ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 33 ม่านแห่งหายนะ
ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 33 ม่านแห่งหายนะ
องค์รักษ์ดำมีแววตาเย็นชา กล่าวว่า "เงาพิฆาต"
ฉับพลัน เงาพิฆาตหนึ่งร่างก็พุ่งออกมาจากเงาใต้ร่างของทุกคน
แทงทะลุร่างของเหล่ามือสังหารรับจ้างแห่งศาลาสังหารโลหิตที่ไม่สามารถขยับตัวได้!
"ทำ… ทำไม… ข้าเป็นถึงระดับเคลื่อนวิญญาณ…"
รองหัวหน้าที่เคยเอ่ยปากยอมแพ้ก่อนหน้านี้ พึมพำออกมา
ล้มลงกับพื้นด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
องค์รักษ์ดำมองดูศพและโลหิตที่อยู่บนพื้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเคยพบเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในโลกเดิม
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
สายตามองไปยังทิศทางหนึ่ง "เวลานี้ แม่นางคงจะจัดการเรียบร้อยแล้วกระมัง"
……
กลุ่มเงามืด ในฐานะที่เป็นขุมอำนาจลับอันดับต้น ๆ ของราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน
เวลานี้กำลังเผชิญหน้ากับหายนะ
ณ ที่ทำการใหญ่ของกลุ่มเงามืด
"แค่ก แค่ก แค่ก ศาลาสังหารโลหิตกับกลุ่มเงามืดของข้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง… เหตุใดวันนี้จึงต้องทำลายล้างกลุ่มของข้า!?"
หวังเซวีย ผู้นำกลุ่มเงามืดเวลานี้กำลังพิงอยู่กับกำแพงที่เต็มไปด้วยรอยแตก
กลิ่นอายระดับเคลื่อนวิญญาณขั้นแปดอ่อนแอลงอย่างมาก
เบื้องหน้าของเขานอกจากสมาชิกกลุ่มเงามืดที่บาดเจ็บล้มตายมากมายแล้ว ยังคงมีสตรีชุดขาว ถือกระบี่วายุ เดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ
สตรีผู้นั้นสวมหมวกไม้ไผ่ ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นใบหน้าของนาง
สิ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจก็คือเหรียญตราศาลาสังหารโลหิตที่เอวของนาง
"เหตุใดหรือ? ก็เพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป!"
องค์รักษ์ขาวสะบัดกระบี่ยาว ตัดศีรษะของอีกฝ่ายในฉับพลัน
……
ประมาณครึ่งเค่อ
หลังจากฟังเสียงที่ดังขึ้นในห้วงสมุทรแห่งปัญญา เยี่ยหมิงจิบชา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
"จัดการได้รวดเร็วเช่นนี้ สมกับที่เป็นยอดฝีมือระดับบำรุงจิต"
"ทางข้าก็ใกล้จะเรียบร้อยแล้ว อีกประมาณหนึ่งเดือน ละครฉากใหญ่ก็จะเริ่มต้นขึ้น"
เยี่ยหมิงกล่าวกับตนเอง
…
ณ เวลาเดียวกัน ทางด้านราชสำนัก
ตำหนักซุ่ยหยวน
ซุ่ยปิงซางใช้มือขวานวดขมับ แสดงออกถึงความกังวล
หลังจากตรวจสอบหลายครั้ง สถานะของมือสังหารกลุ่มนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฟาง
"ผู้ตรวจการมณฑลจินคิดว่าเวลานี้เราควรทำเช่นไร?"
ท่าทีของซุ่ยปิงซางที่มีต่อจินหยวนเจิ้งเปลี่ยนไป จากเดิมที่ไม่ค่อยสนใจ ก็เริ่มเชื่อใจมากขึ้น
เมื่อจินหยวนเจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็รีบคุกเข่าลง โขกศีรษะกับพื้น กล่าวว่า "ฝ่าบาท กระหม่อมโง่เขลา เพียงแค่เสนอความคิดเห็น หากมิสามารถช่วยเหลือฝ่าบาทได้ ก็ขออภัย"
"ไม่เป็นไร เวลานี้ไม่มีผู้ใด เจ้าจงกล่าวออกมา"
ซุ่ยปิงซางโบกมือ
เพราะคำพูดของจินหยวนเจิ้งก่อนหน้านี้ ทำให้เขายิ่งสงสัยและกังวลตระกูลฟาง
แม้ว่าตระกูลฟางจะยังคงด้อยกว่าราชวงศ์ แต่หากพวกเขากลืนกินตระกูลหลิวได้
พลังอำนาจของตระกูลฟางจะต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก
ทั่วทั้งราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน จะเหลือเพียงราชวงศ์และตระกูลฟาง สองขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่
คนที่มีสายตาเฉียบคม ล้วนมองออก หากให้โอกาสตระกูลฟางพัฒนาต่อไป
ไม่นาน พวกเขาก็จะสามารถเทียบเท่าราชวงศ์ได้!
แม้ว่าตระกูลฟางจะมีบุญคุณกับเขา แต่ซุ่ยปิงซางก็มิอาจปล่อยให้ราชวงศ์ซุ่ยที่สืบทอดกันมานับพันปีต้องล่มสลายในยุคของเขา
ปล่อยให้ราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวนกลายเป็นราชวงศ์ราชันฟาง
"กระหม่อมเสนอให้ใช้เรื่องมือสังหารเป็นข้ออ้าง ส่งกองทัพเจินผิงไปยังตระกูลฟาง เพื่อทำการสืบสวนและสอบสวน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซุ่ยปิงซางก็ขมวดคิ้ว
กองทัพเจินผิง เป็นกองทัพส่วนตัวของราชวงศ์ ที่คอยปกป้องพระราชวัง ทหารทุกคนมีระดับตบะอย่างน้อยระดับรวมวิญญาณระยะปลาย
เทียบเท่ากับกองทัพผู้บำเพ็ญ
การกระทำเช่นนี้ ไม่ต่างจากการยั่วยุตระกูลฟาง เขาไม่ต้องการให้เกิดความบาดหมางกับตระกูลฟาง ก่อนที่จะจัดการตระกูลหลิว
"ฝ่าบาท โปรดฟังกระหม่อมกล่าว การสืบสวนและสอบสวนเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการดูว่าตระกูลฟางจะกล้าต่อต้าน หรือมีความเคลื่อนไหวใด ๆ หรือไม่"
"หากพวกเขาต่อต้าน ก็แสดงว่าตระกูลฟางมีใจคิดคดทรยศ หากไม่ ฝ่าบาทก็เพียงแค่มอบสมบัติฟ้าดินบางส่วนเป็นการชดเชย"
หลังจากฟังจบ ซุ่ยปิงซางก็ครุ่นคิด
ไม่นานนัก ภายในดวงตาทั้งสองข้างก็ปรากฏความแน่วแน่
……
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ในเดือนนี้ ราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
เมืองอ๋าวอวิ๋นเทียน ที่ตระกูลฟางตั้งอยู่
ถูกผู้ตรวจการและกองทัพเจินผิงล้อมเอาไว้
จากข่าวสารที่แพร่กระจายออกไป
เป็นเพราะมือสังหารที่ลอบสังหารพระราชวังก่อนหน้านี้ ซ่อนตัวอยู่ในเมืองอ๋าวอวิ๋นเทียน
ส่วนขุนนางผู้มีอำนาจบางคน กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้
ฟางซงป้า เจ้าตระกูลฟาง เดินทางออกจากเมืองอ๋าวอวิ๋นเทียนไปพร้อมกับผู้ตรวจการหลายคน และกองทัพเจินผิง
ส่วนตระกูลฟางยังคงปลอดภัย
ภายในอาณาเขตลับ
เยี่ยหมิงกล่าวกับตนเองว่า "แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ก็เพียงพอแล้ว"
"ถึงเวลาแล้ว…"
กลิ่นอายระดับบำรุงจิตเก้าชั้นฟ้าแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเยี่ยหมิง!
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ทำภารกิจย่อยสำเร็จ ได้รับพระสูตรไท่ซูบทที่สาม!
วันนี้ท้องฟ้าแปรปรวน เมฆดำปกคลุม
ผู้คนทั้งหมดในราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวนจะจดจำวันนี้เอาไว้
เพราะมัน… คือวันแห่งการเปลี่ยนแปลง!
……
เมืองลัวลี่
ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน ที่แห่งนี้ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันดับหนึ่ง
เพียงแต่วันนี้ เมืองที่ถูกกล่าวขานว่าเจริญรุ่งเรืองที่สุดในราชวงศ์ กลับแตกต่างออกไป
เงาร่างมากมายปรากฏตัวขึ้นตามตรอกซอกซอย และทั่วทั้งเมือง
กระทั่งผู้ตรวจการที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองก็ยังคงไม่สามารถตรวจจับได้
ตำหนักซุ่ยหยวน
"ผู้ตรวจการมณฑลจิน ก่อนหน้านี้ฟางซงป้าได้สาบานต่อหน้าเรา ว่ามือสังหารมิใช่คนของพวกเขา และเราก็เชื่อใจเขา แม้ว่าเขาจะมีความทะเยอทะยาน แต่ก็มิได้คิดร้ายต่อราชบัลลังก์"
"เรื่องนี้…"
จินหยวนเจิ้งขนลุก รู้สึกไม่ดี กำลังคิดหาวิธีรับมือ
ไม่คิดเลยว่าฟางซงป้าผู้นี้จะกล้าหาญถึงเพียงนี้ กล้าสาบานต่อหน้าพระพักตร์
การสาบานต่อหน้าพระพักตร์ หากผิดคำสาบาน
เบาที่สุดก็คือจิตมารเข้าแทรก ระดับตบะลดลง
หนักที่สุดก็คือเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ตกตายในทันที
ก่อนที่จินหยวนเจิ้งจะทำสิ่งใด
แววตาของซุ่ยปิงซางก็เปลี่ยนไป กล่าวว่า "ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้ายังมิได้บอกเจ้า"
"ก่อนหน้านี้ ข้าได้ส่งผู้ตรวจการสามคนไปยังเมืองหลินเทียน เขตเฉวียนสุ่ย เพื่อทำการสืบสวน แต่พวกเขากลับหายตัวไป เจ้าในฐานะที่เป็นผู้ดูแลมณฑลตง และอดีตผู้ว่าราชการเขตเฉวียนสุ่ย เจ้าควรจะอธิบายเรื่องนี้ให้ข้าฟัง"