ตอนที่ 5 เสียงที่ไม่อยากได้ยิน
ตอนที่ 5 เสียงที่ไม่อยากได้ยิน
เมื่อหน้าจอเกมเปลี่ยนไป ตัวเลือกใหม่ของแฟมิเลียก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าสวี่จื้อ
จำนวนตัวเลือกเพิ่มขึ้นเป็นสี่ และเลเวลเริ่มต้นก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
[ 1. แมว ( เลเวล 3 ) ]
[ 2. ลิง ( เลเวล 3 ) ]
[ 3. หมา ( เลเวล 3 ) ]
[ 4. แมงมุม ( เลเวล 3 ) ]
“ทั้งหมดอยู่เลเวล 3”
ดวงตาของสวี่จื้อจับจ้องไปที่หมาและแมว เธอปฏิเสธแมงมุม และลิงที่ไม่คุ้นเคยก่อนในทันที
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง สวี่จื้อก็ตัดสินใจเลือกหมา
หลังจากกดปุ่มตกลง คำบรรยายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนหน้าจอเกม
[ คุณได้เลือกแฟมิเลียตนที่สองแล้ว ]
[ หมา ( เลเวล 3 ) ]
[ จิตวิญญาณ : 5 ]
[ ร่างกาย : 40 ]
[ พลัง : ไม่มี ]
[ สกิล : แข็งแกร่ง ( เลเวล 2 ) ดมกลิ่น ( เลเวล 3 ) ]
[ แต้มวิวัฒนาการ : 0 / 200 ]
“ต้องใช้แต้มวิวัฒนาการเท่ากัน แต่ดูเหมือนหมาจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่างูมาก”
เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เธอเลือกหมา นั่นก็คือความแข็งแกร่ง
เหตุผลที่เธอลังเลระหว่างหมาและแมวก็เพราะเธอรู้ว่าตนมีโอกาสดึงเอาสกิลของแฟมิเลียออกมาได้
หากเป็นหมาก็ต้องพูดถึงความแข็งแกร่ง ส่วนแมวก็เป็นความคล่องตัว เมื่อคิดดูแล้ว สิ่งที่เธอขาดมากที่สุดในตอนนี้คือ ความแข็งแกร่ง
แม้ว่าสวี่จื้อจะไม่แน่ใจว่าการเลือกหมาจะให้สกิลที่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งมาด้วย แต่เธอก็คาดเดาจากสกิลของงู และเต็มใจที่จะลองเสี่ยงดู
ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น ดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเธอจริงๆ
ตอนนี้ เมื่อเขาได้รับสกิลที่ต้องการแล้ว อารมณ์ของสวี่จื้อก็ดีขึ้นไม่น้อย
เธอทำซ้ำกระบวนการเดิมอย่างชำนาญ และเริ่มยกระดับแฟมิเลียตนที่สองอย่างชำนาญ ในขณะเดียวกันเธอก็คอยเฝ้าดูว่า มันจะล่าเหยื่อยังไง
คราวนี้ ในหน้าจอมันไม่ได้เป็นมุมมองแบบภาพจับความร้อนเหมือนงูอีกต่อไป แต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมานัก มองเห็นเพียงไม่กี่สีอย่างเช่น สีดำ สีขาว สีเหลือง สีฟ้า และสีเทาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นสวี่จื้อก็สามารถมองเห็นได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
ตัวมันดูเหมือนอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำ
ดวงตาของ สวี่จื้อค่อยๆ เบิกกว้าง และเธอก็สั่นไปทั้งตัว เพราะความคิดไร้สาระหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
เมืองนี้ในเกม หรือจะเป็นเมืองหยุนที่เธออยู่?
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้น สวี่จื้อแทบไม่สามารถสงบสติอารมณ์ไว้ได้ เธอเริ่มนึกถึงเมืองที่เธอเห็นจากมุมมองของงู แต่มุมมองนั้นค่อนข้างต่ำติดพื้น และจับจุดอะไรไม่ค่อยได้ชัดเจน
แค่หมอกดำเพียงอย่างเดียว ยังไม่ใช่หลักฐานที่แน่ชัดที่จะบอกว่าอยู่ในเมืองหยุน แต่หากเป็นเพียงเกมจริงๆ ผลไม้สีดำนั้นก็ไม่น่าจะปรากฏในมือของเธอได้
สวี่จื้อจึงเต็มใจที่จะเชื่อว่ามีผลไม้สีดำแบบนั้นอยู่แล้ว และเกมก็แค่ ‘วาร์ป’ มันมาอยู่ในมือของเธอเท่านั้น
นอกจากนี้ มีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญกว่านั้น ที่เธออยากให้มันเป็นเรื่องจริง นั้นคือ หากแฟมิเลียอยู่ในเมืองนี้จริงๆ เธอก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพหรือการปกป้อง มันคือสิ่งที่เธอต้องการมากในตอนนี้
เธอไม่ไว้ใจใครเลยในเมืองนี้ และเธอก็ไม่ต้องการเพื่อนที่เป็นมนุษย์ การที่ได้อยู่ร่วมกับแฟมิเลียที่ภักดีตัวเธอ เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
ดังนั้นเธอจึงหวังจากก้นบึ้งของหัวใจว่าการคาดเดานี้จะไม่ใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ
เพื่อจะยืนยัน เธอต้องตรวจสอบดู
ตัวอย่างเช่น มองหาจุดสังเกตที่คุ้นเคยอย่างระมัดระวังในขณะที่ให้แฟมิเลียมองหาเหยื่อ
แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องยากสักหน่อย สวี่จื้อไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกบ่อยครั้งนัก และความทรงจำของเธอเกี่ยวกับเมืองหยุนก็ถึงตอนที่เธออายุเพียง 11 เท่านั้น และภาพที่เห็นก็มาจากรายการโทรทัศน์ท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่
“แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องลองดู”
เนื่องจากเธอไม่ได้พูดบ่อย เสียงของเธอจึงแหบแห้งเล็กน้อย และเนื่องจากหัวใจและปอดที่อ่อนแอ เสียงของเธอจึงเบากว่าคนอื่นเมื่อเปล่งออกมา ในขณะนี้ เสียงที่อ่อนแอเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ก็มีความกลัวเล็กๆ แฝงอยู่ มันเป็นเหมือนความฝัน เหมือนเงาที่เธอต้องการไล่ตาม
เธอทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับเกม โดยควบคุมหมาให้วิ่งไปรอบๆ เพื่อค้นหาเหยื่อ เธอต้องเผชิญกับอันตรายมากมายระหว่างทาง และเสียเวลาพักฟื้นสองชั่วโมงเพื่อจ่ายราคาของการออกผจญภัย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้ หลังทานข้าว และกินยาเธอก็กลับมาเล่นต่อ
โชคดีที่ร่างกายของหมาเลเวล 3 นั้นแข็งแกร่งกว่างูในระดับเดียวกันมาก มันจึงเหนื่อยช้ากว่า และใช้เวลาไม่นานในการออกล่าเพื่อไปถึงเลเวล 4
หลังจากยกระดับ ร่างกายของมันก็ดูเหมือนจะฟื้นตัว และการล่าก็ดำเนินต่อไป
สวี่จื้อเล่นเป็นเวลาหกชั่วโมงเต็ม และทำให้มันไปถึงเลเวล 5 ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงวางเครื่องเกมลงแล้วลูบหน้าผากของตัวเอง
[ หมา ( เลเวล 5 ) ]
[ จิตวิญญาณ : 14 ]
[ ร่างกาย : 160 ]
[ พลัง : ไม่มี ]
[ สกิล : แข็งแกร่ง ( เลเวล 3 ) ดมกลิ่น ( เลเวล 3 ) รอบคอบ ( เลเวล 1 ) ]
แม้ว่าร่างกายของเธอจะเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่จิตใจของสวี่จื้อก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
เพียงเพราะเธอได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว!
ก่อนหน้านี้ เมื่อเธอควบคุมหมาให้ออกค้นหาเหยื่อเพื่อยกระดับเป็นเลเวล 5 เธอก็ไล่ล่าเหยื่อขึ้นบันไดของอาคารหลังหนึ่งไปถึงหลังคาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมาถึง เหยื่อตัวนั้นก็ได้กระโดดข้ามไปบนอาคารอีกหลังหนึ่ง
ในเวลานั้น เกมได้ให้ทางเลือกแก่เธอว่าจะไล่ตามต่อหรือไม่ เนื่องจากมีระยะห่าง และความสูงที่แตกต่างกันมากระหว่างอาคารฝั่งตรงข้ามกับหลังคาของอาคารที่หมาของเธออยู่
การไล่ตามจึงมีความเสี่ยง อาจกระโดดไปไม่ถึง แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของหมาเลเวล 5 แม้จะพลาดแต่ก็จะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทำให้ควรที่จะไล่ตามเหยื่อต่อไป แต่สวี่จื้อเลือกที่จะไม่ทำ
เหตุผลที่เธอเลือกทำเช่นนั้นก็เพราะเธอได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าอาคารที่อยู่ไม่ไกล มันดูเหมือนกับหอนาฬิกาขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นนั้นเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองหยุน
หอนาฬิกานั้นมีสีเทา มีหน้าปัดขนาดใหญ่ฝังอยู่ทั้งสี่ด้าน เนื่องจากแผ่นดินไหวเมื่อห้าปีที่แล้ว มันจึงพังแล้วไม่อาจใช้งานได้อีก
แต่ถึงอย่างนั้นทางเมืองก็เลือกเก็บมันไว้เป็นที่ระลึก และเลือกที่จะไม่ซ่อมแซม ปล่อยให้เวลาหยุดเดินตลอดไป
ในฐานะชาวเมือง ทุกคนล้วนรู้จักหอนาฬิกา แม้แต่สวี่จื้อที่ไม่ออกไปข้างนอกก็เคยเห็นข่าวเกี่ยวกับมันมาหลายต่อหลายครั้ง
“ฮ่าๆๆ มันเป็นเรื่องจริง!”
สวี่จื้อพึมพำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก และไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ หากเธอไม่ได้ถือเครื่องเกมอยู่ในมือ เธอคงอยากจะปรบมือเสียด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ ความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพวยพุ่งเข้ามาในจิตใจของเธอ หัวใจของเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน และรูม่านตาของเธอก็ขยายออกเล็กน้อย จนกระทั่งสวี่จื้อ รู้สึกว่าหายใจลำบาก เธอก็ตระหนักได้ว่าตัวเองตื่นเต้นมากเกินไป
แม้ว่าการยกระดับหมาถึงเลเวล 5 จะทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอ เธอยังคงต้องควบคุมความผันผวนทางอารมณ์ไม่ให้รุนแรงเกินไป
สวี่จื้อวางเครื่องเกมลง หลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอเพิกเฉยต่อความคิดมากมายที่เข้ามาในหัว และพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เมื่อความตื่นเต้นค่อยๆ จางหายไป และความเหนื่อยล้าก็ประดังเข้ามาราวกับกระแสน้ำ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหน้าผาก
บังเอิญว่าเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงพอดี ก่อนที่จะถึงเวลาตรวจสอบผลลัพธ์การล่าของเสี่ยวอี้ เธอจึงคิดจะพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง
แม้สวี่จื้อจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก ทำไมเธอก็ยังต้องกิน ดื่ม หรือนอนหลับอยู่ดี?
เธอจึงเอนตัวลงบนรถเข็นแล้วหลับตา เดิมทีเธอแค่อยากพักสายตาสักพัก แต่ก็เผลอหลับไปจริงๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอพบว่าผ่านไปนานถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว
"ดูเหมือนว่าการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดความเหนื่อยล้าสะสม"
เธอถอนหายใจออก และหยิบเครื่องเกมขึ้นมา ที่มุมขวาล่างของหน้าจอ แถบความคืบหน้าเจ็ดชั่วโมงเสร็จสมบูรณ์แล้ว
สวี่จื้อ เลือกเสี่ยวอี้โดยการกดปุ่ม จากนั้นคำบรรยายก็ปรากฏขึ้น
[ แฟมิเลียของคุณเสร็จสิ้นการล่าอันยาวนานเพียงลำพัง ต่อไปนี้คือผลลัพธ์จากการล่าของมัน ]
[ แต้มวิวัฒนาการ : 1,700 / 1,000 ]
[ การยกระดับสกิล : กระหายเลือด +1 เจ้าเล่ห์ +1 ]
[ ไอเทมพิเศษ : ไม่มี ]
[ คุณสามารถสั่งให้มันออกล่าได้อีกครั้งหลังจากยกระดับหรือพักผ่อนเป็นเวลาสามชั่วโมง ]
[ เมื่อสกิล ‘กระหายเลือด’ ของแฟมิเลียยกระดับขึ้น สกิลของคุณก็ยกระดับขึ้นเช่นกัน ตอนนี้ เมื่อคุณอยู่ในสภาวะกระหายเลือด ความแข็งแกร่งของคุณจะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ แต่หลังจากนั้น คุณจะติดสถานะอ่อนแอเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ]
หลังจากอ่านรายละเอียดแล้ว ดวงตาของสวี่จื้อก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ
แม้จะไม่ได้ของล้ำค่าใดๆ จากการล่า เธอก็ไม่สนใจ เพราะเธอก็ไม่คาดหวังอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขก็คือความแข็งแกร่งของเธอจะเพิ่มขึ้นหากอยู่ในสภาวะกระหายเลือด
แม้ว่ามันจะเป็นสกิลพาสซีฟที่ไม่อาจควบคุมด้วยตัวเองได้ และยังมีดีบัฟด้วย แต่นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในขณะนี้
เธอต้องการปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเองโดยเร็วที่สุด
หลังจากหันเหความสนใจกลับมาที่เครื่องเกมอีกครั้ง เธอก็เลือกให้เสี่ยวอี้ยกระดับ
หลังจากที่สวี่จื้อตัดสินใจเลือกแล้ว การนับถอยหลัง 20 นาทีก็ปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางของหน้าจอ
จากนั้น ไอคอนรูปดวงอาทิตย์สีทองปรากฏที่ด้านขวาของหน้าจอ สวี่จื้อคลิกที่ไอคอนนั้น และร่างอวตารของแฟมิเลียทั้งสองปรากฏบนหน้าจอเป็นงู และสุนัข
“โอ้…” สวี่จื้อเข้าใจ นี่เป็นเหมือนแถบเลือกตัวละคร
เธอคลิกที่ร่างอวตารของหมา หน้าจอเกมก็กระโดดกลับไปที่มุมมองของหมา และแถบความคืบหน้าของการยะระดับของเสี่ยวอี้ก็ย่อลง
"นี่มันค่อนข้างสะดวกจริงๆ "
สวี่จื้อกล่าวชื่นชม
เมื่อเธอกำลังจะควบคุมสุนัขให้ออกล่า จู่ๆ เสียงคุ้นเคยที่เธอเคยได้ยินเมื่อวานนี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
มีคนมาเคาะประตู
สวี่จื้อจับเครื่องเกมในมือไว้แน่น และใบหน้าของเธอก็มืดลง
แน่ล่ะ มีคนมาอีกแล้ว
เธอคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้ามาพัวพัน ดังนั้นเธอจึงกระตือรือร้นที่จะได้รับพลัง
ในเวลาเดียวกัน เธอก็แปลกใจเช่นกันที่พบว่าเสียงเคาะนั้น เธอได้ยินชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อวาน
อาจเป็นการปรับปรุงบางอย่าง หลังจากที่เสี่ยวอี้ไปถึงเลเวล 10 ซึ่งซ่อมแซมความบกพร่องทางการได้ยินบางส่วนของเธอ
หลังจากเคาะไปได้ห้าวินาที เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นที่นอกประตู
“สวัสดี เมื่อวานเพื่อนร่วมชั้นของฉันมาหาคุณ จำได้ไหม?”
น้ำเสียงชัดเจน และสุภาพ ทำให้ภาพลักษณ์ของนักเรียนมัธยมที่เงียบและสุภาพปรากฏอยู่ในใจของสวี่จื้อ แต่สีหน้าของเธอก็ยังไงไม่เปลี่ยนไป จากนั้นเธอก็เลือกมีดที่คมที่สุดอย่างระมัดระวัง และถือมันไว้ในมือ
โชคดีที่น้องชายของเธอชอบกินเนื้อสัตว์มาก ไม่อย่างนั้น ที่บ้านคงจะหามีดทำครัวแบบนี้ได้ยาก
ท่ามกลางการโน้มน้าวใจอย่างต่อเนื่องของอีกฝ่าย สวี่จื้อพยายามลุกขึ้น กระโดดเล็กน้อย และโบกมีดไปมาสองสามครั้ง หลังจากแน่ใจว่าร่างกายของเธอแข็งแรงพอที่จะโจมตีได้ เธอก็กลับมานั่งรถเข็นอีกครั้ง ซ่อนมีดไว้ด้านหลังและควบคุมรถเข็นไปทางประตูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เธอต้องยืนยันจำนวนคนที่อยู่นอกประตูก่อน ถ้ามีคนมาไม่มาก และอีกฝ่ายแสดงท่าทีมุ่งร้ายต่อเธอ และวางแผนที่จะบุกเข้ามา เธอจะได้หาทางรับมือได้ทัน
ดวงตาของสวี่จื้อเปล่งประกายดุร้าย และเธอก็รู้สึกว่าบางทีต้องเป็นฝ่ายริเริ่มทำอะไรบางอย่าง