ตอนที่ 44 : ปิดผนึกหัวใจด้วยปูนซีเมนต์
สำหรับเจียงฉินในชีวิตก่อนหน้านี้ คำว่าฉู่ซือฉีถือเป็นฝันร้ายของเขาตลอดช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะหลุดพ้นจากฝันร้ายนั้น เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เรียนรู้ที่จะไม่ถือว่าความรักเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และเรียนรู้ที่จะไม่โทษตัวเองสำหรับความผิดพลาดทั้งหมด
ตอนนี้เขาเกิดได้ใหม่แล้ว และเขาก็ไม่มีความรู้สึกกับฉู่ซือฉีเลยจริงๆ
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไร้ความรู้สึก
เขาถึงกับต้องพยายามระงับความเกลียดชังในใจที่มีต่อฉู่ซือฉีอย่างเงียบๆ ด้วยซ้ำ เพื่อรักษาความสงบและสันติในจิตใจ และก็เพื่อแสดงถึงความสุภาพเล็กน้อยต่อเธอ
นี่เรียกว่าการฝึกตน
ไม่อย่างนั้นเขาคงจะตะโกนด่าแม่เธอไปนานแล้ว
แต่พอได้ยินฉู่ซือฉีบอกว่ากลับมาเป็นเหมือนเดิม เจียงฉินก็ถึงกับขนลุกซู่ไปทั่งร่างเลยทีเดียว คำพูดเหล่านี้มันโหดร้ายเกินไป ผู้หญิงคนนี้ควรไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมมากกว่า
“รุ่นน้อง นี่เพื่อนของคุณเหรอ?”
เจิ้งชิ่งหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเอ่ยปากถามด้วยความสับสน
ก่อนที่จะตามจีบฉู่ซือฉีเขาได้สืบดูแล้วว่ารุ่นน้องคนนี้ยังไม่มีแฟน แต่เขาไม่เข้าใจว่าคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนนี้เป็นใคร
อีกฝ่ายแทบไม่ได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ แต่รุ่นน้องที่เขาอุตส่าห์พยายามชวนออกมากลับเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเอง ถึงกระนั้นเจ้าหมอนี่กลับทำท่าทางรำคาญ แถมยังรีบถอยไปซ่อนอยู่ข้างหลังอีก?!
เจิ้งชิ่งหลงไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมความรู้สึกแตกต่างนี้ถึงได้รุนแรงขนาดนี้?
“เจียงฉินเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของฉัน” ฉู่ซือฉีกัดริมฝีปากสีแดงเบาๆ
เจียงฉินไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกต่อไป เขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ต่งเหวินห่าว: “เหล่าต่ง ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปหาผมที่วิทยาเขตหลัก หลังจากนี้ผมจะไม่มาที่วิทยาเขตตะวันออกอีกแล้ว”
“ฮะ? โอ้ โอเค”
ต่งเหวินห่าวที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกได้สติกลับมาด้วยความตกใจ เขาตอบสนองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็มองดูเจียงฉินด้วยสีหน้าซับซ้อน คิดว่าเจ้านายคนนี้ไม่ได้คุยโม้ เขารู้จักฉู่ซือฉีจริงๆ!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือการที่รุ่นน้องเทพธิดาอย่างฉู่ซือฉีตามตื๊อเจียงฉินอย่างหนัก นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยเหรอ?
แต่ที่เกินจริงยิ่งกว่าก็คือเสียงฝีเท้าอีกเสียงที่ดังมาจากทางเดินด้านซ้ายของสวน
หงหยานก้าวเดินด้วยฝีเท้าเบาสบาย สวมกระโปรงสั้นรัดรูปเน้นสัดส่วนบริเวณเอว ใส่ถุงน่องสีดำบางๆ และรองเท้าหนังสีดำแบบมีส้น
เธอเดินมาที่กลางสวน เมื่อเห็นฉากตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็หยุดลงอย่างกะทันหันด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์
“ไม่ไปกินข้าวเหรอ พวกนายทำอะไรกันอยู่?”
เจียงฉินกระแอมแล้วพูดว่า: “ไม่มีไร เกิดเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
“โอ้ โอเค” หงหยานเหลือบมองฉู่ซือฉีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หมุนตัวเดินตามเขาไป
“เจียงฉิน นายชอบหงหยานจริงๆ ใช่ไหม งั้นฉันขอบอกนายไว้ตรงนี้เลย ถ้านายกล้าพาเธอไปด้วย ฉันจะไม่มีวันสนใจนายอีกตลอดชีวิต”
เมื่อเห็นท่าทีอันอ่อนโยนที่เขามีต่อหงหยาน ความโกรธของฉู่ซือฉีก็ปะทุขึ้นอีกครั้งทันที เธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกทิ่มแทงจนเกิดรูเลือดมากมาย
เจียงฉินตาลุกวาวเมื่อเขาได้ยินเสียง: “ยังมีเรื่องดีๆ เหมือนการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวแบบนี้ด้วย? พูดแล้วห้ามคืนคำ!”
“ว่ายังไงนะ! เจียงฉิน นายทำเกินไปแล้ว!”
เมื่อเห็นฉากนี้ กลุ่มคนที่เพิ่งได้สติกลับมาก็ตกอยู่ในความเงียบงันอันไร้ที่สิ้นสุดอีกครั้ง
นั่นไม่ใช่หงหยานที่เป็นหนึ่งในดาวมหา’ลัยหรอกเหรอ?
ในคณะวรรณกรรมมีเดือนมหา’ลัยอยู่คนหนึ่งชื่อวั่งจวิ้นอี้ เขาเล่นกีตาร์อยู่ข้างล่างหอพักเธอถึงห้าวัน แต่ก็ยังไม่สามารถขอเธอออกเดทได้เลย
แต่ปรากฏว่าเจียงฉินแค่เรียกเสียงเบาๆ เธอก็เดินตามเขาไปกินข้าวอย่างเชื่อฟังแล้ว?
“เจียงฉิน กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ ฉันจะให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย นายได้ยินไหม?!”
“แบ่แบ่บู้”
“????”
เจียงฉินโบกมือ ทำสีหน้าให้สงบลง ก่อนจะพาหงหยานออกจากวิทยาเขตตะวันออกแล้วมุ่งหน้าไปยังซือเว่ยเทียนบนถนนหนานเจีย
ตอนนี้เป็นเวลามื้อเที่ยง บนถนนหนานเจียจึงมีคนเยอะมาก มีเสียงเซ็งแซ่อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งกลิ่นควันไฟที่ลอยออกมาจากร้านอาหารมากมาย
ระหว่างทางเจียงฉินและหงหยานต่างก็ไม่พูดอะไร ทั้งคู่เอาแต่เงียบอยู่ตลอด พวกเขาหาที่นั่งกลางแจ้งติดริมถนนใหญ่แล้วก็นั่งลง
จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ เจียงฉินจึงค่อยๆ พูดเรื่องเกี่ยวกับอดีต
ทั้งการพบกันของเขากับฉู่ซือฉี ความรักที่เป็นการแอบชอบมาตลอดสามปี คำสารภาพรักอันเร่าร้อนในช่วงสุดท้ายของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกเรื่องราวทุกรายละเอียดล้วนถูกเขาเทออกมาจนหมด จากนั้นก็นำมาดื่มเป็นเครื่องดื่มสังสรรค์
หงหยานนั่งบนเก้าอี้ ขาทั้งสองแนบชิดเข้าด้วยกัน คางวางไง้บนมือข้างหนึ่ง รับฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่ทันรู้ตัวก็เริ่มจินตนาการว่าตนเองเป็นนางเอกในเรื่องราว สัมผัสได้ถึงความรักที่ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนมอบให้
แต่หลังจากฟังเรื่องราวเหล่านี้แล้วเธอก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย เหมือนกับว่าเจียงฉินยังไม่ได้พูดทั้งหมด
เพราะในความเห็นของเธอ เจียงฉินมีบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่และมั่นคง เป็นคนที่ราวกับว่าสามารถมองเห็นแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งได้ในพริบตา ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่คนอย่างเขาจะไปตกหลุมรักหญิงสาวที่มีบุคลิกอย่างฉู่ซือฉี
“แล้วตอนนี้นายมีคนที่ชอบไหม?”
เจียงฉินวางแก้วเบียร์ที่ว่างเปล่าลง: “ฉันปิดผนึกหัวใจตัวเองด้วยปูนซีเมนต์ไปแล้ว”
“ปิดผนึกหัวใจด้วยปูนซีเมนต์หมายความว่าอะไร?” หงหยานถามอย่างงุนงง
“ก็แค่ไม่เชื่อในความรัก คิดว่าการคบหากันเป็นเรื่องไร้สาระ เชื่อแค่ผลประโยชน์เท่านั้น ต้องพยายามหาเงินเพื่อทำให้ตัวเองและคนที่รักได้มีชีวิตที่ดี”
ดวงตาของหงหยานอดไม่ได้ที่จะหรี่ลง: “แล้ว…นายเคยเจอผู้หญิงที่ทำให้นายสนใจบ้างไหม? นอกจากฉู่ซือฉี”
เจียงฉินเม้มริมฝีปาก: “ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นคนคลั่งรักได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต จะไม่มีครั้งที่สองอีก”
“แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงาน นายจะโสดไปตลอดชีวิตเลยเหรอ?”
“เรื่องนั้นคงไม่หรอก เพราะงั้นฉันก็เลยกำลังพยายามอยู่ หวังว่าจะมีเสี่ยวฟู่โผมาคอยเลี้ยงดูฉัน”
หงหยานคิดว่าเขาแค่ล้อเล่น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ: “เจียงฉิน ทำไมนายถึงบอกเรื่องนี้กับฉันล่ะ?”
เจียงฉินเติมเบียร์ใส่แก้วจนเต็ม: “ฉันไม่ต้องการสร้างปัญหาให้คนอื่น เพราะฉะนั้นฉันจะขออธิบายความเข้าใจผิดทั้งหมดให้ชัดเจน ฉันหวังว่าเธอกับฉู่ซือฉีจะยังเข้ากันได้ดี ท้ายที่สุดแล้วพวกเธอก็ยังต้องใช้ชีวิตร่วมกันในหอพักมหาวิทยาลัยอีกหลายปี การทะเลาะกันเพราะใครสักคนมันไม่คุ้มค่าเลย”
หงหยานเม้มริมฝีปาก เธอรู้ว่าคนอื่นในคำพูดนั้นจริงๆ แล้วก็คือตัวเธอเอง เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เธอ ไม่อยากให้เธอทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้อง และหวังว่าเธอจะมีชีวิตในมหาวิทยาลัยที่อบอุ่นและกลมกลืน
ดูสิ ถึงแม้ว่าคนๆ นี้จะหงุดหงิดจนแทบบ้า แต่เขาก็ยังคำนึงถึงผู้อื่น แล้วแบบนี้จะไม่ให้หงหยานตัวน้อยหวั่นไหวได้ยังไง
แต่เขากลับไม่ได้ชอบเธอ
แต่แล้วไงล่ะ ถึงเขาจะไม่ชอบเธอก็ยังชอบเขาอยู่ดี
ทันใดนั้นหงหยานก็รู้สึกได้ถึงความกล้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันเป็นความกล้าที่ทำให้เธอสามารถพูดคำว่าชอบออกไปได้
ทว่าในตอนนี้เอง ด้านหลังเธอกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีเงาร่างที่ดูสะดุดตาสามคนกำลังเดินมาตามถนนสายยาวที่เต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่
คนแรกคือฉู่ซือฉีที่เปลี่ยนไปใส่ชุดใหม่ กระโปรงยาวกลายเป็นกระโปรงสั้น รองเท้าแตะเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังคู่เล็ก ใบหน้าที่แต่เดิมเรียบง่ายถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ดูงดงามอย่างยิ่ง
อีกคนคือหวังฮุ่ยหรู สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสนยุ่งเหยิง แววตาแฝงด้วยความกังวล เธอใช้มือข้างหนึ่งจับแขนของฉู่ซือฉีไว้ คล้ายกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะวิ่งหนีไป
คนสุดท้ายเป็นคนที่เจียงฉินไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ชื่อของเธอคือซือฮุ่ยอิ่งและเป็นเพื่อนร่วมห้องของหงหยาน ใบหน้าเธออบอวลด้วยความเย็นชาและเจตนาฆ่า เอาแต่จ้องเขม็งไปที่เจียงฉินอย่างไม่วางตา
(จบตอน)