ตอนที่ 6 ฆ่า
ตอนที่ 6 ฆ่า
สวี่จื้อควบคุมรถเข็นเข้ามาใกล้ประตูอย่างช้าๆ ขณะคิดไปด้วยว่า คนที่มารู้ได้ยังไงว่ามีคนอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอไม่เคยส่งเสียงหรือตอบกลับใดๆ
สิ่งนี้ทำให้สวี่จื้อรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น ควรรู้ว่าหลังจากภัยพิบัติเริ่มต้นขึ้น เธอไม่เคยออกจากบ้านเลยสักครั้ง เนื่องจากเธอต้องพักผ่อนมากกว่าคนอื่นๆ เพื่อรักษาสุขภาพ เธอจึงเข้านอนเร็วทุกวัน และก็ไม่เคยเปิดไฟในบ้านเลย ไม่ต้องพูดถึงการส่งเสียงดัง และเนื่องจากหมอกที่บดบังสายตา มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตว่ามีคนอยู่ในบ้านหลังนี้
เมื่อเห็นว่าคนในบ้านไม่ได้ส่งเสียงตอบใดๆ คนที่อยู่นอกประตูก็ดูใจร้อนเล็กน้อย เสียงเคาะประตูจึงเริ่มรุนแรงขึ้นพร้อมกับเสียงลูกบิดประตูที่ถูกหมุน
แต่เนื่องจากประตูถูกล็อค จึงไม่สามารถหมุนลูกบิดให้ประตูเปิดออกได้ คนที่อยู่ข้างนอกจึงรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการกระชากลูกบิด และเปิดประตูด้วยกำลัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สวี่จื้อก็สามารถสรุปได้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกไม่สามารถเข้ามาได้ และเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย
ในความเป็นจริง เธอมีความสงสัยอย่างมาก และต้องการฆ่าคนเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อวาน อีกฝ่ายเป็นเหมือนระเบิดเวลาในสายตาของเธอ แต่ด้วยศีลธรรมที่ถูกสั่งสอนมาในใจ ความคิดต่างๆ จึงขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความลังเล
ตอนนี้ ความอดทนต่ำจองอีกฝ่ายได้ยืนยันความสงสัยของเธอแล้ว เธอมั่นใจมากว่าผู้คนในเมืองกำลังเปลี่ยนไป และยิ่งเธออยู่ในเมืองนี้นานเท่าไร ความคิดของเธอก็ยิ่งเบี่ยงเบนไปมากขึ้นเท่านั้น บางทีหลังจากนี้อีกไม่กี่วัน เธออาจถูกหมอกกลืนกินไปเช่นกัน
สวี่จื้อไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ เป้าหมายของเธอมีเพียงอย่างเดียวคือการ เอาชีวิตรอด ถ้าออกจากที่นี่ได้ก็ถือเป็นเรื่องดี
เธอคิดอย่างลึกซึ้ง และในที่สุดก็เอ่ยปากถามออกไปว่า “เธอต้องการอะไร”
ทันทีที่เธอส่งเสียง เสียงบิดที่จับ และกระแทกประตูอย่างเมามันก็หยุดลง หลังเงียบไปไม่กี่วินาที เสียงผู้หญิงที่นุ่มนวล และสงบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่ออยู่บ้าน ก็ควรส่งเสียงตอบสิ”
ไม่รู้ว่าหมอกดำส่งผลต่อสติของเธอหรือเปล่า แต่สวี่จื้อรู้สึกว่าคำพูดนั้นไม่เข้ากับน้ำเสียงเลย
แต่สวี่จื้อก็เพิกเฉย จากการที่คนที่อยู่นอกประตูบิดลูกบิดประตูอย่างบ้าคลั่ง เธอก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจมีสติหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก เธอจึงถามต่อเพื่อทดสอบ "ตอนนี้พวกคุณมีกี่คน"
อีกฝ่ายตอบอย่างรวดเร็ว “สิบห้า”
สวี่จื้อถามอีกครั้ง “พวกคุณมารวมตัวกันได้อย่างไร?”
“หลังจากที่รัฐบาลกลางออกประกาศแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน พวกเราที่ออกจากเมืองไม่ทันก็มารวมตัวกัน”
สวี่จื้อไม่เชื่อ เธอจึงถามอีกครั้ง "ตอนนี้เธออาศัยอยู่ที่โรงเรียนเหรอ?"
“ใช่ โรงเรียนมีทุกอย่าง ที่นั่นค่อนข้างปลอดภัย”
ค่อนข้างปลอดภัย?
เฮอะ จะเป็นไปได้ยังไง!
สวี่จื้อถามคำถามที่เตรียมไว้มานาน “แล้วในหมู่พวกคุณมีคนบ้าหรือเปล่า?”
เมื่อถามคำถามนี้ อีกฝ่ายก็เงียบไปทันทีแล้วพูดเบาๆ “จะมีคนบ้าได้ไง เราเป็นนักเรียนไม่ใช่คนไข้ของโรงพยาบาลจิตเวชสักหน่อย”
“เราทุกคนต่างปกติดี”
โกหก! และมันเป็นคำโกหกที่ไม่มีทางออกจากปากของ ‘คนธรรมดา’
ดูเหมือนว่าสติของอีกฝ่ายจะลดลงไปมากหลังจากสูดหมอกดำเข้าไป ไม่ เกรงว่าจะมากกว่านั้นเสียอีก
ดูจากการกระทำ และคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว เธออาจกลายเป็นบางสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นไปแล้ว
หลังจากได้คำตอบที่ต้องการแล้ว สวี่จื้อก็เปลี่ยนเรื่องทันที "แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่ามีคนอยู่ที่นี่"
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบตามความจริง สวี่จื้อก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่สามารถคิดหาคำตอบที่แนบเนียนได้จากสติเพียงเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่
โดยไม่คาดคิดเมื่อต้องเผชิญกับคำถามนี้ เด็กสาวข้างนอกก็นิ่งเงียบ และจู่ๆ ก็กลายเป็นหงุดหงิด “เลิกถามเรื่องไร้สาระได้แล้ว ตกลงเธอจะไปกับฉันหรือเปล่า?!”
หัวใจของสวี่จื้อจมลงเล็กน้อย และเธอก็ตระหนักว่าคำถามนี้อาจเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต่อต้านอย่างมาก เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“เธอมาที่นี่คนเดียวเหรอ ฉันมีสัมภาระมากมาย และตัวฉันก็พิการ อาจแบกมันไปเองไม่ไหว”
นี่เป็นคำถามทดสอบที่ง่ายมาก ยากที่จะหลอกใครได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการทดสอบครั้งก่อนๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแทบไม่มีสติเหลืออีกต่อไป และอาจถูกหมอกกลืนกินไปแล้ว
“งั้นก็ไปกับฉันก็ได้ สำหรับสัมภาระของเธอ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนอื่นๆ มาช่วยขนไปให้”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะต้องการพาตัวเธอไปให้ได้
“หากมีเธอคนเดียว มันก็ไม่ปลอดภัย เธอควรไปเรียกเพื่อนมาก่อนแล้วฉันจะยอมไปด้วย”
แม้ว่าเธอจะพบว่าอีกฝ่ายผิดปกติ แต่ก็อยากยืนยันด้วยตาตัวเอง เธอจึงลุกขึ้นจากรถเข็น เข้าใกล้ตาแมวอย่างเงียบๆ และลองมองลอดออกไป
เมื่อมองผ่านตาแมวที่ประตู เธอเห็นว่ามีเด็กสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมชุดนักเรียนมัธยมปลายยืนอยู่ เด็กสาวคนนั้นมองเธอท่าทางโกรธเคือง
“พรุ่งนี้เหรอ ไม่ ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ เธอต้องมากับฉันเดี๋ยวนี้!”
เด็กสาวที่อยู่นอกประตูลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเธอเพิ่งสัญญาว่าจะหาคนมาช่วยสวี่จื้อยกสัมภาระ
ขณะที่เธอพูด สวี่จื้อก็เห็นอย่างชัดเจนว่าดวงของเด็กสาวกลายเป็นสีดำสนิท นี่ทำให้มั่นใจได้ว่าเธอถูกหมอกสีดำกลืนกินไปแล้ว
สวี่จื้อนั่งลงบนรถเข็นแล้วแสร้งทำเป็นลังเลแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ แต่เธอต้องเข้ามาช่วยจัดเก็บของก่อน”
สวี่จื้อถือมีด ตรวจดูให้แน่ใจว่ามันถูกซ่อนไว้อย่างดี จากนั้นค่อยๆ เปิดประตู
เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายเดินเข้ามาโดยก้มหัวลง เมื่อเธอเห็นสวี่จื้อนั่งอยู่บนรถเข็น ร่างกายของเธอก็ไม่ตึงเครียดเหมือนอยู่นอกประตู ดูเหมือนจะผ่อนคลายเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนที่เธอจะพูดหรือทำสิ่งใด หลังจากที่เธอเข้ามา สวี่จื้อก็ยกมือเพื่อปิดประตู และลงกลอน
นั่นทำให้เด็กสาวรู้สึกประหลาดใจกับพฤติกรรมนี้ เธอลืมแม้กระทั่งการปกปิดดวงตาที่ดำมืด และมองสวี่จื้อด้วยความสงสัย เธอไม่เคยคิดเลยว่า ‘เหยื่อ’ จะกล้าขังนักล่าไว้ด้วยกัน
สวี่จื้อไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป เมื่อเด็กสาวกำลังตกตะลึง เธอก็ควักมีดออกมา และแทงมันเข้าไปในช่องท้องของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ จากนั้นดึงมันออกมาโดยไม่ลังเลใจ
เลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจากบาดแผล และใบหน้าของหญิงสาวก็บิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว เธอยกมือขึ้นแล้วฟาดใส่สวี่จื้อที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น แม้จะถูกแทงที่ท้อง เธอก็ดูเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
สวี่จื้อก่นด่าในใจ และยกมือขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตี เธอจงใจไม่ลุกขึ้นจากรถเข็นเพื่อให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอพิการจริง และไม่สามารถหนีไปไหนได้
ตอนที่เธอดึงมีดออกมา เลือดที่ไหลล้นก็ไหลลงมาตามด้ามจับ มาถึงมือของเธอ ตอนนั้น สวี่จื้อก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของเธอจากหยดเลือด ทำให้เธอรู้สึกมีกำลังมากขึ้น
สกิลกระหายเลือดน่าจะถูกเปิดใช้งานแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวฟาดเธอด้วยมือเปล่า แต่สวี่จื้อรู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยเหล็ก รถเข็นของเธอพลิกคว่ำ และเธอก็ล้มลงกับพื้นด้วยความตื่นตระหนก
แต่เธอไม่รีบลุกขึ้นมา แต่กลับคว้ามีด และกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีแรงพอจะลุกขึ้นแล้ว
เมื่อเห็นสิ่ง เด็กสาวในชุดนักเรียนก็ส่งเสียงฮึด้วยไม่พอใจ การถูกคนพิการทำร้ายดูเหมือนจะทำให้เธอรู้สึกเสียหน้า
เมื่อมองดูสวี่จื้อที่นอนอยู่บนพื้น ดวงตาของเธอก็น่ากลัวยิ่งขึ้น เหยื่อที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ถือว่าไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป จะฆ่าแกงยังไงก็ได้ตามใจชอบ
เธอต้องการเปิดท้องของสวี่จื้อดึงลำไส้ออกมา และให้รู้ซึ้งถึงความผิดที่กล้าลอบโจมตีเธอ
ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าไปหาสวี่จื้อที่กำลังนอนอยู่บนพื้น และค่อยๆ ก้มตัวลง และยื่นมือออกไปใกล้กับท้องของอีกฝ่าย ในเวลานั้น เล็บของเธอเปลี่ยนเป็นสีดำ และดูเหมือนกรงเล็บของสัตว์ประหลาด มุ่งตรงไปที่ท้องของสวี่จื้อ
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ดุร้ายของเด็กสาว ในขณะนี้ ความสนใจทั้งหมดของเธอถูกถ่ายโอนไปยังช่องท้องส่วนล่างของสวี่จื้อ เธอกำลังจินตนาการภาพที่เนื้อหนังจะถูกฉีกออกและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยคิดเลยแม้แต่แวบเดียวว่า เหยื่อที่อ่อนแอเช่นนี้จะยังสามารถสู้กลับได้
ทันทีที่เด็กสาวถูกหันเหความสนใจ สวี่จื้อทุ่มสุดตัว ใช้แรงที่ได้จากสกิลกระหายเลือด เหวี่ยงมีดไปที่คอของเด็กสาว ตัดผ่านหลอดเลือด
เลือดจำนวนมากพุ่งออกมาทันที และปกคลุมใบหน้าของสวี่จื้อ แต่เธอไม่กะพริบตาเลย
เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีไปแล้ว ในขณะนี้ เธอแทบถือมีดไว้ไม่ไหว เนื่องจากการสูญเสียเรี่ยวแรง การมองเห็นของเธอจึงพร่ามัวเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ลดความระมัดระวัง เธอมองดูเลือดที่ไหลออกมาย้อมเสื้อจนเป็นสีแดงฉาน มองดูสีหน้าดุร้ายของอีกฝ่ายที่ไม่เชื่อว่าตนจะพลาดท่า ปากนั้นอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
จนกระทั่งร่างของเด็กสาวล้มลงทับร่างของเธอ และเลือดที่ไหลออกมาก็นองไปทั่ว สวี่จื้อจึงก็เริ่มหายใจถี่ด้วยมือที่สั่นเทา
เลือดอุ่นอาบร่างของเธอ มอบพลังชีวิตส่วนเล็กๆ ให้ แต่ตอนนี้สวี่จื้อไม่มีเวลามาสนใจ
ร่างกายของเธออ่อนล้า และถึงขีดจำกัดแล้ว แต่เธอก็รู้สึกสงสัยว่าคนเรามีเลือดมากมายขนาดนี้เลยเหรอ
มีเลือดมากขนาดนี้ในร่างกายมนุษย์จริงหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าเพราะเด็กสาวตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เธอจึงมีเลือดมากถึงขนาดนี้?
บางทีอาจเป็นเพราะตัวเธอเองเหนื่อยเกินไป ความคิดบางอย่างจึงไม่ชัดเจน
หลังรอสักพักจนกระทั่งเลือดของอีกฝ่ายหยุดไหล สวี่จื้อก็เอื้อมมือออกผลักร่างของเด็กสาวออก แล้วนั่งบนรถเข็นอีกครั้ง
มือและขาของเธอยังคงสั่นเทา แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นหรือความกลัว แต่มาจากความอ่อนแอ
แม้ว่าเธอจะดูดซับพลังชีวิตไปบางส่วนแล้ว แต่เธอก็ยังอ่อนแอมาก เมื่อได้รับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
สวี่จื้อมีอาการปวดหัว แต่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง
เธอควบคุมรถเข็นตรงไปที่ห้องน้ำ หลังล้างมือสักครู่ เธอก็หยิบเครื่องเกมขึ้นมา และเลือกเสี่ยวอี้
เสี่ยวอี้มีแต้มวิวัฒนาการเพียงพอที่จะยกระดับไปถึงเลเวล 11 ได้แล้ว ซึ่งน่าจะช่วยบำรุงร่างกายของเธอได้เล็กน้อย และทำให้เธอรอดจากผลข้างเคียงนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องร้อย ในความเป็นจริง มีวิกฤติที่ยิ่งใหญ่กว่ารอเธออยู่
เด็กสาวคนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว และเพื่อนของอีกฝ่ายรู้ว่าวันนี้จะมาหาเธอที่นี่ เมื่อเด็กสาวไม่กลับไป คนที่เหลือต้องสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น เมื่อพวกเขามาตรวจสอบ เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน
พูดง่ายๆ ก็คือ เธอไม่สามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้อีกต่อไป
เธอต้องจากที่นี่ไป
แต่หมอกดำปกคลุมทั่วทั้งเมือง เธอจะไปอยู่ที่ไหนได้?