจ้าว ยังไม่ดีเท่าให้เขาติดตามฟางอวี่ไป บางทีอาจได้เรียนรู้ความสามารถที่แท้จริง
ความกล้าหาญดุดันของชายร่างอัปลักษณ์ผู้นั้น เขาเห็นกับตา สังหารเผ่าต่างดาวราวกับสับผักหั่นเนื้อ
"ท่านจ้าว หากพวกท่านอยากติดตามข้า ข้าก็พร้อมจะพาพวกท่านไปด้วย" ฟางอวี่มองจ้าวอี้พลางยิ้มกล่าว
เพื่อให้จ้าวหยุนไร้ความกังวล เขาไม่รังเกียจที่จะรับหมู่บ้านตระกูลจ้าวเข้ามาด้วย
พื้นที่พิภพของเขาจะขยายใหญ่ขึ้นตามระดับที่เพิ่มขึ้น ในอนาคตอาจมีโอกาสวิวัฒนาการเป็นโลกใบใหญ่
เขาก็ต้องการคนมาช่วยจัดการพิภพ เช่น การเพาะปลูกและดูแลสมุนไพร
อีกทั้งการสร้างทหารสงครามก็ต้องใช้กำลังคนเช่นกัน
หมู่บ้านตระกูลจ้าวล้วนเป็นชาวบ้านที่เรียบง่าย เขาเชื่อว่าด้วยบุญคุณช่วยชีวิตครั้งนี้ พวกเขาจะซาบซึ้งและจงรักภักดีต่อเขา
แน่นอน หากใครในหมู่บ้านตระกูลจ้าวก่อเรื่องวุ่นวายในพิภพของเขา ฟางอวี่ก็จะไม่ปรานี!
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางอวี่ จ้าวหยุนก็ดีใจ แต่จ้าวอี้กลับโบกมือปฏิเสธ "ขอบคุณในน้ำใจของท่านผู้มีพระคุณ แต่ชาวบ้านตระกูลจ้าวล้วนเป็นคนธรรมดาไร้อาวุธ อีกทั้งยังมีครอบครัวติดตัว หากติดตามท่านไปก็จะเป็นภาระเท่านั้น!"
จ้าวอี้รู้สึกประหลาดใจในใจ เขาไม่คิดว่าฟางอวี่จะรับทั้งหมู่บ้านเพื่อให้ได้จ้าวหยุนมาสังกัด
"ท่านจ้าววางใจได้ ข้ามีที่ให้พวกท่านพักพิง" ฟางอวี่ก้าวเข้าไปหาจ้าวอี้และจ้าวหยุน "อย่าต่อต้าน"
พูดจบ ฟางอวี่ก็ยื่นมือจับไหล่ทั้งสอง เชื่อมต่อกับตราประทับพิภพบนหน้าผาก
สามวินาทีผ่านไป ฟางอวี่และจ้าวหยุนก็หายตัวไปจากที่เดิม
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง พวกเขาก็มาอยู่ที่ลานกว้างหน้าตำหนักเต๋าแห่งบรรพกาลในพิภพแล้ว
จ้าวหยุนกับจ้าวอี้รู้สึกเพียงจิตใจพร่าเลือนไปชั่วครู่ พริบตาเดียวก็มาถึงสถานที่แปลกตาแห่งนี้
จ้าวหยุนไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด บนใบหน้ามีแววสงสัยใคร่รู้ "ท่านผู้มีพระคุณ ท่านเป็นเจ้าของพิภพจริงๆ หรือ?"
"ตำหนักอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ คือตำหนักเซียนอย่างแท้จริง ท่านคือเจ้าของพิภพในตำนานจริงๆ!" จ้าวอี้ที่อยู่ข้างๆ หันมามองฟางอวี่ด้วยแววตาเคารพยำเกรงก่อนที่ฟางอวี่จะได้ตอบ
แม้เมื่อครู่เขาจะเดาได้ราง ๆ ว่าฟางอวี่คือ "เจ้าของพิภพ" ที่ถูกกล่าวถึงในข้อมูลแปลกประหลาดในหัว แต่เมื่อได้รับการยืนยัน ในใจก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้
ตามข้อมูลที่กล่าวไว้ เจ้าของพิภพนั้นเทียบชั้นกับเทพเจ้า และพวกเขาล้วนเคารพยำเกรงเทพเจ้า
อีกทั้งในสายตาของจ้าวอี้ ตำหนักสีม่วงที่ตระหง่านสง่างาม มีหมอกควันพวยพุ่งตรงหน้านี้ ก็คือตำหนักเซียนในตำนานนั่นเอง
"จ้าวหยุน ข้าเป็นเจ้าของพิภพจริง ตอนนี้พวกเราอยู่ในโลกของข้า ในโลกของข้าไม่มีการรุกรานจากเผ่าต่างดาว หากข้าให้หมู่บ้านตระกูลจ้าวตั้งถิ่นฐานในโลกของข้า เจ้าจะยอมรับข้าเป็นนายท่านหรือไม่?" ฟางอวี่มองจ้าวหยุนพลางถามยิ้มๆ
"ข้าขอคารวะนายท่าน!" จ้าวหยุนคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นทันที
ฟางอวี่ไม่เพียงช่วยชีวิตเขา บุญคุณช่วยชีวิตเปรียบเสมือนการสร้างชีวิตใหม่ ยังช่วยขจัดความกังวลทั้งหมดของเขา แล้วเขาจะไม่ยินดีได้อย่างไร!
"จ้าวหยุน ลุกขึ้นเถิด" ฟางอวี่ยื่นมือพยุงจ้าวหยุนขึ้นพลางยิ้ม
จ้าวอี้ที่อยู่ข้างๆ ก็ดีใจ เขารู้ว่าการติดตามฟางอวี่ย่อมดีกว่าการมีชีวิตรอดอย่างทุกข์ทรมานนับพันเท่า
......
(จบบทที่ 22)