ตอนที่แล้วบทที่ 151 คำพูดละเมอของซินหยู่ หวานชะมัด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 153 ไม่อยากเรียนแล้ว ไปมีความรักกันเถอะ

บทที่ 152 ระหว่างการสอบกลางภาคและคะแนนเต็ม


[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ]

[แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

บทที่ 152 ระหว่างการสอบกลางภาคและคะแนนเต็ม

โจทย์ข้อนี้ง่ายมาก เคล็ดลับในการได้คะแนนสูงอยู่ที่มุมมองในการเขียน

ต่างจากเรียงความแบบกำหนดหัวข้อ โจทย์แบบนี้เปิดกว้างให้แสดงฝีมือได้เต็มที่

เฉินหยวนยังจำเรียงความหัวข้อ "ผลการเรียน ฝ่ามือ และจูบ" ที่โด่งดังมาก่อนได้ การ์ตูนเล่าเรื่องเด็กที่สอบได้ 100 คะแนน แล้วครั้งต่อไปได้ 98 คะแนน กลับโดนตบ แต่ถ้าสอบได้ 55 คะแนน แล้วครั้งต่อไปได้ 61 คะแนน จะได้รับจูบ

หัวข้อแบบนี้ ก็ชี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว

คือตรงไปที่เรื่องการศึกษาในครอบครัว แก่นแท้ของมันก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาแบบจีน

โจทย์แบบนี้แหละ ถึงจะได้คะแนนสูงยาก

เพราะไม่มีแม้แต่มุมมองอื่นให้เลือกเขียน

เฉินหยวนจำได้ว่า หลังจากหลิวฟางยกตัวอย่างเรียงความได้คะแนนสูงที่เหมือนๆ กันหลาย ๆ แบบแล้ว เธอก็ยกตัวอย่างเรียงความที่ผิดพลาด ซึ่งก็คือเรียงความของนักเรียนคนหนึ่งในห้องที่เขียนว่า "ถ้าล้าหลังก็ต้องโดนตี!"

บอกได้แค่ว่า แปลกใหม่มาก เหมือนกับความงามของคนที่สมองฝ่อ

ส่วนโจทย์ข้อนี้เป็นเรียงความแบบกึ่งกำหนดหัวข้อ ไม่ได้กำหนดตายตัว แค่เขียนให้มีเหตุผลก็พอ ถึงขนาดเขียนแบบเด็กประถมว่า "ในอนาคตฉันอยากเป็น..." ก็ยังได้

ถ้าเป็นนิยายล่ะ จะเขียนยังไง?

ลองคิดดูว่านักเขียนผู้ยิ่งใหญ่เขาจะทำกันยังไง

ต้องเขียนให้จบในแปดร้อยคำ เป็นงานเขียนที่มีครบทั้ง การเริ่มต้น การดำเนินเรื่อง การคลี่คลาย และการสรุป งั้นก็ต้องมีความขัดแย้ง และการยกระดับ

นิยายออนไลน์ต้องเขียนให้ขายได้ หมายความว่าไม่เหมาะกับการเขียนเป็นเรียงความสอบ เพราะเรียงความต้องกระชับ ได้ใจความ

แล้วก็ ห้ามเขียนเรื่องรักๆ ใคร่ ๆ

เรื่องนี้แตะต้องไม่ได้เลย ต้องระวังให้มากที่สุด

ดังนั้น หลังจากคิดได้แล้ว เฉินหยวนก็ลงมือเขียน

ใช้เวลาห้าสิบนาที เขาก็เขียนนิยายเรื่องนี้เสร็จ และในตอนท้าย ก็เชื่อมโยงกับหัวข้ออย่างแนบเนียน!

เพราะคนตรวจข้อสอบไม่ใช่นักเขียนหรือนักอ่านนิยาย จะเขียนให้สนุกมากเกินไปไม่ได้ ยิ่งห้ามเขียนให้คนอ่านรู้สึกสะใจแบบในนิยายออนไลน์

ตอนนี้เหลือเวลาอีกยี่สิบห้านาทีก่อนหมดเวลาสอบ

วิชาภาษาจีนก็แบบนี้แหละ พอทำข้อสอบเสร็จแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะเติมกระดาษคำตอบเต็มหมดแล้ว จะไปวาดรูปเล่นแก้เบื่อก็ไม่ได้ ส่วนข้อสอบแบบเลือกตอบ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองทำถูกหมดตั้งแต่แรกแล้ว หรือไม่ก็อาจจะทำผิดหมด จะแก้ยังไงได้อีกล่ะ?

เดาล้วน ๆ

ถ้าแก้แล้วดันไปแก้ถูกเป็นผิด ทีหลังต้องตบปากตัวเองแน่ ๆ

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกครั้งที่มีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สนามแรกถึงเป็นที่พูดถึงมากเป็นพิเศษ เพราะเรียงความวิชาภาษาจีนเป็นหัวข้อที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ ต่างจากวิชาอื่น ที่เข้าใจยากเกินไป อีกอย่างก็คือ วิชาภาษาจีนสามารถส่งข้อสอบก่อนเวลาได้นานมาก นักเรียนหลายคนแย่งกันเป็นคนแรกที่ออกจากห้องสอบเพื่อให้สัมภาษณ์ เพื่อให้นักออกแบบเกมรู้ว่า ตัวละคร 'อิเรเลีย' (ตัวละครหญิงในเกม League of Legends ที่ถือดาบ) ยังไงก็ต้องโดนลดความสามารถลง

[ง่ายๆคือ เหมือนอยากบอกว่า รีบออกห้องสอบ หาอะไรทำเล่นๆ แหละ แต่พี่คนเขียนเขาอยากอธิบายยาว]

แต่พูดง่าย ๆ การส่งข้อสอบวิชาภาษาจีนก่อนเวลา จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพราะวิชานี้ เขียนเสร็จก็คือเสร็จ ไม่เสร็จก็คือไม่เสร็จ

ถ้าเจอข้อสอบคณิตศาสตร์ที่เกอจวิน อาจารย์ที่ออกข้อสอบคณิตศาสตร์เข้ามหาวิทยาลัย ขึ้นชื่อเรื่องความยาก แล้วยังส่งข้อสอบก่อนเวลาได้ นั่นสิถึงจะเรียกว่าเจ๋งจริง

แต่ถึงแม้เฉินหยวนจะทำเสร็จก่อนเวลา เขาก็ไม่กล้าประมาท ตอนที่หลิวฟางกำลังจะเดินมาถึงตัวเขา เขารีบพลิกกระดาษข้อสอบและกระดาษคำตอบกลับด้าน ทำเป็นเช็คคำตอบข้อสอบบทกวี

เรียงความเนี่ย ห้ามให้เธอเห็นเด็ดขาด

จริง ๆ แล้วหลิวฟางค่อนข้างชอบเรียงความที่หลากหลาย แต่ต้องเป็นความหลากหลายของนักเรียนเรียนดีเท่านั้น

เธอมักจะหยิบเรียงความที่แปลกใหม่ของนักเรียนห้อง 15 มาให้นักเรียนคนอื่น ๆ ดู เช่น เรียงความแบบบรรยาย นิยาย หรือแม้แต่เรียงความแบบร้อยแก้ว เพราะห้องเธอมีนักเรียนคนหนึ่งที่เป็นนักเขียน เขียนร้อยแก้วได้ดีเยี่ยม ถึงขนาดเอาไปใส่ในหนังสือ "บันทึกการเดินทางทางวัฒนธรรม" ของ หยูชิวหวี่ ก็ยังไม่รู้สึกขัดเขิน ส่วนเรียงความของคน ๆ นั้น แค่เขาตั้งใจเขียน ก็มักจะได้คะแนน 55 คะแนนขึ้นไป

พูดถึงเรื่องนี้ คะแนนเรียงความสูงสุดของโรงเรียนหมายเลข 11 คือ 56 คะแนน แต่เรียงความแบบนี้ถ้าไปอยู่ในข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็มีสิทธิ์ได้เต็มแน่นอน

ที่เข้มงวดขนาดนี้ ก็เพื่อไม่ให้นักเรียนคิดจะลอกข้อสอบ

"พยายามเขียนแบบบทความวิชาการกันให้หมดนะ"

"โดยเฉพาะพวกห้องเด็กเกเร"

"หลิวฟางคนนี้ขอร้องล่ะ เขียนเป็นบทความวิชาการ แบบสามย่อหน้า แบบแผนเดิม ๆ นั่นแหละ ฝีมือเธอไม่ถึงขั้นจะเขียนแบบโชว์ออฟหรอก"

เพราะแบบนี้ ตอนนี้เฉินหยวนก็เลยยังกลัวโดนวิจารณ์อยู่บ้าง

แน่นอน เขาไม่ได้กังวลว่าครูจะลำเอียง ให้คะแนนเรียงความที่เป็นนิยายต่ำทั้งหมด เพราะข้อกำหนดในการสอบมีแค่ "ยกเว้นบทกวี" ดังนั้น ถึงแม้จะเขียนเป็นนิยาย ครูที่ตรวจข้อสอบก็จะให้คะแนนอย่างยุติธรรม

หลังจากหลิวฟางเดินผ่านเฉินหยวนไป ก็เดินไปที่โต๊ะของโจวฟู่ ยืนอยู่ข้าง ๆ เอามือไพล่หลัง มองดูข้อสอบของเธอ แล้วมองอยู่ครู่หนึ่งก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา

เห็นได้ชัดว่า เธอพอใจฟู่เป่าของพวกเรามาก

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เธอชอบเด็กเรียนดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ไม่เหมือนหลาวโม่ ถึงแม้จะแบ่งแยกนักเรียนชัดเจน แต่จริง ๆ แล้วเขาก็มองเด็กเกเรบางคนแบบชื่นชมอยู่เหมือนกัน

เพราะครูประจำชั้นเป็นคนที่ผูกพันกับนักเรียนได้ง่ายที่สุด... แน่นอน ฉันไม่ได้หมายถึงความรักแบบครูกับนักเรียนนะ!

—— "เรื่องราวความรักวัยรุ่นของหลาวโม๋กับศิษย์ที่รัก…"

ในที่สุด การสอบก็สิ้นสุดลง

หลังจากหลิวฟางเก็บข้อสอบเสร็จ นักเรียนในห้องสอบก็ทยอยออกจากห้องไป

จากนั้น นักเรียนในห้องหลายคนก็เดินเข้าไป พูดคุยกับหลิวฟาง เฉินหยวนก็เดินตามไปด้วย อยากฟังว่าคุยอะไรกัน

ถึงแม้ว่าการตรวจคำตอบหลังสอบเสร็จจะเป็นวิธีที่แย่มาก ๆ แต่นี่ก็เป็นแค่การสอบกลางภาค หลิวฟางเลยไม่ได้จริงจังอะไรมาก เลยไม่อยากคอมเมนต์อะไรมาก

"ข้อสอบเรียงความครั้งนี้ง่ายมาก ถ้ายังเขียนออกนอกเรื่องอีก ฉันจะตีจริง ๆ ด้วย" หลิวฟางพิงแท่นบรรยาย แล้วพูดเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ครูคะ หนูเขียนเรื่อง 'ตัวเองในอนาคต' ได้ไหมคะ?"

"อ๊าย" พอได้ยินแบบนั้นหลิวฟางก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า "มีตั้งหลายเรื่องให้เขียน ทำไมถึงเขียนเรื่อง 'ตัวเองในอนาคต' ล่ะ?"

"แบบนั้น... แบบนั้นออกนอกเรื่องเหรอคะ?"

"ไม่ออกนอกเรื่องหรอก แต่มันธรรมดาเกินไป เหมือนตอนประถมที่เขียนเรียงความว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นจิตรกร แบบนี้มันไม่มีประเด็นเลย" หลิวฟางพูดตามตรง "เขียนแบบนี้ไม่ถึงกับแย่มาก แต่ไม่ว่าจะเขียนดีแค่ไหน ครูก็ให้คะแนนเกิน 47 คะแนนยาก"

"งั้นครูคะ หนูเขียนเรื่อง 'สวัสดี อนาคต' ได้ไหมคะ?"

"ประเด็นคืออะไรล่ะ?"

"การสร้างสังคมนิยมสมัยใหม่ พูดถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"

"อืม... ก็ได้ แต่ก็ได้คะแนนไม่สูงหรอก แน่นอน ถ้าเขียนดีจริง ๆ ก็มีโอกาสได้ 48 คะแนน" หลิวฟางวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา

การเขียนเรียงความแบบนี้ จริง ๆ แล้วไม่ค่อยมั่นคง เพราะนักเรียนบางคนหัวแข็งมาก ไม่ว่าโจทย์จะเป็นอะไรก็โยงไปเรื่องนี้หมด เลยมักจะเขียนออกนอกเรื่อง แน่นอน ถ้าบังเอิญเจอโจทย์เรียงความที่เข้ากับแนวนี้พอดี แบบนั้นก็ถือว่าโชคดีมาก

"โจวฟู่ เธอเขียนเรื่องอะไร?"

หลิวฟางแค่เห็นตอนเปิดเรื่องก็รู้สึกพอใจแล้ว

เวลาผ่านไปเหมือนการเดินทาง ฉันก็เป็นเพียงผู้สัญจร

โจวฟู่คิดสักพักแล้วพูดว่า "หนูเขียนเรื่องการมองอนาคตในแง่ดี ยกตัวอย่างนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ซูซือ หลังจากที่เขาโดนคดีอู๋ไถ ชีวิตเขาก็ถูกเนรเทศตลอด มองไม่เห็นอนาคตที่สดใสเลย แต่เขาก็ไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์ ในช่วงเวลานั้นเขาเขียนผลงานชิ้นเอกที่โด่งดังตลอดกาลอย่าง 'เพลงบูชาพระจันทร์' และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คิดค้นอาหารอย่าง 'หมูตงปอ' 'ขาหมูตงปอ' ..."

"อืม ๆ " หลิวฟางพยักหน้าเบา ๆ เห็นด้วยกับเรียงความของโจวฟู่มาก

การเขียนเรียงความก็เหมือนการเต้นรำพร้อมกับใส่กุญแจมือ

แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ใครเต้นได้ดีกว่ากัน

แค่พูดบทกวีของซูซือนั่นออกมา เธอก็รู้สึกว่าใช่แล้ว

ก็ยึดบทกวีนี้ แล้วพูดถึงประสบการณ์ชีวิตของซูซือก็พอ

มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?

ไม่ยากเลย

ได้ยินหลิวฟางชมโจวฟู่แบบนั้น นักเรียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ทำหน้าแบบ "เก่งจังเลย"

แต่โจวฟู่เธอมีฝีมือระดับท็อป 200 ของโรงเรียน แต่กลับต้องมาสอบในห้องสอบระดับ 900 ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาฉลามไปปล่อยในบ่อน้ำ เป็นการลดระดับมาแข่งขันชัด ๆ

"เฉินหยวน เธอเขียนอะไร?" หลิวฟางเห็นเฉินหยวนยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เลยถามขึ้นมา

แล้วทุกคนก็หันมามองเขา เฉินหยวนเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งว่า "ผมเขียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอนาคตกับปัจจุบัน..."

"เอ่อ ถูกต้องแล้วล่ะ"

เฉินหยวนยังพูดไม่จบ หลิวฟางก็ลากเสียงยาว ๆ พูดคำนี้ออกมา จากนั้นก็อธิบายให้ทุกคนฟังว่า "โจทย์ง่าย ๆ แบบนี้ ครูที่ออกข้อสอบอยากรู้เหรอว่าความฝันของเธอคือการเป็นนักวิทยาศาสตร์? ไม่ใช่สักหน่อย คำว่า 'อนาคต' คำที่สอดคล้องกันก็คือ 'ปัจจุบัน' หรือ 'อดีต' ดังนั้น การเขียนโดยใช้มุมมองนี้ ถึงจะดีที่สุด"

"หา? อย่างนี้นี่เอง... อืม แบบนั้น เรื่องอื่น ๆ ก็ด้อยกว่าหมดเลยสิครับ?" นักเรียนคนหนึ่งถาม

"แล้วที่โจวฟู่เขียน ก็ไม่ดีเท่าเหรอครับ?"

"แค่พูดถึงมุมมองในการเขียน" ครูอธิบาย "มุมมองของเฉินหยวนดี ทำให้มีพื้นฐานที่ดีแล้ว ส่วนของโจวฟู่ เป็นเพราะเขียนดี มีสำนวนภาษาและความรู้ที่ดี ถึงเขียนมุมมองธรรมดา ๆ ให้ออกมาดีได้ แบบนั้นก็ถูกต้องเหมือนกัน"

สรุปก็คือ ดีกว่าเขียนแบบ "อนาคตของฉันไม่ใช่แค่ความฝัน" ตั้งเยอะ

"เธอเขียนว่าไงนะ?" หลิวฟางถามอีกครั้ง

เฉินหยวนพูดว่า "ผมเขียนว่า อนาคตคือผลลัพธ์ที่เกิดจากการสะสมอย่างต่อเนื่องของปัจจุบัน การวาดฝันถึงอนาคตก็ไม่ผิด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการตั้งใจทำปัจจุบันให้ดีที่สุด..."

"ห้าสิบคะแนนแล้ว"

หลิวฟางยกนิ้วขึ้นมา ชี้นิดหน่อย เห็นด้วยกับประเด็นนี้มาก

เธอคิดมาตลอดว่าเฉินหยวนเด็กคนนี้มีความคิด มีความเข้าใจสูง เรียงความทุกครั้งก็ตรงจุดที่ครูต้องการพอดี

แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกขัดใจก็คือ การทำความเข้าใจบทอ่านของเฉินหยวนมัน... ไม่ได้แย่มาก แต่แปลกประหลาดมาก

เธอจำได้แม่นเลยว่า ก่อนหน้านี้มีข้อสอบข้อหนึ่งถามว่า ฝนที่ตกอยู่นอกหน้าต่างในเวลานี้หมายถึงอะไร ทำไมผู้เขียนถึงเขียนแบบนี้

เฉินหยวนตอบว่า อาจเป็นเพราะตอนที่ผู้เขียนเขียน ฝนกำลังตกอยู่นอกหน้าต่าง

บอกได้คำเดียวว่า ระบบการศึกษาแบบเน้นการสอบ มันกดดันเฉินหยวนมากเกินไป จนทำให้เขาคิดตรงไปตรงมาแบบนี้…

"เจ๋ง เรียงความได้ห้าสิบคะแนนเลย" หยูเจียเฉิงอุทาน "งั้นคะแนนรวมของเฉินหยวนก็เกินร้อยอีกแล้วสิ"

"นี่แก"

ถ้าหลิวฟางไม่อยู่ตรงนี้ เฉินหยวนคงจะทำท่า 'หมาฮัสกี้ชี้หน้า' ใส่หยูเจียเฉิงไปแล้ว

ทำไมต้องพูดจี้ใจดำด้วย?

"เฮ้อ" ส่วนหลิวฟางพอได้ยินหยูเจียเฉิงพูดแบบนั้นก็ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ถอนหายใจ เสียดายจริง ๆ

ใช่สิ ฉันจะไปดีใจอะไรนักหนาล่ะ?

คะแนนเขาก็ได้แค่นี้ตลอด ถ้าทำได้ดีก็จะเกินร้อยนิดหน่อย ถ้าทำได้ไม่ดีก็จะร้อยต้น ๆ

เฮ้อ ฟางจื่อ เธอต้องดูพัฒนาการของฉันด้วยสิ วันนี้ฉันก็เขียนบทกวีถูกหมดแล้วนี่...

"สรุปแล้ว เธอเขียนเป็นบทความวิชาการใช่ไหม?"

เฉินหยวนคงไม่ทำให้เธอผิดหวังหรอก แล้วในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว ก็ต้องเป็นบทความวิชาการแน่นอน ที่หลิวฟางถาม ก็เพื่อให้นักเรียนที่อยู่ข้าง ๆ รู้ว่า บทความวิชาการแค่หามุมมองให้ถูกก็ไม่มีทางสอบตก

"..." เฉินหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ครับ"

พอได้ยินแบบนั้น หลิวฟางก็สบายใจ แต่โจวฟู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับมองออก เข้าใจในทันที

ปกติเฉินหยวนไม่ค่อยโกหก แต่ถ้าจะโกหก เขาก็จะเลือกที่จะเงียบ เวลาแบบนี้ถ้าถามเขา เขาก็มักจะตอบว่า "อืม"

คำว่า "อืม" ของเขา ก็หมายความว่า ให้ไปคิดเอาเอง

"ไปกินข้าวกันเถอะ บ่ายนี้ยังมีสอบอีก" หลิวฟางเตือนไม่ให้ทุกคนมาตรวจคำตอบกัน แค่สอบกลางภาค ไม่ต้องไปใส่ใจมาก

เธอไม่ชอบนักเรียนที่หลังสอบเสร็จแล้วก็มางอแงขอให้เธอแก้คะแนนให้ นี่ไม่ใช่สอบเข้ามหาวิทยาลัยสักหน่อย จะทำไปทำไม?

แค่สอบกลางภาค สิ่งที่ต้องเข้าใจคือวิธีการทำข้อสอบ

จากนั้น ทุกคนก็ออกจากห้องสอบ แล้วสะพายกระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะข้างนอก เตรียมตัวไปโรงอาหาร

"วิชาภาษาจีนเป็นไงบ้าง?" โจวฟู่ถาม "รู้สึกว่ายากไหม?"

"...ก็พอได้"

เฉินหยวนรู้สึกว่า วิชาภาษาจีนเป็นวิชาที่ทำให้เขารู้สึกจนปัญญาที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้อสอบแบบไหน เขาก็แยกไม่ออกว่ายากหรือง่าย

ดังนั้น เขาได้แต่ภาวนาว่า ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ขอให้วิชาภาษาจีนยากที่สุดเท่าที่จะยากได้ ยากแบบเลือดสาด แบบนั้นคะแนนเฉลี่ยถึงจะต่ำลง ส่วนตัวเขา คะแนนก็คงจะอยู่ที่ร้อยกว่า ๆ เหมือนเดิม

"ฉันมีลางสังหรณ์" โจวฟู่มองเฉินหยวน พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างมั่นใจ "การสอบครั้งนี้ ทุกวิชาของนายต้องคะแนนดีขึ้นแน่ ๆ "

"ทำไมล่ะ?" เฉินหยวนไม่เข้าใจ

เธอก็เหมือนแม่ฉันเลย เชื่อมั่นในตัวฉันมากเกินไป

แต่แม่ฉันก็ไม่ได้มั่นใจแบบไม่มีเหตุผลขนาดเธอหรอกนะ

"ก็เพราะว่า..." โจวฟู่หัวเราะ เอามือปิดปาก กระซิบข้างหูเขาเบา ๆ ว่า "504 + 121 = 625"

"...นี่เธอ ทำไมซินหยู่ถึงบอกเธอเรื่องนี้ด้วย?"

เฉินหยวนหน้าแดง แดงแบบจริงจังมาก

ที่รัก เราแอบคุยกันแบบเงียบ ๆ ไม่ได้เหรอ?

แล้วนี่ พวกเธอคุยกันถึงไหนแล้ว?

เรื่องที่ฉันรีบร้อนอยากจะขอเธอเป็นแฟน เธอก็คงไม่ได้พูดไปด้วยใช่ไหม?

เซี่ยซินหยู่ ยัยบื้อ!

"ฉันว่าก็ดีนะ" โจวฟู่ยิ้ม รีบบอกปลอบใจว่า "ที่เธอบอกฉัน ก็เพราะอยากให้ฉันช่วยดูแลเรื่องเรียนของนายด้วย"

"ถึงจะพูดแบบนั้น แต่..."

จริง ๆ แล้วเฉินหยวนก็มีนิสัยแบบพวกเด็กเรียนจอมปลอมอยู่บ้าง ก่อนที่คะแนนจะออก เขาไม่อยากให้ใครคิดว่าเขาตั้งใจเรียนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเพราะเหตุผลที่ว่า อยากจะตามเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันอีก มันดูเป็นผู้ชายใสซื่อ ไร้เดียงสาเกินไป

ไม่เข้ากับบุคลิกของเขาเลย

"วิชาภาษาจีนฉันก็ได้ระดับ 120 นะ ข้อสอบบางข้อฉันก็พอจะช่วยนายได้" โจวฟู่เสนอตัว "ยกเว้นเรียงความ ข้อสอบอื่น ๆ ถ้าเพิ่มคะแนนได้สักเจ็ดแปดคะแนน ก็เกินร้อยสิบแล้ว ถ้าฉันช่วยแล้วนายคะแนนเกินร้อยสิบได้ เธอสองคนต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ"

แล้วตอนกินข้าวก็ค่อยคุยเรื่องมหาวิทยาลัยกัน

แต่สองคนนั้นจะสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันได้จริง ๆ เหรอ คะแนนต่างกันตั้งร้อยยี่สิบคะแนน...

เฉินหยวนได้คะแนนเท่าฉันยังดูสมเหตุสมผลกว่า

ไม่สิ แบบนั้นก็กลายเป็นว่า เราสองคนได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แล้วซินหยู่ก็เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ ที่อยู่ในเมืองเดียวกัน แต่คนละที่งั้นสิ?

ไม่ได้นะ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันอาจจะอดใจไม่ไหว ทำผิดพลาดจริง ๆ ก็ได้...

ไม่ได้ ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!

"แต่... ถ้านายคะแนนเกินฉันได้ ฉันจะเลี้ยงข้าวนายเอง" หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โจวฟู่ก็ตัดสินใจกระตุ้นเฉินหยวน ให้เขามุ่งมั่นพัฒนาตัวเองไปให้ไกลกว่านี้

ถ้าเฉินหยวนอยู่กับเธอ ก็ยังดี เพราะเธอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง

แต่ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่รุกหนักกว่านี้...เด็กผู้ชายคนนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะนอกใจเหมือนกัน

"ตกลง ๆ "

เฉินหยวนพยักหน้า ตอบรับข้อเสนอ "เกินแน่ ฉันจะพยายามเกินเธอให้ได้"

...

ในขณะที่นักเรียนเริ่มสอบวิชาคณิตศาสตร์ เหล่าครูในกลุ่มสาระวิชาภาษาจีนก็เริ่มตรวจข้อสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาสิทธิ์ในการหยุดเสาร์อาทิตย์ของพวกเธอ ไม่ต้องมาทำงานตรวจข้อสอบอย่างน่าอนาถในวันหยุด

โดยแต่ละคนก็มีส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ

และเพื่อให้สามารถตรวจข้อสอบได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เสียเวลา การตรวจเรียงความก็ดำเนินการพร้อมกัน

วิธีการตรวจเรียงความ ก็เป็นแบบที่ทุกคนบ่น ๆ กันนั่นแหละ ครูแต่ละคนจะใช้เวลาดูไม่เกินสองนาที

ดูว่าตอนเปิดเรื่องตรงประเด็นไหม ตอนจบยกระดับไหม ส่วนตรงกลางก็เหลือบมองตัวอย่างนิดหน่อย ดูว่าเหมาะสมไหม แค่นี้ก็พอจะกำหนดคะแนนได้คร่าว ๆ แล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ

แต่ก็มีข้อสอบบางฉบับที่ใช้เวลาสามสี่นาที อ่านจนจบ แบบนั้นก็แสดงว่าเป็นเรียงความที่ดี

"โจทย์ครั้งนี้ง่ายมาก โดยทั่วไปแล้วจะไม่ออกนอกเรื่อง ดังนั้น ทุกคนก็พยายามกดคะแนนลงหน่อย แล้วก็ คนที่เขียนออกนอกเรื่อง อย่าใจอ่อน ให้คะแนนต่ำ ๆ ไปเลย" ตอนตรวจข้อสอบ อู๋เหวินเซิน หัวหน้ากลุ่มสาระวิชาภาษาจีน ก็สั่งครูสอนภาษาจีนแบบนี้

จากนั้น ทุกคนก็ตรวจตามเกณฑ์นี้ เรียงความส่วนใหญ่จะได้คะแนนประมาณ 45 คะแนน ดีหน่อยก็ 47, 48 ส่วนคนที่เขียนออกนอกเรื่องอย่างชัดเจน แต่เขียนครบแปดร้อยคำ ก็จะให้ 30 คะแนนทั้งหมด

ถึงจะบอกว่าวิชาภาษาจีนดึงคะแนนไม่ขึ้น แต่คนที่ทำได้ดีกับคนที่ทำได้แย่ แค่เรียงความอย่างเดียวก็ต่างกันตั้ง 17, 18 คะแนน

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนักเรียนถึงไม่ใส่ใจวิชานี้

ห้อง 15 ยังมีนักเรียนที่สอบได้ 130 คะแนนตั้งหลายคน ความสามารถในการแข่งขันของพวกเขาก็ไม่น้อยเลยนะ?

"นี่เรียงความของนักเขียนตัวน้อยห้องคุณใช่ไหม อาจารย์หลิว?" ครูผู้ชายคนหนึ่งกำลังตรวจเรียงความอยู่ ก็หันไปพูดกับหลิวฟางที่โต๊ะทำงานข้างหลัง พร้อมกับยิ้ม

"ข้อสอบจะปิดชื่อหรือไม่ปิด มันก็ไม่มีความหมายอะไรกับเขาหรอก" หลิวฟางพูดด้วยความรู้สึก

"เขียนดีจริง ๆ สำนวนภาษาแบบนี้ฉันยังทำไม่ได้เลย เขียนเป็นร้อยแก้ว แต่กลับไม่ใช่ประเด็นแบบ 'ใช้ความฝันเป็นพลัง อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาดี ๆ ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์' ที่เห็นกันเกลื่อน" ครูคนนั้นอุทาน

"ประเด็นคืออะไร?" หลิวฟางถาม

ครูคนนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ปล่อยวางอดีต ก็จะได้ครอบครองปัจจุบัน ได้ครอบครองปัจจุบัน ก็จะได้พบกับอนาคต"

"ดีมาก!" พอได้ยินแบบนั้น อู๋เหวินเซินก็เดินเข้ามา รับกระดาษข้อสอบไป มองดูพลางพยักหน้า "เด็กคนนี้สุดยอดจริง ๆ เลือกประเด็นได้แม่นยำขนาดนี้ ยังเขียนเป็นร้อยแก้วได้อีก ฉันจำเขาได้ อันดับรวมก็ติดท็อป 30 ใช่ไหม?"

"ครั้งที่แล้วได้ที่ 29 อยู่ห้องสอบสายวิทย์ห้องแรก" หลิวฟางพูด

"เยี่ยม เยี่ยมมาก" อู๋เหวินเซินพยักหน้า แล้วพูดว่า "ถ้าเขาไม่อยากเขียนบทความวิชาการจริง ๆ ถ้าทุกครั้งเขียนได้แบบนี้ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาอาจจะได้คะแนนเรียงความเต็มก็ได้ อีกอย่าง เขาก็มีศักยภาพระดับ 985 (กลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน) อยู่แล้ว ถ้าเรียงความโดดเด่นแบบนี้ อาจจะได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ระดับสูงกว่านั้นก็ได้"

เช่น มหาวิทยาลัยไห่ตง ที่ค่อนข้างสนับสนุนนักเรียนในพื้นที่

"แบบ ผู้เขียน 'ความตายของกระต่ายแดง' ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยหนานจิงแบบพิเศษงั้นเหรอ?" ครูคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา

"ก็ไม่แน่เหมือนกัน" อู๋เหวินเซินก็คิดแบบนั้นจริง ๆ

"คำจำกัดความของวรรณกรรมมันกว้างมาก โดยทั่วไปแล้ว สาขาวิชาวรรณกรรมล้วนชอบเด็กที่มีพรสวรรค์แบบนี้"

"แน่นอนว่า ก็มีบ้างที่คิดผิด"

"นั่นก็คือ มหาวิทยาลัยจี้จิงเคยรับนักเรียนที่เขียนเรียงความด้วยอักษรกระดองเต่าเข้ามา แล้วพอเข้ามาเรียนก็พบว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อน..."

"ตอนนี้ ไม่ค่อยมีการรับนักเรียนแบบพิเศษโดยใช้วิธีแบบนี้อีกแล้ว"

"แต่ เด็กคนนี้มีคะแนนรวมที่ดีมากอยู่แล้ว บวกกับการเขียนหนังสือที่ยอดเยี่ยม การที่เขาจะถูกจับตามองจากสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านวรรณกรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก"

"แล้วได้กี่คะแนนล่ะ?" ครูคนนั้นถาม

อู๋เหวินเซินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า "55 คะแนน น้อยกว่าคะแนนเต็ม 1 คะแนน"

คะแนนเต็มของโรงเรียนหมายเลข 11 คือ 56 คะแนน โดยพื้นฐานแล้วจะให้เฉพาะผลงานระดับท็อปเท่านั้น

ส่วน 55 คะแนน เทียบเท่ากับ 58 คะแนน ในเกณฑ์การตรวจข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย

หรืออาจจะโชคดีได้เป็นเรียงความที่ได้คะแนนเต็มเลยก็ได้

"งั้นชุดที่คุณตรวจนี่ เป็นห้องสอบแรกของสายศิลป์สินะ"

ครูผู้หญิงคนหนึ่งพูดด้วยความอิจฉา ก่อนจะเอามือกดขมับตัวเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ว่า "ฉัน เหมือนจะได้ตรวจเรียงความของห้องท้าย ๆ สายวิทย์ เฮ้อ..."

แล้วการทรมานก็เริ่มต้นขึ้น

ตรวจข้อสอบอย่างรวดเร็ว 44, 45, 44, 46...

แต่ท่ามกลางดงหญ้ารกชัฏ กลับมีเห็ดหลินจืออยู่

ชีวิตคนเราเหมือนการเดินทาง ฉันก็เป็นเพียงผู้เดินทางคนหนึ่ง

อ้างอิงตัวอย่างของซูซือ ทุกย่อหน้าล้วนยึดติดกับแก่นเรื่อง และดูจากลายมือแล้ว เป็นลายมือผู้หญิง สวยมาก

ให้ 51 คะแนนแล้วกัน

หลังจากกดคะแนนโดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นคะแนนที่สูงมาก

ห้องท้าย ๆ สายวิทย์ยังมีนักเรียนแบบนี้อีก น่าประหลาดใจจริง ๆ

แต่เห็ดหลินจือก็คือเห็ดหลินจือ ถ้าหาเจอได้ทั่วไป มันก็คงไม่ล้ำค่า

ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นดงหญ้ารกชัฏ และอึที่ซ่อนอยู่ในดงหญ้า ร้ายกาจเป็นพิเศษ

《อนาคตของฉัน ฉันเป็นคนกำหนด》

แบบนี้ก็ไม่ได้เขียนถึงอนาคตสักหน่อย

สมองไปโดนอะไรมาเนี่ย เพี้ยนได้ขนาดนี้...

36 คะแนน

43, 47, 44, 46

เฉลี่ยแล้วตรวจข้อสอบเสร็จหนึ่งแผ่นในหนึ่งนาทีครึ่ง ครูผู้หญิงหวังว่าจะตรวจเสร็จเร็ว ๆ

แต่กลับมีข้อสอบแผ่นหนึ่งที่เธอตรวจอยู่นานมาก

นานถึงห้านาที

สุดท้าย ด้วยความไม่แน่ใจ เธอจึงพูดกับหัวหน้ากลุ่มสาระภาษาจีนว่า "ครูอู๋ ช่วยมาดูหน่อยค่ะ"

"มีอะไรเหรอ ตัดสินยากเหรอ?" อู๋เหวินเซินถาม

โดยทั่วไปแล้ว แก่นเรื่องนี้ควรจะชัดเจนนะ

"ไม่ใช่ค่ะ ตัดสินได้ ในความคิดของฉัน ฉันคิดว่านี่เป็นผลงานที่ดี"

ครูผู้หญิงยื่นข้อสอบให้ แล้วพูดว่า "แต่ฉันไม่ค่อยแน่ใจ ข้อสอบแผ่นนี้ต้องใช้เกณฑ์ 56 คะแนนเป็นคะแนนเต็มเหมือนกันไหมคะ?"

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด