ตอนที่ 45 : เหมือนเห็นตัวเองในกระจก
“หงหยาน เจียงฉินชอบฉันมาตั้งนานแล้ว ทำไมเธอถึงต้องมาแย่งกับฉันด้วย?” ฉู่ซือฉีเอ่ยขึ้นคนแรกด้วยสายตาเกลียดชัง
หงหยานเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ: “เขาไม่ชอบเธอ ต่อให้เขาจะชอบเธอ แต่เธอก็ไม่คู่ควรกับความชอบของเขาหรอก”
หวังฮุ่ยหรูชะงักไปทันที เธอไม่อยากเชื่อว่าหงหยานที่เคยอ่อนโยนมาตลอดจะสามารถเอ่ยคำพูดแบบนี้ได้: “หงหยาน เธอใจเย็นๆ ก่อน”
“ฉันพูดอะไรผิด? ฉู่ซือฉี เธอคิดจะทำอะไร เธอจะให้เขาชอบเธอต่อไปแล้วปฏิเสธเขาอีกครั้งหรือไง ทำแบบนี้เพื่อให้ได้ความพึงพอใจงั้นเหรอ?”
ลมหายใจของฉู่ซือฉีเกิดอาการติดขัด ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีด: “เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระ ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น”
หงหยานมองไปที่หวังฮุ่ยหรู: “ฮุ่ยหรู มีหลายเรื่องที่เธอรู้ดีกว่าฉัน เธอคิดว่าใครกันแน่ที่พูดไร้สาระ?”
หวังฮุ่ยหรูเม้มริมฝีปาก เธออ้ำอึ้งอยู่นาน: “ฉันไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย”
“แม้แต่เธอก็ยังไม่กล้าพูดความจริง ซึ่งหมายความว่าฉู่ซือฉีหมดหนทางเยียวยาแล้ว”
“หงหยาน อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เจียงฉินชอบฉันตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่ง!” ฉู่ซือฉีกัดฟัน
หงหยานมองเธออย่างสงบ: “แล้วยังไงต่อล่ะ เธอได้ให้อะไรเขากลับไหม เธอชอบเขาบ้างหรือเปล่า?”
“ฉัน…”
“เธอก็แค่ชอบความรู้สึกที่ถูกตามจีบไม่ใช่หรือไง? เธอมันเห็นแก่ตัว ไร้สาระ โง่เขลา”
คำพูดของหงหยานเฉียบคมราวกับใบมีด ทำให้ใบหน้าของฉู่ซือฉีซีดลงทันที
เธอไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่เธอกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สวยและเซ็กซี่ที่สุด แต่งหน้าให้ดูสวยงามและมุ่งหน้ามาที่นี่ด้วยความมั่นใจขนาดนี้ ทำไมเธอถึงยังรับมือกับคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่ายไม่ได้อีก?
ถนนหนานเจียในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มีผู้คนมากมายเลือกมาทานอาหารกันที่นี่ ทั้งโต๊ะด้านหน้า โต๊ะด้านหลัง โต๊ะข้างๆ และโต๊ะถัดไป ต่างก็มีคนสิบกว่าคนจ้องมองมาที่โต๊ะของเจียงฉิน คิดในใจว่าสาวสวยตั้งหลายคนกลับมารุมล้อมผู้ชายคนเดียว จำเป็นต้องโอ้อวดขนาดนี้เลยหรือ? แถมเจ้าหมอนั่นก็โคตรธรรมดา ไม่เห็นจะโดดเด่นตรงไหนเลยนี่นา!
“หงหยาน เธอเพิ่งเจอเจียงฉินแค่สองครั้งเอง เธอยังไม่รู้จักเขาดีพอ”
หงหยานยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย: “มันสำคัญด้วยเหรอ? หลังจากนี้ฉันมีเวลาเหลือเฟือให้ทำความรู้จักกัน ยังไงซะฉันก็คงไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยกับรุ่นพี่หรอก”
ดวงตาของฉู่ซือฉีเบิกกว้างทันที: “ทำไมเธอถึงต้องกลับขาวเป็นดำด้วย ปัญหามันอยู่ที่ข้อมูลสถานะนักศึกษาของฉันต่างหาก ถ้าฉันไม่ไปแล้วจะให้ทำยังไง?”
“งั้นเหรอ?”
หงหยานเอื้อมมือไปเปิดกระเป๋าถือของเธอ หยิบโทรศัพท์มือถือบีบีเคออกมา เปิดดูข้อความแล้วเลื่อนหาข้อความหนึ่ง
[รุ่นน้อง พอดีว่าสถานะนักศึกษาของคุณมีปัญหา คุณมีเวลาออกมาพูดคุยกันหน่อยไหม?]
ฉู่ซือฉีค่อยๆ เบิกตากว้างขึ้น จ้องมองอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเช็กข้อความในนั้น ปรากฏว่าตรงกันทุกคำไม่มีผิดเพี้ยน!
“ฉันก็ได้รับข้อความจากเขาเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้ไปเพราะรู้ว่าเขาแค่หาข้ออ้าง เธอไม่รู้เหรอ?”
“ฉัน…”
หงหยานปิดโทรศัพท์แล้วใส่กลับเข้าไปในกระเป๋า เธอมองไปที่ฉู่ซือฉีอย่างใจเย็น: “เธอไม่ได้โง่ เธอแค่แกล้งโง่ เธอหวังว่าจะมีคนมาตามจีบเธออีกสองสามคนเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะงั้นเธอเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเจิ้งชิ่งหลงมีเจตนาอะไร และแกล้งทำเป็นว่าตัวเองไร้เดียงสา”
ฉู่ซือฉีรู้สึกเหมือนโดนปฏิบัติแบบไม่เป็นธรรม: “ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนสมัยมัธยมปลายข้อมูลสถานะนักเรียนของฉันเคยมีปัญหาครั้งหนึ่ง เธอใส่ร้ายฉัน”
“ไม่ต้องมาทำเป็นไร้เดียงสาหรอก น่ารำคาญจะตาย”
ซือฮุ่ยอิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป: “หงหยาน เราทุกคนเป็นพี่น้องในหอพักเดียวกัน แค่ไอ้ผู้ชายหน้าหม้อคนเดียวเธอถึงกับเป็นขนาดนี้เลยเหรอ?”
ผู้ชายหน้าหม้อ????
เจียงฉินขมวดคิ้วแน่น คิดกับตัวเองว่าตั้งแต่ต้นจนจบฉันก็แค่พยายามหาเงิน ไม่ได้คิดเรื่องความรักเลยแม้แต่นิด แล้วฉันไปเป็นผู้ชายหน้าหม้อตอนไหน?
ในสองชีวิตของฉัน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ชายหน้าหม้อ
แต่เห็นได้ชัดว่าซือฮุ่ยอิ่งไม่ได้ตั้งใจจะหยุดเมื่อเธอเปิดปาก เธอชี้นิ้วไปที่เจียงฉินทันที
“นายเอาแต่นั่งเฉยๆ ไม่อ้าปากพูดอะไรสักคำ คิดว่ามีผู้หญิงสองคนมาทะเลาะกันเพื่อนายมันเป็นเรื่องน่าภูมิใจเหรอ นายสนุกกับความรู้สึกแบบนี้มากเลยใช่ไหม!”
“หอพักของเราที่เคยดีๆ มีพวกเราสี่คนเป็นพี่น้อง แต่เพราะการมีอยู่ของนายทำให้เราทุกคนกลายเป็นศัตรูกัน ยังมีหน้ามานั่งกินข้าวอีกเหรอ?”
“ในเมื่อนายชอบซือฉี นายก็ควรชอบเธอต่อไป เธอก็บอกไปแล้วนี่ว่าเธอจะให้โอกาสนาย ทำไมนายถึงต้องไปยุ่งกับหงหยานอีกล่ะ เหยียบเรือสองแคมมันรู้สึกดีมากเหรอ?”
เจียงฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอสักพัก คิดในใจว่าทำมันฉันต้องมาอธิบายอะไรให้คนที่ไม่รู้จักฟังด้วย เป็นผลให้ซือฮุ่ยอิ่งที่เห็นว่าเขาเงียบก็คิดว่าเขากำลังรู้สึกผิด ท่าทีของเธอจึงรุนแรงขึ้น และคำพูดก็ยิ่งเฉียบคมมากขึ้น
“ไม่มีอะไรจะพูดหรือไง”
“เธอพูดถูก ฉันไม่มีอะไรจะพูด”
เจียงฉินเปิดเบียร์อีกขวดแล้วหยิบแก้วอีกสี่ใบออกมาเทเบียร์ใส่: “ถ้าด่าพอแล้วก็หาอะไรกินบ้าง หลังจากดื่มแก้วนี้หมด ต่างคนต่างลืมกันไปในยุทธภพ”
ซือฮุ่ยอิ่งหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน: “แค่นายบอกว่าลืมก็ลืมได้เลย? ความสัมพันธ์ในหอพักของเรากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว คิดว่าตัวเองไม่ควรรับผิดชอบหน่อยเหรอ?”
“สี่คนมากเกินไป ประเทศไม่อนุญาตให้ฉันรับผิดชอบหรอก”
ในขณะนี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากกลางถนนหนานเจีย ทุกคนที่อยู่ในบริเวณต่างก็สะดุ้งไปตามๆ กัน และพากันหันไปมองทางนั้นทันที
เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งใส่เสื้อยืดสีขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกลางถนน ร้องสะอื้นเสียงดังไม่หยุด ข้างๆ เขาคือดอกกุหลาบที่กระจัดกระจายเต็มพื้น กิ่งก้านดอกถูกหักออกเป็นชิ้นๆ สภาพดูหดหู่จนไม่อยากมอง
และตรงหน้าชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่ มีหญิงสาวผมยาวสีบลอนด์อ่อนคนหนึ่ง เธอกำลังมองดูเขาด้วยท่าทีตกตะลึง ในอ้อมแขนของเธอยังควงชายหนุ่มอีกคนไว้ด้วย แววตาเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ถังเสี่ยวเยี่ยน ฉันชอบเธอมาตลอดห้าปี ห้าปีเต็มๆ เลยนะ!”
“ตั้งแต่ปีหนึ่งมัธยมปลายจนถึงปีสองมหาวิทยาลัย ฉันคิดว่าตัวเองมีโอกาสทำให้เธอตกหลุมรักได้ตลอด เธอเองก็คอยให้กำลังใจฉัน บอกว่าถ้ามีความรู้สึกก็จะตกลงคบกัน ฉันเองก็เชื่อ!”
“ฉันหอบหิ้วความหวังมา ต้องนั่งรถบัสข้ามคืนเพื่อมาที่นี่ แต่เธอกลับตอบแทนฉันด้วยการเดินควงแขนคนอื่นมาชอปปิ้งงั้นเหรอ?”
“เธอไม่ชอบฉัน ฉันก็ไม่โกรธเธอหรอก แต่ทำไมเมื่อคืนถึงบอกว่าอยากคบกับฉันจนทนไม่ไหวแล้ว?”
“เธอทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง เธอคู่ควรกับเวลาห้าปีที่ฉันเสียไปไหม?”
“ถังเสี่ยวเยี่ยน ฉันตามจีบเธอมาห้าปีเต็ม ทุกคนรู้ว่าฉันชอบเธอ แม้แต่แม่ของฉันก็ยังรู้!”
“อ๊ากกกกกกกก!!!!”
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวด ถนนทั้งสายก็จมลงสู่ความเงียบงันอันไร้ที่สิ้นสุด
ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะพ่นคำด่าออกมาว่าคนบ้าแล้วก็เอากระเป๋าฟาดไปที่หน้าผู้ชายคนนั้น ชายหนุ่มไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงเลย บนใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มอันแสนเจ็บปวด
เจียงฉินแทบมึนเมื่อได้เห็นฉากนี้ คิดในใจว่าฉันก็แค่ออกมากินข้าวเองนะ แล้วใครแมร่งเอากระจกมาตั้งไว้ตรงหน้าฉัน?
ส่วนฉู่ซือฉีก็จ้องมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างนิ่งงัน เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ๆ ก็รู้สึกใจหวิวแปลกๆ
“ห้าปีก็เป็นความสัมพันธ์ที่นานเหมือนกันนะ ผู้ชายคนนั้นก็ดูไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเสียใจหรือเปล่า…”
“ไม่หรอก”
ซือฮุ่ยอิ่งเงยหน้ามองไปที่เจียงฉิน: “ใครถามนาย คนหน้าหม้อไม่มีสิทธิ์พูด!”
เจียงฉินหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก จากนั้นมองไปที่หญิงสาวผมยาวสีบลอนด์อย่างสงบ: “เธอไม่มีวันเสียใจกับเรื่องนี้ เธอถึงขนาดไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเคยมีโอกาสได้สัมผัสความรักที่ดีที่สุด ผู้ชายคนนั้นถูกทำให้ผิดหวัง มันแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีความสามารถในการรับรู้ถึงสิ่งที่สวยงามอย่างแท้จริง โอกาสที่สวรรค์ประทานให้เช่นนี้จะไม่มีวันมาหาคนๆ เดียวถึงสองครั้งหรอก แต่ไม่ต้องกังวลไป ผู้ชายคนนั้นเคยเจอผู้หญิงแบบนี้แล้ว หลังจากนี้ไปเขาจะไม่บาดเจ็บจากความรักอีก”
“...”
สาวงามทั้งสี่แห่งคณะนิติศาสตร์จ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า ชั่วขณะหนึ่งก็เกิดเป็นความเงียบและไม่มีใครพูดอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซือฮุ่ยอิ่ง แววตาเธอฉายประกายตกตะลึงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าผู้ชายหน้าหม้อพูดคำที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร
ในฐานะคนนอก หวังฮุ่ยหรูมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่า เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเจียงฉินโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถมองผ่านทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว การพูดคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ต่อหน้าเขาดูเหมือนจะเป็นเรื่องเด็กๆ
แต่พวกเธอคงไม่รู้ว่าในขณะนี้ เจียงฉินจริงๆ แล้วกำลังมองเห็นตัวเองในชีวิตก่อนหน้า เขาเองก็เคยถามซ้ำๆ กับตัวเองว่าฉันผิดพลาดตรงไหน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครให้คำตอบแก่เขาเลย
ตอนนี้เขากำลังรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย และเขาก็เกรงว่าคงจะมีเพียงเท้าสีชมพูเล็กๆ ของเฟิงหนานซูเท่านั้นที่จะปลอบประโลมเขาได้
“เรื่องอย่างความรักน่ะ ขนาดหมายังไม่สนใจเลย”
(จบตอน)