บทที่ 162: สมคบคิดกับหนานซวน
หลังจากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็เดินกลับโรงเตี๊ยมพร้อมกับตะกร้าใบใหญ่
วันนี้โรงเตี๊ยมที่เคยคึกคักนั้นเงียบสงบมาก เถ้าแก่ที่ดูแลบัญชีอยู่ด้านหน้าก็มีท่าทีระมัดระวัง
“คุณ… คุณหนูกลับมาแล้วหรือขอรับ?” เมื่อเถ้าแก่เห็นเด็กหญิง เขาก็รีบเข้ามาหา “คุณหนูหิวหรือกระหายน้ำหรือไม่ ข้าน้อยจะให้คนไปเตรียมของว่างและน้ำชาให้ท่าน...”
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ทำให้เถ้าแก่รู้ว่าตัวตนของมู่จวินฝานนั้นไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่เห็น เขาจึงพยายามใส่ใจรับใช้ 2 พี่น้องคู่นี้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสั่งปิดร้านอาหารด้านล่างเพื่อให้โรงเตี๊ยมสงบขึ้น
“ข้าไม่หิวหรือกระหาย” มู่ไป๋ไป่มองไปรอบ ๆ ห้องโถงที่ว่างเปล่าอย่างสงสัย ก่อนจะถามว่า “เถ้าแก่ นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรขอรับ” ชายผู้รู้เรื่องนี้รีบส่ายหัวพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยกลัวว่าพวกแขกที่มาทานอาหารจะส่งเสียงดังจนรบกวนพวกท่าน ข้าน้อยก็เลยไล่พวกเขาออกไปจนหมดแล้ว”
“...”
“คุณหนู!” จื่อเฟิงที่ได้ยินเสียงจากด้านล่างก็รีบลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ท่านไปไหนมา ทำไมท่านไม่พาข้าไปด้วย!”
วันนี้เขาตื่นสายกว่าปกติ พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวแล้ว
“ข้าไปที่ร้านผิงชางมา” คนตัวเล็กรีบเอาตะกร้าขนมไปซ่อนไว้ข้างหลังทันทีเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นและกวาดพวกมันลงท้องไปจนหมด “ใครใช้ให้ท่านนอนตื่นสายกัน”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วพร้อมกับทำหน้าเจ็บปวด “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณชายสั่งเอาไว้ว่าถ้าท่านกลับมาแล้ว ให้ท่านขึ้นไปหาเขา”
“ท่านพี่ถามหาข้าอยู่หรือ?” มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ “มีเรื่องอะไรหรือไม่?”
จื่อเฟิงส่ายหัวเพื่อบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เด็กหญิงคิดอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ เธอจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบนโดยตรง
ขณะนี้ประตูห้องของมู่จวินฝานเปิดอยู่ มู่ไป๋ไป่จึงเดินเข้าไปโดยไม่คาดคิดว่าจะพบองครักษ์ลับของอีกฝ่ายด้วย
เธอตกใจและจำได้ว่า 1 ในนั้นคือเจี่ยอี ผู้ซึ่งเคยสอนเธอกับหลัวเซียวเซียวต่อสู้ก่อนหน้านี้
“อ่า เจี่ยอี ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” ในระหว่างทางที่เดินมามู่ไป๋ไป่ไม่เห็นองครักษ์ลับแม้แต่เงา เธอเลยไม่รู้ว่าพวกเขาตามมาด้วย เธอจึงทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งยังเปิดตะกร้าหยิบขนมด้านในแจกให้พวกเขาอีกด้วย
“ข้าน้อยถวายบังคมองค์หญิง 6 ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงมีน้ำพระทัย” เจี่ยอีรู้นิสัยของเด็กหญิงเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำตัวมีพิธีรีตองและกล่าวขอบคุณนางโดยตรง
ในทางกลับกัน องครักษ์ลับคนอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นเคยจึงมีท่าทีเกรงใจอยู่เล็กน้อย พวกเขาไม่กล้าที่จะรับขนมมาจนกระทั่งเห็นเจี่ยอีรับไป
“ท่านพี่ จื่อเฟิงบอกว่าท่านกำลังตามหาข้าอยู่หรือ?” มู่ไป๋ไป่ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ แล้วนั่งห้อยขาสั้น ๆ อยู่ด้านข้างพี่ชายก่อนจะยื่นขนมชิ้นหนึ่งไปจรดที่ริมฝีปากเขา
มู่จวินฝานกัดขนม 1 คำแล้วพยักหน้ายิ้ม ๆ “ใช่ มีข่าวจากแคว้นหนานซวน ข้าคิดว่าไป๋ไป่น่าจะสนใจ”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแคว้นหนานซวน เธอก็หุบยิ้มทันทีและปรับสีหน้าเป็นจริงจัง
“พวกเขาพบสิ่งนี้ในแคว้นหนานซวน” เด็กหนุ่มกล่าวพลางเคาะกล่องเล็ก ๆ บนโต๊ะ
ก่อนหน้านี้มู่ไป๋ไป่ไม่ได้สังเกตเห็นมันมาก่อน แต่พอมองดูมันให้ดี เธอก็เข้าใจว่าด้านในมียาเม็ดสีน้ำตาลอยู่ในกล่อง
เธอจึงโน้มตัวเข้าไปดมกลิ่นแต่ก็ไม่ได้รับกลิ่นอะไร
“นี่คือยาอะไรหรือเพคะ?”
เมื่อคนตัวเล็กเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ห้ามตน เธอจึงหยิบเม็ดยาขึ้นมาบีบมันเบา ๆ
“มันเป็นยา แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว” สีหน้าของมู่จวินฝานเริ่มจริงจังมากขึ้น “ข้าจำได้ว่าไป๋ไป่เล่าให้ข้าฟังว่าสัตว์ที่ถูกจับในศาลาหมื่นอสูรจะบ้าคลั่งหลังจากที่ได้กินยาเข้าไปใช่หรือไม่?”
“ใช่!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้ารับในขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น “คนพวกนั้นเลวมาก! สัตว์ป่าพวกนั้นไม่ได้คิดที่จะฆ่าแกงกัน แต่เนื่องจากฤทธิ์ยา พวกมันจึงต้องมาเข่นฆ่ากันเอง”
“โชคดีที่ข้าไปเจอเข้าเสียก่อนและช่วยรักษาพวกเขา”
หลังจากเด็กหญิงพูดออกไปเช่นนี้ เธอก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และอุทานเสียงดัง
“ท่านพี่! อย่าบอกนะว่านี่เป็นยาที่สัตว์พวกนั้นกิน?!”
มู่จวินฝานพยักหน้า “ถูกต้อง… ข้าให้คนตรวจสอบส่วนผสมของยานี้แล้ว ยาที่ป้อนให้กับสัตว์ป่าในศาลาหมื่นอสูรน่าจะเป็นยาที่มีฤทธิ์อ่อน”
“ยานี้แรงกว่าและมีพิษร้ายแรงมากกว่าที่เจ้าเคยเห็น”
“ถ้าเช่นนั้น… เถ้าแก่ศาลาหมื่นอสูรก็ได้ทดลองยานี้กับสัตว์อย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
หลังจากที่เธอได้รู้ว่าตนนั้นเป็นจ้าวอสูรเหนือสัตว์ทั้งปวง เธอก็ค่อย ๆ รู้สึกมีสายสัมพันธ์พิเศษกับสัตว์ป่าเหล่านั้น
เมื่อเธอคิดถึงจำนวนสัตว์ที่ต้องตายด้วยน้ำมือคนของแคว้นหนานซวน เธอก็รู้สึกโกรธมากจนเจ็บหน้าอก
“ทดลองยา?” เจ้าส้มที่นั่งอยู่บนโต๊ะสะบัดหางไปมาในขณะที่ม่านตาของมันแคบลง “พวกมนุษย์โง่เขลาและเลวทราม นี่พวกมันไม่คิดว่าพวกเรามีชีวิตจิตใจบ้างเลยหรือ?”
“มู่ไป๋ไป่ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าครั้งนี้เจ้าจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้เรา!”
“คนพวกนั้นมาจากแคว้นหนานซวนใช่หรือไม่?”
“รีบไปจัดการพวกมันซะ!”
มู่ไป๋ไป่ไม่เคยเห็นเจ้าส้มโกรธขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงรีบนวดแขนขาของมันเพื่อให้มันผ่อนคลายอารมณ์ลงและมองมู่จวินฝานด้วยสายตาจริงจัง “ท่านพี่ คนของแคว้นหนานซวนทำยาพวกนี้ขึ้นมามีจุดประสงค์อะไร? ยานี้ใช้กับสัตว์เท่านั้น และทำให้สัตว์ป่าสามารถเข่นฆ่ากันเอง”
“แล้วถ้ามันถูกใช้กับคน…”
“มันจะทำให้ผู้คนสูญเสียความรู้สึกนึกคิด ไม่เจ็บปวด ไม่กลัวตาย และกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถฆ่าคนได้เท่านั้น” เจี่ยอีที่อยู่ด้านข้างพูดต่อคำพูดที่คนตัวเล็กเว้นเอาไว้ “ข้าน้อยแฝงตัวเข้าไปในกองทัพของแคว้นหนานซวนและพบว่ามีกลุ่มคนที่ถูกใช้ยาชนิดนี้ควบคุมเอาไว้”
“พวกเขามีจำนวนประมาณ 2,000 คน”
“แต่คนพวกนี้ถูกฤทธิ์ยาควบคุมจนเกือบจะเสียสติไปแล้ว”
“ซึ่งมันอันตรายมาก”
มู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจเรื่องของสงคราม แต่พอคิดถึงว่ามีการทำการทดลองสร้างสัตว์ประหลาดเพื่อให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารนั้นมันทำให้เธอรู้สึกหดหู่มาก
ที่ชั้นล่าง เซียวถังอี้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างแอบฟังคนชั้นบนพูดคุยกันก็ค่อย ๆ มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในแคว้นหนานซวนจะร้ายแรงกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
“นี่ ท่านกำลังคิดจะทำอะไร?” สีหน้าของอวี้เซิ่งที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน “ข้าคิดว่าหนานซวนกำลังวางแผนที่จะก่อสงครามลับหลังพวกเรา”
“ใช่” เด็กหนุ่มตอบรับเบา ๆ โดยไม่ปฏิเสธการคาดการณ์ของอีกฝ่าย
“ให้ตายเถอะ ชาวหนานซวนยังคงน่ารังเกียจเช่นเคย” นักฆ่าหนุ่มสบถเสียงต่ำ “แม่ทัพจ้าวที่เฝ้าอยู่ชายแดนมาหลายปีไม่ค้นพบสิ่งผิดปกตินี้บ้างหรือ?”
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น” เซียวถังอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “แม่ทัพจ้าวเป็นทหารที่ผ่านการทำศึกกับแคว้นหนานซวนมายาวนานหลายปี เขาน่าจะค้นพบแผนการสกปรกของแคว้นหนานซวนได้ก่อนใคร”
“เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าแผนของหนานซวนนั้นคืออะไรกันแน่”
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ปล่อยให้ราษฎรที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนพูดกันเรื่องนี้ และขังคนพวกนั้นไว้เพื่อไม่ให้ก่อปัญหาขึ้น
“ท่านต้องแจ้งแม่ทัพจ้าวให้เร็วที่สุด” อวี้เซิ่งขมวดคิ้ว “ไม่เช่นนั้นหากจู่ ๆ หนานซวนบุกโจมตีมาโดยไม่ทันตั้งตัว แม่ทัพจ้าวอาจจะต้านไว้ไม่ไหว”
“แล้วเรายังต้องหาวิธีถอนพิษด้วย”
“เรื่องแม่ทัพจ้าวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” เซียวถังอี้คิดอยู่สักพักแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะเขียนจดหมาย จากนั้นก็ใช้นกพิราบส่งมันออกไป “ข้ารู้จักคนที่อาจจะรู้วิธีถอนพิษนี้ แต่คนผู้นั้นย้ายที่อยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ข้าไม่รู้ว่าจะหาคนผู้นั้นเจอหรือไม่”