บทที่ 153 จักรพรรดิแห่งหมู่ดาว
###
ดาวจื่อเวยคือดาวเหนือในตำราจื่อเวยโหราศาสตร์ และมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับดาวเหนือเจ็ดดารา แม้เพียงชื่อก็บ่งบอกถึงความคล้ายคลึง
ดาวจื่อเวยเป็นจักรพรรดิแห่งหมู่ดาว ขณะที่ดาวเหนือทั้งเจ็ดนั้นถือเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิดาวเหนือ (จื่อเวย)
ด้วยความสัมพันธ์นี้ ดาวจื่อเวยจึงสามารถอัญเชิญพลังของดาวเหนือเจ็ดดาราลงมาได้
เช่นเดียวกัน การหลอมรวมพลังของดาวเหนือเจ็ดดาราจะทำให้มู่หลินสามารถยกระดับพลังแห่งดวงดาวในร่างของเขาให้กลายเป็นพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวย
พลังของดาวจื่อเวยนั้นสูงส่งและทรงเกียรติอย่างยิ่ง
ในตำนาน พลังแห่งดาวจื่อเวยไม่ใช่แค่ดวงดาวธรรมดา แต่ถือเป็นปรมาจารย์แห่งหมู่ดาวและเป็นเจ้าแห่งหมู่ดารา มีอีกนามหนึ่งว่า “จงเทียนเป่ยจีจื่อเวยไท่หวงตี้” จัดอยู่ในกลุ่มสี่เจ้าใหญ่แห่งเต๋า และมีศักดิ์เพียงรองจากหยกหวงต้าตี้(จักรพรรดิหยก หวงตี้-ชางตี้ เทพเจ้าจีนโบราณ)ผู้ปกครองสูงสุด
ยิ่งไปกว่านั้น ดาวจื่อเวยยังมีผู้ติดตามจำนวนมาก ตั้งแต่ “สี่เซียนผู้พิทักษ์แห่งทิศเหนือ” “สิบเอ็ดเทพแห่งดาวเหนือ” และเหล่าเทพระดับรองอีกนับไม่ถ้วน
สำหรับพลังอำนาจที่ควบคุม มีอิทธิพลตั้งแต่การเพิ่มพูนโชคลาภของบ้านเมืองไปจนถึงชะตากรรมของปวงชน
เมื่อดาวจื่อเวยปรากฏขึ้น มันจึงเป็นสัญลักษณ์ถึงการถือกำเนิดของจักรพรรดิผู้ครองแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ มีเพียงผู้ที่มีชะตาแห่งมังกรหรือผู้ที่มีวาสนาเป็นจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถรับพลังสูงส่งนี้ได้
ก่อนหน้านี้ ระดับพลังของมู่หลินยังไม่เพียงพอจึงเสี่ยงต่อการที่จิตวิญญาณจะถูกทำลาย แต่ด้วยพลังแห่ง “จิตเหนือสิ่งใด” ที่เกิดจากความเชื่อมั่น มู่หลินก็สามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้
ความสูงส่งของพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยทำให้มู่หลินรู้สึกทึ่ง แต่เขาก็ส่ายหัวเล็กน้อย
“น่าเสียดาย ถึงพลังของจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยจะสูงส่ง แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย”
โลกใบนี้ที่การฝึกฝนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ย่อมไม่มีบุคคลระดับสูงเช่นเทพเจ้าทั้งสามและสี่ราชัน แม้ว่ามู่หลินจะสามารถดึงพลังแห่งดวงดาวมาใช้ได้บ้าง แต่ก็เหมือนมนุษย์ที่ใช้แสงอาทิตย์
“หากมีวังสวรรค์จริง ๆ ด้วยพลังระดับนี้ ข้ายังไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นทหารสวรรค์ของจงเทียนจื่อเวยไท่หวงตี้เลย” (จักรพรรดิแห่งวังสวรรค์จื่อเวย)
ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่มู่หลินก็ยังรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า
แม้จะไม่คู่ควรกับตำแหน่งทหารสวรรค์ แต่ความสูงส่งของพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยนี้ก็ยังมีประโยชน์มหาศาลต่อเขา
ประโยชน์แรกคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกฝน
พลังของจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยนั้นเป็นพลังที่รวมพลังแห่งดวงดาวทั้งหลาย และด้วยร่างกายที่มีพลังจื่อเวยสถิตอยู่ มู่หลินสามารถดึงพลังจากแสงจันทร์และแปรเปลี่ยนพลังนั้นให้เป็นพลังของตนเองได้
นอกจากนี้ แม้ว่าตอนนี้มู่หลินจะยังอยู่ในระดับหย่งเฉวียนขั้นต้น แต่ด้วยการยกระดับพลังที่เกิดจากพลังแห่งจื่อเวย เขาก็สามารถพัฒนาไปสู่ระดับพลังของจอมเวท (ขั้นกร้าวสังหาร) ได้
การฝึกพลังวิญญาณที่ระดับต่ำกว่าด้วยพลังระดับสูงกว่านั้นทำให้ประสิทธิภาพการฝึกฝนของมู่หลินเพิ่มขึ้นอีกมาก
สุดท้ายคือการหลอมรวม
เมื่อพัฒนามาถึงระดับหย่งเฉวียน มู่หลินต้องการรวมพลังแสงแห่งรุ่งอรุณเข้ากับพลังแสงจันทร์ เพื่อให้เกิดความสมดุลของพลังหยินและหยาง
แม้พลังทั้งสองจะเป็นหยินและหยาง แต่ก็มีความขัดแย้งกันตามธรรมชาติ ทำให้มีการสูญเสียพลังไปมาก
แต่ในตอนนี้ ด้วยพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยที่เป็นผู้ปกครองแห่งดวงดาว พลังของแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ในร่างกายของมู่หลินก็รวมตัวกันได้เร็วขึ้นมาก
“สมบูรณ์แบบ มีค่ายกลดาวเหนือเจ็ดดาราจื่อเวยช่วย ข้าคงฝึกฝนเร็วกว่ายอดคนที่มีรากวิญญาณระดับหนึ่งเสียอีก!”
การใช้พลังจื่อเวยเพื่อยกระดับพลังของตนเองและการควบคุมพลังในร่างกายอย่างเป็นระเบียบทำให้มู่หลินรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
แต่ไม่นานเขาก็ปล่อยความรู้สึกพึงพอใจนี้ไป แล้วเริ่มทดสอบความสามารถอื่น ๆ ของค่ายกลดาวเหนือเจ็ดดาราจื่อเวย ซึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกฝนแล้ว ค่ายกลนี้ยังมีความสามารถอื่นอีก
“ถ้าค่ายกลนี้สามารถหลอมรวมพลังแห่งดาวเหนือเจ็ดดาราและเรียกพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยลงมาได้ ทำไมมันถึงยังไม่ใช่ค่ายกลระดับสูงสุดนะ…”
คำถามนี้ยังไม่ทันจบดี มู่หลินก็เดาได้ถึงคำตอบ
“น่าจะเพราะข้อจำกัดในการใช้มันสูงเกินไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรับพลังแห่งเจ็ดดารามาไว้ในตัวได้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพลังยกระดับเช่นข้าที่จะรับพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยได้ ข้อจำกัดนี้ทำให้ค่ายกลนี้ไม่สามารถนำไปใช้แพร่หลายได้อย่างกว้างขวาง”
ถึงแม้ค่ายกลดาวเหนือเจ็ดดาราจื่อเวยจะมีข้อจำกัด แต่มู่หลินก็ไม่สนใจ เขาไม่มีความคิดที่จะให้ใครมาใช้พลังแห่งจื่อเวยนี้ จึงหันไปทดสอบความสามารถของค่ายกลในส่วนที่ตนเองสามารถทำได้
ไม่นาน มู่หลินก็ตระหนักได้ถึงความสามารถที่ตนเองมีอยู่
“ข้าสามารถดึงพลังจากหมู่ดาวมาช่วยเสริมพลังให้ข้าหรือผู้ติดตามได้...สำหรับข้าที่เป็นเจ้าหมู่ดารานั้น ความสามารถนี้ไม่น่าแปลกใจอะไร แม้ข้าจะควบคุมพลังได้แค่จากดาวเหนือเจ็ดดาราเท่านั้น แต่ก็เพียงพอแล้ว”
“พลังจากดาวเช่น ‘อู่ฉวี’ ‘โพจวิน’ และ ‘ทานหลาง’ นี้ก็มากเกินพอแล้ว”
“ทว่าพลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยในตัวข้าเป็นพลังที่เกิดจากค่ายกล เวลาต่อสู้จริง คงไม่มีใครให้เวลาข้าจัดค่ายกล อีกทั้งการเรียกใช้ร่างกระดาษทั้งหมดก็คงเสี่ยงต่อความปลอดภัยของข้า เรื่องนี้ต้องแก้ไข…”
มู่หลินตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญ หากไม่สามารถแก้ไขได้ เขาคงไม่กล้าใช้ค่ายกลนี้ในการต่อสู้จริง
ไม่นาน เขาก็คิดได้ถึงวิธีแก้ไขที่น่าตื่นเต้น
“ใช่แล้ว! ถ้าใช้พลังนี้ ในการต่อสู้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องจัดค่ายกล!”
พลังที่มู่หลินนึกถึงก็คือ “มหาเวทโอบสวรรค์” ซึ่งเปรียบเสมือนเทพที่ไม่มีรูปลักษณ์ สามารถผสานเข้ากับพลังแห่งพญายมหรือพลังแห่งจื่อเวยเพื่อเปลี่ยนเป็นคำสั่งจักรพรรดิ
ด้วยคำสั่งนี้ ในการต่อสู้จริง มู่หลินเพียงแค่ใช้มหาเวทโอบสวรรค์ พลังแห่งจักรพรรดิแห่งหมู่ดาวจื่อเวยก็จะกลับมาสถิตในตัวเขา
เมื่อนึกได้เช่นนั้น มู่หลินก็หยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มเขียนมหาเวทโอบสวรรค์ลงบนกระดาษทันที
ขณะที่เขาเขียน พลังแห่งมหาเวทโอบสวรรค์ก็เริ่มรวมตัวกันสู่กระดาษ
แต่ครั้งแรกก็ล้มเหลว ไม่ใช่เพราะเขียนผิด แต่เป็นเพราะกระดาษธรรมดาไม่สามารถรองรับพลังแห่งจื่อเวยได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่หลินจึงหยิบกระดาษ “ซุ่ยมู่แห่งดาราราชวงศ์” ที่ปรมาจารย์เมิ่งรุ่ยมอบให้มาเขียนแทน
ครั้งนี้การเขียนสำเร็จโดยไม่มีปัญหาใด ๆ
“อืม…”
ในเวลาไม่นาน มู่หลินก็เขียนเสร็จ พร้อมกับพู่กันที่เขาถอนเก็บ แสงดาวระยิบระยับก็ส่องประกายบนกระดาษซุ่ยมู่แห่งดาราราชวงศ์
แสงดาวนั้นช่างสูงส่งและทรงเกียรติ ทำให้มู่หลินรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ
“สวยงาม…”
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง มู่หลินก็เก็บกระดาษใบนั้นไว้ และเริ่มคิดถึงวิธีพัฒนาการใช้พลังแห่งหมู่ดาวเพิ่มเติม
ด้วยไอเดียจากชาติที่แล้ว เขาก็หาวิธีได้บางอย่าง
“ในชาติที่แล้วมีนักรบหมู่ดาว ข้าเองก็สามารถรวบรวมพลังหมู่ดาวเพื่อสร้างนักรบแห่งหมู่ดาวที่เป็นของข้าเอง…หรือที่เรียกว่า จักรพรรดิแห่งหมู่ดาว”
.....
ลอยกระทงที่ไหนกัน?