ตอนที่ 49 : ฉันอยู่คนเดียวได้
หลังมื้ออาหารเย็นจบลง คณะเจ็ดคนก็เดินกลับมหาวิทยาลัยหลินชวนภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี
เสี่ยวฟู่โผก้าวเดินอย่างช้าๆ ตลอดทาง แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากกลับไปที่หอพักเร็วนัก ความลับเล็กๆ น้อยๆ ในใจนี้ก็ถูกเผยออกมาจนหมด ดังนั้นเจียงฉินจึงตัดสินใจพาเธอไปเดินเล่นรอบๆ มหาวิทยาลัย และแอบส่งสัญญาณให้อีกห้าคนกลับไปก่อน
ฟ่านซูหลิงมีท่าทางเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ค่อยอยากให้เฟิงหนานซูและเจียงฉินอยู่กันตามลำพังสักเท่าไหร่
ผู้ชายหน้าหม้อแบบนี้ต้องรีบหนีให้ไกล จะเข้าไปยุ่งกับเขาทำไมก็ไม่รู้ ในฐานะพี่ใหญ่สุดของห้องพัก เธอรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องเตือนให้เพื่อนร่วมห้องได้ตาสว่าง
แต่เกาเหวินฮุ่ยกลับให้การสนับสนุนอย่างดีเยี่ยม ไม่พูดไม่จาเธอก็ลากฟ่านซูหลิงออกไปทันที
“บุปผายามใบไม้ผลิ จันทรายามใบไม้ร่วง ช่วงเวลาดีๆ และบรรยากาศที่สวยงามแบบนี้ คนที่พยายามทำตัวเหมือนหลอดไฟจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต!”
พอได้ยินคำสาปอันชั่วร้ายของเกาเหวินฮุ่ย ฟ่านซูหลิงก็ไม่กล้าขัดขืนอีก ได้แต่เฝ้ามองเฟิงหนานซูเดินตามเจียงฉินไปอย่างเชื่อฟัง
หลังจากกลับมาถึงหอพักฟ่านซูหลิงก็ยังไม่คลายความกังวล: “เจียงฉินคนนั้นมันเป็นคนหน้าหม้อ ฉันเห็นมากับตาว่าเขาไปเกี่ยวพันกับผู้หญิงตั้งสี่คน แถมทั้งสี่คนนั้นยังอยู่ห้องพักเดียวกันอีกด้วย ตลอดชีวิตของฉันไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้มาก่อนเลย!”
เกาเหวินฮุ่ยที่กำลังแช่เท้าพูดปลอบใจ: “หนานซูอาจเป็นคนเก็บตัว ดูน่ารักนิดหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้โง่”
“แต่เธอหลอกง่าย”
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก แต่เธอน่าจะรู้ดีว่าอยู่กับใครแล้วมีความสุข” เกาเหวินฮุ่ยคิดว่าความสุขเป็นสิ่งสำคัญ
ฟ่านซูหลิงตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วเริ่มอ่าน แต่หลังจากอ่านไปได้สักพักก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา: “เหวินฮุ่ย เธอดูแปลกๆ ไปนะ เขาถึงกับหลอกให้เธอกินขิงด้วยซ้ำ ดูยังไงเขาก็ไม่ใช่คนดีเลย!”
“ซูหลิง”
“หืม?”
“หนานซูรอเขามานานแล้ว”
“...”
“ช่างเถอะ ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนหลังฝนตกดูเย็นยะเยือกราวกับสายน้ำ ทำให้ทั้งสองเงาร่างที่เดินอยู่บนถนนในมหาวิทยาลัยยืดยาวออกไปเรื่อยๆ
เพียงแต่ว่าร่างตรงหน้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดินอยู่ดีๆ ก็หยุดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ร่างเล็กที่เดินตามหลังชนเข้าไปจังๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว
แต่การได้เอาเปรียบครั้งนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจนัก อย่างน้อยเจียงฉินก็คิดเช่นนั้น
เฟิงหนานซูดูตกตะลึงและยืนอึ้งอยู่กับที่ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ของเธอยังไม่ครอบคลุม สิ่งที่เธอรู้ส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากนิยายแฟนตาซีอย่าง [สาวน้อยดวงตาเวทมนตร์]
แม้ว่านิยายแฟนตาซีสำหรับเด็กเล็กจะน่าสนใจมาก แต่ก็มักจะไม่มีพล็อตเรื่องความรักให้เห็น
ทำไมน่ะเหรอ?
ถ้านิยายสำหรับเด็กเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการมีความรัก งั้นมันจะสมเหตุสมผลตรงไหน?
ดังนั้นเฟิงหนานซูจึงไม่มีทางรู้ว่าเธอกำลังถูกเอาเปรียบ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เจียงฉินก็รู้สึกกระดากใจเล็กน้อย เธออุตส่าห์ให้เงินนายเพื่อเอาไปเริ่มต้นธุรกิจเชียวนะ แต่นายกลับแอบเอาเปรียบเธอ เดรัจฉานเอ้ย
ขอครั้งสุดท้าย
คืนนี้ขอเป็นครั้งสุดท้าย
เจียงฉินหยุดและรอให้เฟิงหนานซูเดินมาชนเขา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง: “ฉันได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมห้องของเธอชวนไปดูหนัง ทำไมถึงไม่ไปล่ะ?”
เฟิงหนานซูกระชับเสื้อบริเวณหน้าอก ดวงตาของเธอบ่งบอกถึงความดื้อรั้น: “ฉันไม่ชอบดูหนัง”
“เธอคงเคยดูพินอคคิโอใช่ไหม เวลาที่โกหกจะมีจมูกยาวขึ้น เหมือนเธอตอนนี้เลย”
ทันทีที่ได้ยินเฟิงหนานซูก็ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกมือขึ้นไปแตะที่จมูกของตัวเอง
ฮึ หลอกฉันอีกแล้ว คนโกหกไม่ได้จมูกยาวขึ้นจริงๆ สักหน่อย
“เธอเคยออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนบ้างไหม?”
เฟิงหนานซูรีบสับเท้าเดินตามมา: “ไม่เคย ตอนกลางคืนในหลินชวนมืดไปหน่อย”
เจียงฉินอดไม่ได้ที่จะหยุดแล้วหันกลับมามองที่เธอ: “ตอนนี้ก็มืดแล้วไม่ใช่เหรอ เธอกลัวหรือเปล่า งั้นฉันไปส่งเธอกลับดีไหม?”
“ไม่เอา ถ้าอยู่กับเพื่อนฉันไม่กลัว”
“เพื่อนร่วมห้องก็เป็นเพื่อนเหมือนกัน แล้วทำไมถึงไม่กล้าไปดูหนังกับเพื่อนร่วมห้องล่ะ?”
เฟิงหนานซูไม่ตอบ ปากเล็กสีชมพูของเธอเม้มเข้าด้วยกัน จากนั้นเดินตามเจียงฉินไปข้างหน้า
ฉันไม่ได้รู้สึกปลอดภัยกับเพื่อนทุกคนที่อยู่ด้วยหรอกนะ…
ความจริงแล้วตอนกลางคืนในมหาวิทยาลัยหลินชวนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ถ้าไปที่ป่าต้นเมเปิล เดินเข้าไปสามก้าวคุณก็จะได้เห็นคู่รักกำลังจูบกัน เดินไปอีกสามก้าวก็เห็นอีกคู่หนึ่ง ชวนให้น่าอึดอัดสุดๆ ขณะที่ลานด้านหน้ามหาวิทยาลัยก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเฟิงหนานซูไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้น
ที่สนามกีฬามีคนหอบโคมไฟมานั่งเล่นไพ่ แต่บริเวณรอบข้างต่างก็วุ่นวายไปหมด แน่นอนว่าที่นี่ก็มีคนจูบกัน
เจียงฉินมองพวกเขาจูบกันจนรู้สึกมึนงง คิดในใจว่าเดี๋ยวฉันให้พวกนายยืมเงินไปเปิดห้องเอาไหม จากนั้นก็รีบยกมือปิดดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเฟิงหนานซูแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายทั้งสองคนก็เดินอ้อมไปอ้อมมาจนมาถึงริมทะเลสาบหวางเยว่
นี่คือทะเลสาบเทียมที่ใหญ่ที่สุดในมหาวิทยาลัย ถูกออกแบบให้ดูเหมือนทะเลสาบตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยโขดหินรูปทรงขรุขระและอู่ต่อเรือหินขนาดใหญ่
ทางทิศตะวันออกที่เป็นทางน้ำเข้ามีน้ำตกซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างตั้งใจ เสียงน้ำตกกระทบดังซู่ซ่า ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับธรรมชาติของจริงมากนัก
เจียงฉินรู้สึกว่าสถานที่นี้ค่อนข้างเงียบสงบ เขาจึงดึงเฟิงหนานซูให้นั่งลง
เสียงกบร้อง เสียงน้ำกระเพื่อม แสงจันทร์สลัวๆ และสายลมยามค่ำคืน
ทันใดนั้นเฟิงหนานซูก็ถอดรองเท้าหนังคู่เล็กและถุงเท้าสีขาวบางๆ ที่มีขอบลายลูกไม้ออก เผยให้เห็นเท้าคู่เล็กที่เนียนนุ่มละเอียดอ่อนคู่หนึ่ง นิ้วเท้ากลมมนและน่ารัก จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เหยียดเท้าไปวางบนตักเจียงฉินอย่างแผ่วเบา
“?”
“ตอนช่วงฝึกทหารฉันสัญญาไว้แล้วนี่ ว่าจะให้นายเล่นเท้าได้” เฟิงหนานซูมองเขาอย่างเงียบๆ
เจียงฉินเขินจนพาลเป็นโมโห: “เธอล้อเล่นหรือไง ฉันเป็นสุภาพบุรุษนะ เธอใช้สิ่งนี้มาทดสอบความเป็นสุภาพบุรุษของฉันงั้นเหรอ? ขอบอกไว้ก่อนเลย อย่าหวังว่าฉันจะแตะต้องมัน”
ทันใดนั้นเฟิงหนานซูก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “ฟู่… เบาๆ หน่อย มันเจ็บ”
“บัดซบ ทำไมมือฉันมันถึงได้มีความคิดเป็นของตัวเองล่ะ?”
“มักจั๊กจี้นิดหน่อย” ดวงตาของเฟิงหนานซูเริ่มมีม่านน้ำประกายแวววาว
“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ปัญหา เอาข้างนั้นมาด้วยสิ”
เจียงฉินบีบสิ่งที่นุ่มนวลและเรียบเนียนในมือพลางมองออกไปยังผิวน้ำในทะเลสาบ: “อันที่จริงช่วงนี้ฉันเพิ่งว่าง แต่เพราะต้องฝึกทหารทุกวันก็เลยไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย แล้วหลังจากการฝึกทหารจบลงฉันอาจจะยุ่งกว่านี้อีก”
หลังจากที่พูดสิ่งนี้ออกไปเจียงฉินก็เหมือนจะตกตะลึงเล็กน้อย รู้สึกว่าฉากนี้ดูคุ้นเคยแปลกๆ
โอ้ ใช่แล้ว ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่ผ่านมา เขาได้รับเงินค่ารื้อถอนและต้องการเรียนขับรถ ในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจสภาวะตลาดของอุตสาหกรรมต่างๆ ดูเหมือนตอนนั้นเขาก็เคยพูดอะไรแบบนี้ด้วย
ในเวลานั้น ดูเหมือนเสี่ยวฟู่โผจะพูดว่าเธอไม่เคยเหงา เธอบอกว่าตัวเองอยู่คนเดียวมาตลอด แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นกลับมีอารมณ์หม่นหมองขึ้นมา แม้แต่หนังสือที่เธอชอบก็ยังอ่านไม่ลง
เจียงฉินหันไปมองเฟิงหนานซู เขาพบว่าเสี่ยวฟู่โผกำลังเม้มริมฝีปาก แสร้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ
“เฟิงหนานซู?”
“ฉันอยู่คนเดียวได้” เฟิงหนานซูยังคงมองไปทางอื่น
เจียงฉินอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ: “เธอแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อืม”
“งั้นก็หันหน้ามาให้ฉันดูสิ”
“ไม่เอา”
“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้ ถ้ายุ่งมากๆ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปด้วย แต่ห้ามสร้างปัญหาเด็ดขาด”
“ไม่ได้ร้องซะหน่อย”
เฟิงหนานซูเอ่ยอะไรบางอย่างเบาๆ จากนั้นก็มองดูทะเลสาบอย่างเงียบๆ สัมผัสได้ว่าเท้าของเธอเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ และอยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดไป
(จบตอน)
หลอดไฟ หมายถึงก้างขวางคอ