บทที่ 336 : คานส์ (2)
[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ]
[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]
[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]
บทที่ 336 : คานส์ (2)
ณ โรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในโตเกียว ภายในโรงฉายที่ใหญ่ที่สุด บรรดานักข่าวหลายร้อยคนนั่งเป็นผู้ชม ขณะที่ชื่อของทีมงานและนักแสดงปรากฏขึ้นบนจอขนาดยักษ์ทีละคน
“······”
“······”
ทุกคนมีสีหน้าราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ประหนึ่งถูกของแข็งทุบเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง แววตาฉายแววสับสนและฉงน แม้ความรู้สึกของแต่ละคนจะแตกต่างกันบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เหมือนกันคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางวัฒนธรรมอันรุนแรงให้กับพวกเขา
ภาพยนตร์ที่พวกเขารับชมคือ “การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า”
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การฉายจริง แต่เป็นรอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อมวลชน
‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’ หรืออีกชื่อคือ ‘บุปผาเร้น’ ได้จัดรอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อมวลชนขึ้นในวันนี้ โดยมีนักข่าวหลายร้อยคน รวมถึงบุคคลในแวดวงสื่อ และนักวิจารณ์ภาพยนตร์ มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ การจัดรอบปฐมทัศน์มีหลากหลายประเภท เช่น รอบวีไอพี รอบทดสอบแบบปิด แต่รอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อมวลชนถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
เพราะมันเชื่อมโยงโดยตรงกับการประชาสัมพันธ์และการตลาด
แน่นอนว่าห้ามเผยแพร่บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์ในทันทีหลังจบรอบปฐมทัศน์ แต่เมื่อถึงกำหนด บทความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์จะถูกเผยแพร่ออกมาอย่างล้นหลาม และข้อมูลเหล่านี้จะเป็นสิ่งแรกที่ผู้ชมจะได้พบเมื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ก่อนเข้าฉาย
กล่าวได้ว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดภาพลักษณ์แรกเริ่มของภาพยนตร์
เนื้อหาในบทความจะห้ามสปอยล์เนื้อเรื่องโดยตรงหรือตอนจบของภาพยนตร์ แต่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนหรือบรรยายเรื่องราวโดยสังเขปได้ ด้วยเหตุนี้ บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์จึงให้ความสำคัญกับรอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อมวลชนอย่างยิ่ง และมักจะจัดขึ้นหลายรอบ
ฝ่าย“บุปผาเร้น”ก็เช่นกัน
ภาพยนตร์เรื่อง "บุปผาเร้น" ได้ขยายรอบปฐมทัศน์ให้ใหญ่โตกว่ารอบปกติถึงสองเท่า ผู้กำกับเคียวทาโร่และทีมงานได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ส่งผลให้โรงภาพยนตร์ขนาดมหึมาแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้ชมจำนวนมาก มากกว่ารอบปฐมทัศน์ทั่วไปหลายเท่าตัว รอบฉายก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเช่นกัน
ณ เบื้องหน้า ชายผมสีเงินผู้หนึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุดริมขวาของโรงภาพยนตร์ เขากำลังจ้องมองเครดิตที่ปรากฏบนจออย่างพินิจ
“อืม.”
เขาคือผู้กำกับเคียวทาโร่ ผู้กำกับมากฝีมือของภาพยนตร์เรื่อง "บุปผาเร้น" ข้างกายเขามีนั่งนักแสดงแถวหน้าของญี่ปุ่นอย่างมานะ โคซะกุ และนักแสดงนำของ "บุปผาเร้น" อีกหลายคน ทุกคนมาร่วมงานเพื่อเตรียมตัวขึ้นเวทีทักทายหลังภาพยนตร์จบ
ดูเหมือนจะมีเพียงผู้กำกับเคียวทาโร่และเหล่านักแสดงเท่านั้นที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย แม้บางคนจะมีแววตื่นเต้นเจืออยู่บ้างก็ตาม
‘สุดยอด! พอได้ดูบนจอใหญ่แบบนี้ ความรู้สึกมันพลุ่งพล่านกว่าตอนดูแบบทดสอบมาก ต่างกันลิบลับ!’
โดยรวมแล้วทุกคนดูสงบนิ่ง ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะพวกเขาได้ชมภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์มาแล้ว
ในทางตรงกันข้าม
‘······นี่ นี่ฉันเพิ่งดูอะไรไปเนี่ย?’
พิธีกรของงานปฐมทัศน์ ผู้กำไมโครโฟนไร้สายไว้ในมือข้างหนึ่ง นั่งอยู่แถวเดียวกับผู้กำกับเคียวทาโร่และนักแสดงของ "บุปผาเร้น" เขายังคงจ้องมองจออย่างไม่วางตา ปากอ้าเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววตกตะลึง เช่นเดียวกับนักข่าวอีกหลายร้อยคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ยิ่งด้วยตัวเขาเองที่เป็นพิธีกร และเคยอ่านนิยายต้นฉบับ "บุปผาเร้น" มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยิ่งรับภาพยนตร์ "บุปผาเร้น" ที่เพิ่งจบไปได้ยากเย็นนัก
‘แม้จะรู้ว่าต้องมีการดัดแปลงหรือแก้ไขบ้าง- แต่ถึงกับหั่นขนาดนี้เลยเชียวเหรอ? แม้กระทั่งตอนจบ! นี่มันต่างจากต้นฉบับราวฟ้ากับเหาเลยนี่!!’
เพราะตอนจบของภาพยนตร์และต้นฉบับนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
‘ตอนจบของหนังเรื่องนี้…มันใช้ได้จริงเหรอ?! ถ้าเข้าฉายแบบนี้มีหวังโดนสับเละแน่ ๆ ?!’
เมื่อเครดิตของ ‘บุปผาเร้น’ ดำเนินไปได้ครึ่งทาง แสงไฟในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่เคยมืดสลัวก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น จากนั้นบนจอภาพยนตร์ก็เริ่มปรากฏข้อความอื่นแทนที่เครดิต แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น
-[การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า/ ขอเชิญทักทายกับบนเวที]
ถึงเวลาที่ผู้กำกับเคียวทาโร่และนักแสดงชาวญี่ปุ่นต้องเดินมายังหน้าจอ แต่ก่อนหน้านั้น พิธีกรที่ดูเหมือนจะยังคงตกตะลึงได้เดินมายืนอยู่หน้าจอก่อน
“เอ่อ…เอ่อ! ขอเชิญพบกับนักแสดงนำของ ‘บุปผาเร้น’ ครับ”
และแล้วนับจากวินาทีนั้น
“เฮ้ยๆ ๆ ตอนจบของหนังเรื่องนี้มันยังไงกันเนี่ย?!”
เสียงฮือฮาของเหล่านักข่าวและสื่อมวลชนหลายร้อยคนที่นั่งกันแน่นโรงภาพยนตร์ก็เริ่มดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“จบแค่นี้เนี่ยนะ?! จบแบบนี้จริง ๆ เหรอ? ด้วยใบหน้าของคังวูจินเนี่ยนะ?!”
“แบบนี้คังวูจินก็กลายเป็นตัวประกอบ…ตอนจบต่างจากต้นฉบับนี่นา? แถมต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าด้วย”
“ผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจินี่บ้าไปแล้ว ถ้านำไปฉายแบบนี้จะโดนแฟนพันธุ์แท้ของต้นฉบับรุมประณามขนาดไหนกัน-”
ความคิดที่หยุดนิ่งไปเพราะความตกตะลึงพลันกลับมาทำงานอีกครั้ง
“หมายความว่าเขาปฏิเสธกฎแห่งกรรมหรือบอกว่ามันไร้สาระงั้นเหรอ? แถมยังบิดเบือนบุคลิกของตัวเอกคิโยชิอีกด้วย!”
“หรือว่าเขาเปลี่ยนแปลงบุคลิกของคิโยชิเพราะเลือกคังวูจินมารับบทนี้กันนะ?”
"นี่ นักเขียนต้นฉบับอย่างอาคาริอนุมัติจริงเหรอ? เป็นไปไม่ได้! ตอนจบมันโหดร้ายเกินไป"
"นี่มัน… เหยียบย่ำธรรมเนียมปฏิบัติของวงการคอนเทนต์ญี่ปุ่นปัจจุบันไม่มีชิ้นดี!"
"ถ้าสาธารณชนได้เห็น 'บุปผาเร้น' นี่… ภัยพิบัติ แถมยังเป็นหายนะระดับมหันต์อีกด้วย!"
เหล่านักข่าวหลายร้อยคนต่างพ่นถ้อยคำแห่งความตกตะลึงและหวาดหวั่นออกมาโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมกันนั้นก็หวนรำลึกถึงเนื้อหาของ 'บุปผาเร้น' ที่เพิ่งรับชมไปเมื่อครู่ อิโยตะ คิโยชิ หรือให้อธิบายเรื่องราวง่าย ๆ มันก็คือแผนการฆาตกรรมอันแยบยลของคังวูจิน เรื่องราวที่สะท้อนความจริงของญี่ปุ่นอย่างโจ่งแจ้ง และตอนจบอันน่าสังเวชที่ปิดท้ายด้วยภาพโคลสอัพของวูจิน
เหล่านักข่าวหลายร้อยชีวิตที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากความตื่นเต้นเร้าใจไปสู่ความเดือดดาลอย่างช้า ๆ
ในขณะเดียวกัน ผู้กำกับเคียวทาโร่ พร้อมด้วยนักแสดงชาวญี่ปุ่นก็ยืนเรียงรายหน้าจอ เหล่านักข่าวที่กำลังส่งเสียงอื้ออึงพลันยกกล้องขึ้นบันทึกภาพนักแสดงนำของ 'บุปผาเร้น' อย่างรวดเร็ว แสงแฟลชสว่างวาบราวกับสายฟ้าฟาด
-แชะ แชะ แชะ!
นั่นไม่ใช่เสียงชัตเตอร์แห่งการยอมรับ แต่เปรียบเสมือนการรวบรวมข้อมูลเตรียมรับมือกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เสียงครหา ความโกลาหล และการต่อต้านครั้งใหญ่ที่กำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่มันก็เหมือนการเตรียมตัวเข้าสู่สงครามที่จะระเบิดไปทั่วญี่ปุ่น ท่ามกลางนักข่าวเหล่านั้น นักวิจารณ์ภาพยนตร์ผู้เงียบขรึมกลับมองเห็นบางสิ่งที่แตกต่างใน 'บุปผาเร้น'
'ตอนจบ… ใช่ ฉันเคยคาดการณ์ไว้ว่าสักวันหนึ่งการตีความแบบนี้จะปรากฏขึ้นในญี่ปุ่น แต่ไม่คิดว่าผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ จะเป็นคนทำ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ผลงานของนักเขียนอาคาริอีก ว่าแต่คังวูจิน… นั่นมันการแสดงแบบไหนกัน? เหมือนพาตัวคิโยชิมาถ่ายทำจริง ๆ เลยไม่ใช่หรือไงกัน??'
ที่จริงทั้งหมดเป็นเพราะคังวูจิน หรือจะพูดให้ถูกต้องคือการแสดงอันทรงพลังของเขาต่างหาก
‘หนังเรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนแรงอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะเป็นที่พูดถึง แต่หากถามความเห็นส่วนตัว ฉันมองเห็นเพียงคังวูจินเท่านั้น’
‘ฉากจบคงกลายเป็นประเด็นถกเถียงใหญ่โตในญี่ปุ่นอย่างแน่นอน “บุปผาเร้น” มีแฟน ๆ มากมาย และในสายตาของพวกเขา ฉากจบอาจดูไม่เหมาะสม แต่สำหรับฉัน... อย่างน้อยที่สุดมันคือฉากจบที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเฉพาะแววตาของคังวูจิน มัน... ชวนขนลุกชะมัด’
พวกเขา เหล่านักวิจารณ์ผู้คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น ต่างจากนักข่าวหลายร้อยคนที่มาร่วมงาน คำวิจารณ์ของพวกเขาไม่ได้เลวร้ายเลย
‘ทั้งการกำกับ เสียงประกอบ และการแสดง ล้วนไร้ที่ติ หรือจะบอกว่ามันยอดเยี่ยมเกินคาดก็ได้ โดยเฉพาะฉากเล่นเปียโนของคิโยชิและฉากที่เผยให้เห็นถึงบุคลิกภาพแยกส่วน มันก็น่าประทับใจอย่างยิ่ง’
‘ในอีกมุมหนึ่ง มันคือผลงานชิ้นเอกที่เหนือความคาดหมายเลยทีเดียว’
ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวสิ่งใด เหล่านักข่าวผู้คลั่งไคล้ก็ยังคงรัวแฟลชใส่ไม่หยุด ก่อนจะระเบิดคำถามใส่ผู้กำกับเคียวทาโร่และเหล่านักแสดงอย่างไม่ลังเล
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย!!!”
“มันไม่ถูกต้องเลยนะ!!!”
เสียงตะโกนดังระงมจนฟังไม่ได้ศัพท์ เหล่านักข่าวหลายร้อยคนต่างนึกถึงงานแถลงข่าวเปิดตัว “บุปผาเร้น” โดยเฉพาะคำประกาศก้องของคังวูจินที่ราวกับระเบิดลูกใหญ่
‘ผมมั่นใจว่ายอดผู้ชมจะทะลุ 20 ล้านคนอย่างสบาย’
‘ผมเชื่อว่านี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่จะพลิกโฉมวงการหนังญี่ปุ่น หลายสิ่งหลายอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป’
ในที่สุด คำถามของนักข่าวที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดก็ดังขึ้น ท่ามกลางความโกลาหล ผู้กำกับเคียวทาโร่ที่ยืนอยู่หน้าจอได้รับรู้ถึงเสียงนั้น
“ผู้กำกับเคียวทาโร่!! คุณจะฉายหนังแบบนี้จริง ๆ เหรอครับ?! ถ้าทำแบบนั้น มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตระดับชาติเลยนะครับ!!”
ผู้กำกับเคียวทาโร่รับไมค์จากพิธีกรที่แข็งค้างด้วยความตกตะลึง พลางคลี่ยิ้มอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ คุณผู้สื่อข่าวทุกคุณ หลังจากนี้เชิญเขียนข่าวได้เต็มที่ ตามอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในขณะนี้เลยครับ”
หลังจากนั้น
สถานการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในงานแถลงข่าวอีกงานหนึ่ง ที่จัดขึ้นต่อเนื่องกันในอีกสองชั่วโมงถัดมา
เหล่าผู้สื่อข่าวหลายร้อยคนที่นั่น ก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน
ส่วนทางฝรั่งเศส
ณ ยามเช้าของวันที่ 29 ท่าอากาศยานนีซ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองคานส์ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ล็อบบี้ของสนามบินแทบไม่มีที่ว่าง ผู้คนจากหลากหลายประเทศเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด
เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย
ก็เพราะ “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์” งานเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลก ที่เหล่าดาราชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ เฉพาะนักข่าวที่ได้รับเชิญก็ปาเข้าไปกว่าสี่พันคนแล้ว ยังไม่นับแขกที่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการอีกหลายหมื่นคน แต่แค่นั้นก็ยังน้อยนิด เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่ต้องการมาสัมผัสบรรยากาศเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ท่าอากาศยานนีซก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่
จุดหมายปลายทางของพวกเขา ล้วนแล้วแต่เป็นเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส
คานส์นั้นอยู่ห่างจากนีซราวหนึ่งชั่วโมง และบรรยากาศก่อนวันงานเทศกาลภาพยนตร์ขนาดยักษ์เพียงหนึ่งวัน ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเฉลิมฉลองอย่างเปี่ยมล้น โรงแรมระดับห้าดาวในคานส์ ไปจนถึงที่พักขนาดเล็ก ต่างก็ถูกจองเต็มหมดตั้งแต่เนิ่นนาน ถึงจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ผู้คนก็เดินกันขวักไขว่เต็มสองข้างทาง ป้ายโฆษณาขนาดมหึมาของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ถูกติดตั้งไว้ทั่วทุกมุมเมือง ธงประชาสัมพันธ์ปลิวไสวอยู่ตามเสาไฟ ใบปลิวโปรยปรายราวกับหิมะโปรยปรายลงมา
ด้วยบรรยากาศเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นชาวเกาหลี ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนานาชาติที่กำลังคึกคัก
“ตรงนี้ ๆ! ถ่ายรูปให้ฉันตรงนี้หน่อย!”
"โอ้โห คนเยอะแยะไปหมดเลย"
"ถ่ายให้ไวหน่อยสิ! ยังมีที่อื่นต้องไปอีกตั้งเยอะ"
สมกับเป็นวันก่อนเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ สถานที่ท่องเที่ยวมีมากมายนับไม่ถ้วน แค่ชมผู้คนพลุกพล่านก็คงหมดวันไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความน่าสนใจมากมาย สิ่งที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษคือโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่ประดับประดาอยู่ทั่วเมือง เป็นโปสเตอร์ของภาพยนตร์ 20 เรื่องที่ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลหลักของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปีนี้
โปสเตอร์เหล่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่ฉายบนจอภาพ ติดบนผนังอาคาร พิมพ์เป็นแผ่นพับ หรือแม้กระทั่งแปะอยู่ข้างรถบัส
รอบ ๆ โปสเตอร์แต่ละจุดเต็มไปด้วยกล้องถ่ายรูปมากมาย
เหล่าผู้สื่อข่าวและทีมงานจากสถานีโทรทัศน์ทั่วโลกกำลังบันทึกภาพโปสเตอร์กันอย่างขะมักเขม้น เพราะคงไม่มีอะไรที่สื่อถึงบรรยากาศของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ได้ดีไปกว่าผลงานที่ได้รับการคัดสรร ทั้งรางวัลใหญ่ที่สุดของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์อย่าง ‘รางวัลปาล์มทองคำ’ รวมถึงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลสำคัญอื่น ๆ ล้วนมาจาก ‘ภาพยนตร์เข้าชิง’ ทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่ทุกสายตาจะจับจ้องมาที่โปสเตอร์เหล่านี้
ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ผ่านโปสเตอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ภาพทีมงานจากต่างประเทศมารุมล้อมโปสเตอร์ ‘ภาพยนตร์เข้าชิง’ นั้นเป็นภาพที่น่าสนใจไม่น้อย และแน่นอนว่าในกลุ่มทีมงานจากนานาประเทศ ก็มีทีมจากเกาหลีรวมอยู่ด้วย
ขณะนี้ก็มีทีมหนึ่งกำลังจัดเตรียมสถานที่และถ่ายทำอยู่
"ตรงนี้? ยืนตรงนี้ได้ใช่ไหมครับ?"
"เยี่ยม! พอดีเลย!"
"ลองซ้อมกันดูก่อนนะครับ"
"โอเค!"
นักข่าวหญิงถือไมโครโฟนยืนอยู่หน้ากล้องขนาดใหญ่ ทีมงานอีกหลายคนรายล้อมเธออยู่ ข้างกล้องมีป้าย MBS ของสถานีโทรทัศน์สาธารณะเกาหลีติดอยู่ ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นทีมข่าวของ MBS พวกเขามาตั้งหลักอยู่หน้าโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ติดบนอาคาร
นักข่าวหญิงยืนในตำแหน่งที่เห็นโปสเตอร์ด้านหลังได้ชัดเจน แล้วเริ่มรายงานข่าว
“ดิฉันรายงานสดจากเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสค่ะ ที่นี่คือเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ที่จะเริ่มต้นในบ่ายวันพรุ่งนี้ บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เห็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังดิฉันไหมคะ? นั่นคือโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง ‘ปลิง’ ผลงานการกำกับของผู้กำกับอันกาบกค่ะ”
ฉากหลังมืดครึ้มปรากฏร่างของปาร์คฮาซองครึ่งตัว เขากำลังจ้องมองรูปถ่ายครอบครัว ภายในกรอบรูปคือภาพของประธานยุนจองเบและครอบครัวเศรษฐี ภาพสะท้อนของปาร์คฮาซองบนกระจกกรอบรูปเผยให้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ทว่าใบหน้าที่ปรากฏในรูปถ่ายกลับว่างเปล่าไร้ความรู้สึกอย่างน่าขนลุก โปสเตอร์นี้สื่อถึง ‘โรคริปลีย์’ แต่คงไม่มีใครเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นจนกว่าจะได้ชมภาพยนตร์
มีสิ่งหนึ่งที่เด่นชัด
“โปสเตอร์ที่เป็นภาพคังวูจินขนาดใหญ่นี้สะดุดตาเป็นอย่างมากค่ะ”
ใบหน้าของคังวูจินปรากฏเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ท่ามกลางนักท่องเที่ยวหลายแสนคนและเหล่าดาราดังระดับโลก
“‘ปลิง’ เป็นภาพยนตร์เกาหลีเรื่องเดียวที่ได้รับเลือกให้เข้าชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งนี้ จึงเป็นที่จับตามองจากสื่อทั่วโลกค่ะ ตอนนี้เหล่านักข่าวต่างประเทศและทีมงานจากสถานีโทรทัศน์นานาชาติกำลังรุมถ่ายภาพโปสเตอร์ ‘ปลิง’ กันอย่าง······”
สงครามได้อุบัติขึ้นแล้ว
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนในยามสาย
รั้วกั้นทอดยาวเป็นแน่แท้ ตั้งตระหง่านขนาบข้างทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติแห่งหนึ่ง เบียดเสียดด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาอย่างน้อยก็สามร้อยชีวิต สิ่งที่สะดุดตาคือความหลากหลายทางเชื้อชาติ ประหนึ่งว่าผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกได้มาชุมนุมกัน ณ ที่แห่งนี้
และนั่นคือความเป็นจริง
สามร้อยชีวิตเหล่านี้คือเหล่านักข่าวจากหลากหลายประเทศ ในหมู่คนเหล่านั้นยังมีนักข่าวชาวเกาหลีอีกหลายสิบคน ทุกคนต่างถือกล้องขนาดใหญ่ไว้ในมือ ไม่ว่าจะนั่งอยู่กับที่หรือปีนบันไดเล็ก ๆ เพื่อให้ได้มุมที่ดีที่สุด
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เพราะเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา เหล่าคนดังระดับโลกได้ทยอยปรากฏตัวที่อาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินแห่งนี้ ทั้งนักแสดงชื่อก้องโลก ดารากีฬา และบุคคลสำคัญอีกมากมาย
ในเสี้ยววินาทีนั้น
ประตูอาคารผู้โดยสารขาเข้าเปิดออก พร้อมกับเสียงชัตเตอร์ดังสนั่นจากนักข่าวหลายร้อยคนจากทุกสารทิศ
แชะ แชะ แชะ แชะ แชะ!
นักแสดงชาวเกาหลีผมดำสนิทปรากฏกายเบื้องหน้า ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่ใบหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความมั่นคง ราวกับไม่หวั่นไหวต่อกองทัพนักข่าวหลายร้อยคนที่รายล้อม
เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นอย่างไม่ยี่หระ
แชะ แชะ แชะ แชะ แชะ!
แสงแฟลชสาดส่องเข้าหาเขาราวกับหิ่งห้อยนับร้อย
ไม่นานนัก ข่าวเดียวกันนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเกาหลีใต้ ภาพของนักแสดงหนุ่มถูกพาดหัวข่าวตัวใหญ่
『[เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์+] ‘คังวูจิน’ มาถึงสนามบินนีซในช่วงสายด้วยสีหน้าเรียบเฉย/ รูปภาพ』
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_