บทที่ 118 ค่ายเวทเทียนเต๋ากุยอี้
หลังจากค้นหาภายในหอสมบัติมาเป็นเวลานาน ในที่สุดจินเป่าเอ๋อก็พบข้อมูลสำคัญบางอย่าง!
โลกในแดนล่างแบ่งออกเป็นเจ็ดทวีป ย้อนไปหลายหมื่นปีก่อน เดิมทีทั้งเจ็ดทวีปเชื่อมถึงกันโดยไม่มีอาณาเขตกั้น ในเวลานั้นยังมีเผ่าพันธุ์ต่างๆ มากมายที่ปรากฏอยู่ทั่วโลกบำเพ็ญเพียร แต่ด้วยความขัดแย้งที่เพิ่มพูนขึ้นระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ การทำสงครามและความโลภในการฆ่าฟันก็ทำให้โลกทั้งโลกวุ่นวายไม่สิ้นสุด...
ในเวลานั้น ปรากฏผู้แข็งแกร่งซึ่งสามารถเขย่าฟ้าดินและบังคับให้สรรพสิ่งแยกออกจากกัน
โลกทั้งโลกเปลี่ยนแปลง เผ่าพันธุ์ต่างๆ พากันแยกตัวออกจากโลกบำเพ็ญเพียรและก่อตั้งทวีปใหม่แต่ละแห่งขึ้น พร้อมกับมีอาณาเขตปิดกั้นระหว่างทวีปเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดเป็นเจ็ดทวีปขึ้น
แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เอง จินเป่าเอ๋อจึงเข้าใจว่าทำไมในโลกบำเพ็ญเพียรจึงไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น นางจ้องมองข้อมูลด้วยแววตาที่สว่างวาบขึ้น และพึมพำกับตัวเอง
“ผู้ที่สามารถเขย่าฟ้าดินได้เช่นนี้…ในโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ”
ในคฤหาสน์เซียน หลงหลีซิงได้ยินคำพูดนั้น สายตาเยือกเย็นของเขามีแววความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
“ช่างเถอะ แล้วเรื่องค่ายเวทล่ะ”
จินเป่าเอ๋อดึงสติตนเองกลับมา พลิกหน้าค้นหาเร็วขึ้น แต่ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวกับค่ายเวทขนาดใหญ่เลย
“ไม่มีข้อมูล เห็นทีในนี้จะบันทึกเพียงพัฒนาการในภายหลังของโลกบำเพ็ญเพียร ไม่ได้มีบันทึกค่ายเวทขนาดใหญ่ หากมีค่ายเวทนั้นจริง โลกบำเพ็ญเพียรคงไม่อยู่ในสถานะที่แทบไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของเจ็ดทวีปมาจนถึงตอนนี้!”
ทันใดนั้น ฟีนิกซ์ทองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านางด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“เจ็ดทวีป เรื่องนี้ข้ารู้! ในมรดกตกทอดของเผ่าฟีนิกซ์มีบันทึกไว้”
จินเป่าเอ๋อเงยหน้ามองฟีนิกซ์ที่ย่อขนาดตัวและสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ทันที จู่ๆก็นึกถึงคำถามสำคัญขึ้นมา ดวงตานางฉายแววประหลาดใจ
“เจ้ารู้หรือ แล้วในมรดกนั้นมีวิธีข้ามผ่านอาณาเขตนั้นหรือไม่”
เมื่อครั้งที่เผ่าฟีนิกซ์จากโลกบำเพ็ญเพียรไป มารดาของฟีนิกซ์ทองได้เลือกที่จะอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไร แต่นางเป็นสัตว์เทพ ย่อมต้องรู้วิธีกลับบ้านเป็นแน่
ฟีนิกซ์ทองชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะครุ่นคิดนาน สีหน้าฉายแววสงสัยเล็กน้อย และพยักหน้าในที่สุด
“เหมือนว่าจะมีวิธีอยู่ แต่คิดว่าคงสำเร็จไม่ได้…ในมรดกที่มารดาข้าเหลือไว้ นางเคยพยายามหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวและละทิ้งไป”
“สิ่งที่เจ้าพูดถึงคือค่ายเวทเทียนเต๋ากุยอี้หรือไม่”
ก่อนที่จินเป่าเอ๋อจะถามอะไรต่อ หลงหลีซิงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความยั่วเย้า
ฟีนิกซ์ทองพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมต่อคำถามนั้น ก่อนจะเริ่มอธิบายภายใต้สายตาสงสัยของจินเป่าเอ๋อ
“ค่ายเวทเทียนเต๋ากุยอี้ต้องการสิ่งของที่หายากมากมายในการสร้างให้สำเร็จ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือหัวใจบริสุทธิ์ของเอลฟ์ นอกจากนี้ยังต้องการพลังของเทียนเต๋ามาช่วยปกป้องค่ายเวทจากพายุในมิติที่กั้นอาณาเขต และต้องมีเลือดฟีนิกซ์เป็นตัวนำทาง ส่วนที่เหลือก็เป็นแกนสัตว์พิเศษที่มีคุณสมบัติเฉพาะและแก่นพลังของผู้บำเพ็ญเพียร”
แต่จะว่าไปแล้ว…ของเหล่านี้พวกนางแทบไม่มีเลย ยกเว้นเพียงเลือดฟีนิกซ์ โดยเฉพาะสองสิ่งแรกที่ยากจะหาได้ หัวใจเอลฟ์และพลังแห่งเทียนเต๋า!
หัวใจเอลฟ์นั้นมีเฉพาะในเอลฟ์ที่บริสุทธิ์ที่สุด อีกทั้งพลังแห่งเทียนเต๋าเองก็ยังไม่มีใครในโลกนี้เคยมี ครั้นจะคิดสร้างค่ายเวทนี้ก็เหมือนเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จินเป่าเอ๋อจึงขมวดคิ้ว บรรยากาศรอบตัวค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้น…
“เฮอะ…แล้วเจ้าจะกังวลไปทำไมเล่า หัวใจเอลฟ์กับพลังแห่งเทียนเต๋าน่ะ ก็มีอยู่ตรงหน้าแล้วมิใช่หรือ” หลงหลีซิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันปนระอา ในเมื่อเขาเพิ่งบอกไปเองว่าสองสิ่งสำคัญนี้พวกนางมีพร้อมอยู่แล้ว แต่นางก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว…หรือว่าคำพูดของเขานั้นนางมิได้ใส่ใจเลย
จินเป่าเอ๋อสะดุ้งตกใจ นางนึกขึ้นได้ทันทีและเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ไป๋ไป๋!”
สิ้นคำพูด เงาสีแดงก็พุ่งเข้ามาในอ้อมกอดของนางทันที ครู่เดียวก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงอายุประมาณห้าขวบ ดวงตากลมโตของนางเหลือบมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย ก่อนจะหันมองจินเป่าเอ๋อและยิ้มกว้าง จากนั้นนางก็ยื่นดอกไม้กำหนึ่งที่เพิ่งเก็บมาส่งให้
“พี่สาวเจ้าคะ ข้าเก็บดอกไม้พวกนี้มาให้ท่านเองนะ!”
จินเป่าเอ๋อก้มมองดอกไม้วิญญาณที่ถูกเด็ดจนแทบไม่เหลือสภาพอยู่ในมือของไป๋ไป๋ นางได้แต่กระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โชคดีที่นางมีทุ่งดอกไม้อยู่ทั้งแปลง ดอกไม้แค่ไม่กี่ดอกนี้จึงไม่เป็นไร!
ฟีนิกซ์ทองที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นก็รีบเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าเงียบๆ นางพึมพำเบาๆอย่างหวาดหวั่น
ในคฤหาสน์เซียน ไป๋ไป๋เผลอทำลายไปเป็นผืนใหญ่นี่นา!
เมื่อจินเป่าเอ๋อรับดอกไม้วิญญาณมาจากมือไป๋ไป๋ นางก็ยิ้มด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
ไป๋ไป๋…แท้จริงแล้วเป็นเอลฟ์! ถึงว่าทำไมนางถึงได้มีพลังวิญญาณมหาศาลเช่นนี้!
“กลิ่นอายเทียนเต๋าที่พูดถึง คงหมายถึงกลิ่นอายฟ้าดินบริสุทธิ์จากพลังอัสนีเทียนเต๋าในตัวข้าสินะ เช่นนี้แล้ว สิ่งสำคัญทั้งหมดเราก็มีครบแล้ว!”
ตอนนี้จึงเหลือแค่แก่นพลังของผู้บำเพ็ญเพียรและแกนสัตว์พิเศษเท่านั้น นางเองก็มีแก่นพลังอยู่แล้ว ดังนั้นเพียงแค่ตามหาแกนสัตว์พิเศษก็เพียงพอ!
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปยังป่าชุ่ยหวง พลังของเทียนชูนั้นน่าจะ…”
“ไม่ได้!”
นางยังพูดไม่ทันจบ หลงหลีซิงก็รีบขัดอย่างรวดเร็ว ท่าทีของเขาดูเคร่งขรึมจนผิดสังเกต สายตาเขาเบือนหลบเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนร่างกาย หากทุกอย่างพึ่งพาผู้อื่นเกินไป จะทำให้การฝึกฝนของเจ้าในภายภาคหน้ายากขึ้นกว่าเดิม”
หากมองผิวเผินคำพูดนั้นดูมีเหตุผลอยู่ จินเป่าเอ๋อแม้รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้สงสัย จึงพยักหน้ารับ
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว!”
ในคฤหาสน์เซียน หลงหลีซิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับถอนหายใจโล่งอก แต่เมื่อรู้ตัวว่าตนทำอะไรไป สีหน้าเขาก็แข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเลิกสนใจจินเป่าเอ๋อและเข้าสมาธิทันที
แต่แล้ว…ไม่กี่วันต่อมา!
จินเป่าเอ๋อเดินข้ามเขามาสามลูก แถมเข้าไปสำรวจป่าประหลาดมานับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่พบแกนสัตว์พิเศษที่ตามหา
ในที่สุดนางตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังป่าชุ่ยหวงตัดสินใจจะลุยเอง ระหว่างทางหลงหลีซิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลย
ทันทีที่นางก้าวเข้าสู่ป่าชุ่ยหวง ร่างเงาสีดำก็มาปรากฏเคียงข้างทันที ใบหน้าของชายหนุ่มที่มีความงดงามเหนือธรรมดานั้นเยือกเย็นน่าเกรงขามจนทำให้ผู้คนต้องหยุดมอง ชุดดำรัดรูปเผยให้เห็นสัดส่วนร่างกายที่แข็งแกร่งและทรงพลัง สายตาสีม่วงเข้มดูลึกลับดุดันแต่แฝงด้วยเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน ใบหน้าหล่อเหลาและแฝงรอยยิ้มเยาะเล็กน้อยราวกับรู้ทันไปหมด ทำให้ทั้งตัวของเขาดูมีอำนาจและเต็มไปด้วยเสน่ห์อันตราย
เขาสังเกตเห็นแววตาของจินเป่าเอ๋อที่แสดงความตกตะลึงวูบหนึ่ง ก็อดรู้สึกพอใจไม่ได้ ในใจเขาคิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางยอมแพ้ให้เจ้าแมวไร้สาระที่ชอบอ้อนนั่นแน่!
จินเป่าเอ๋อยืนตะลึง แม้ว่าจะเคยเห็นเขาในรูปลักษณ์นี้มาแล้ว แต่มันก็ยังทำให้ใจนางเผลอชะงักกับอำนาจบารมีและเสน่ห์เย้ายวนใจที่เขามี
“ท่านผู้เฒ่า…ทำไมท่านถึงออกมาที่นี่เองเล่า”
คำว่า "ท่านผู้เฒ่า" ฟังดูเหมือนเป็นการเตือนตัวเอง และก็ราวกับเตือนให้ชายหนุ่มลดเสน่ห์อันรุนแรงของตนลงเล็กน้อย!
แต่คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มคิ้วขมวดทันที สายตาเต็มไปด้วยแรงกดดันจ้องนางไม่วาง ขณะที่จินเป่าเอ๋อกลับยังคงสีหน้านิ่งเฉย ดวงตาแสดงถึงความเคารพอย่างเต็มที่ ราวกับไม่หวั่นไหวต่อเสน่ห์ใดๆ ของเขาแม้แต่น้อย