บรรพบุรุษข้ามภพสยบหล้า ตอนที่ 475 ราตรีแสนหวานสู่รุ่งอรุณแห่งมรรคา
บรรพบุรุษข้ามภพสยบหล้า ตอนที่ 475 ราตรีแสนหวานสู่รุ่งอรุณแห่งมรรคา
ยามราตรีแสนอ่อนโยน
ทว่า คืนนี้ ยังมีผู้หนึ่งอ่อนโยนยิ่งกว่าราตรี
ราตรีแห่งความโรแมนติกผ่านพ้นไป
“หลี่ซู…เพียงคืนนี้เท่านั้น”
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ เจ้าเซียนหมื่นบุปผาสวมอาภรณ์อย่างเรียบร้อย
นางจะใช้ดอกไม้โกลาหล คว้าโอกาสพิสูจน์มรรคาครั้งนี้
ราตรีหนึ่งกับหลี่ซู ทำให้นางไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกแล้ว
แม้นางจะต้องสลายไปเหมือนเซียนหญิงจื่อเว่ย กลายเป็นรูปปั้นหิน นางก็มิหวั่นเกรง
การพิสูจน์มรรคเป็นอริยะ มีความเสี่ยงอย่างยิ่ง
อริยะเทียมพิสูจน์มรรค หากพบเจออันตราย อยากจะถอย…บางครั้งก็ถอยกลับมาไม่ได้
ทว่า เจ้าเซียนหมื่นบุปผาเพิ่งจะเตรียมออกเดินทาง มือเล็ก ๆ ก็ถูกหลี่ซูคว้าเอาไว้
นางหันกลับมา กำลังจะเอ่ยปาก หลี่ซูก็ได้คืบจะเอาศอก ปิดปากนางเสียแล้ว
“อื้อ”
ใบหน้าของเจ้าเซียนหมื่นบุปผาแดงก่ำในทันใด
ถึงแม้จะเป็นถึงอริยะเทียม นางก็มิอาจขัดขืนได้ ถูกหลี่ซูเปลี่ยนราตรีหนึ่ง…กลายเป็นร้อยราตรี
จากนั้น ก็ยิ่งนานขึ้น…
“หลี่ซู… ไม่ไหวแล้ว…”
เจ้าเซียนหมื่นบุปผาทั้งเขินอาย ทั้งจนใจ
หลี่ซูช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
จนกระทั่งหลายปีให้หลัง ราตรีหนึ่งกลายเป็นพันราตรี หลี่ซูจึงได้ปล่อยนางไป
เจ้าเซียนหมื่นบุปผาในตอนนี้ ทั้งรักทั้งกลัวหลี่ซู
หลี่ซูโอบกอดนางเบา ๆ “เจ้าเซียน ไปพิสูจน์มรรคเถิด โอสถนี้มอบให้เจ้า หากพบเจอวิกฤตสลายไป น่าจะมีประโยชน์”
เจ้าเซียนหมื่นบุปผารับโอสถมา ภายในใจก็รู้สึกซาบซึ้ง
เพราะโอสถนี้ หลี่ซูใช้น้ำหวานจากร่างจริงที่นางมอบให้เป็นส่วนผสมหลัก หลอมขึ้นมา
กล่าวได้ว่า หลอมขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะ
“หลี่ซู…”
ครั้งนี้ เจ้าเซียนหมื่นบุปผากลับใช้เวลากับหลี่ซูอีกไม่น้อย กว่าจะปรับอารมณ์ได้ จากนั้นก็ไปพิสูจน์มรรค
บนแผงระบบของหลี่ซู เจ้าเซียนหมื่นบุปผาได้รับการเสริมพลังจากระบบแล้ว
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไมหลังจากราตรีนั้น หลี่ซูถึงได้รั้งเจ้าเซียนหมื่นบุปผาเอาไว้ เปลี่ยนราตรีหนึ่งเป็นพันราตรี
มิใช่เพียงเพราะหลงใหลในความงดงามของเจ้าเซียนหมื่นบุปผา
ยังเป็นเพราะ ความใกล้ชิดที่ยาวนาน ทำให้หัวใจของเจ้าเซียนหมื่นบุปผาตกหลุมรักหลี่ซูอย่างหมดหัวใจ
การเสริมพลังจากระบบ มีประโยชน์ต่อการพิสูจน์มรรคเป็นอริยะเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น หลี่ซูได้หลอมโอสถมรรคาให้เจ้าเซียนหมื่นบุปผาโดยเฉพาะ แม้เจ้าเซียนหมื่นบุปผาครั้งนี้จะไม่สำเร็จ ก็มิถึงขั้นสลายไป กลายเป็นรูปปั้นหินที่เย็นชา
.
หลายร้อยปีต่อมา เจ้าเซียนหมื่นบุปผาได้ปรับทุกอย่างจนเข้าที่เข้าทาง
ผ่านไปอีกห้าพันกว่าปี ภายในโลกเซียน ความผันผวนพิเศษหนึ่ง ได้แผ่กระจายออกมาเหมือนระลอกคลื่น
“นางเริ่มแล้ว”
พอความผันผวนนี้ปรากฏขึ้น หลี่ซูก็รู้ว่า เจ้าเซียนหมื่นบุปผาได้เริ่มพิสูจน์มรรคแล้ว
หลี่ซูตั้งใจ เตรียมพิทักษ์มรรคให้เจ้าเซียนหมื่นบุปผา
เวลาที่ใช้ในการพิสูจน์มรรคเป็นอริยะนั้นยาวนาน
ความผันผวนนี้ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นพิสูจน์มรรคของเจ้าเซียนหมื่นบุปผา
อริยะควบคุมมรรคาสวรรค์ อริยะเทียมอยากจะควบคุมมรรคาในคราวเดียว มิใช่เรื่องง่าย
ในช่วงที่เป็นอริยะเทียม การหลอมรวมกับมรรคาเป็นเวลานาน ร่างกายหลอมรวมกับมรรค ก็คือการทำความคุ้นเคยกับ “มรรค” ที่ตนเองจะควบคุม
กระบวนการนี้ มีความเสี่ยงอย่างมาก
ส่วนการควบคุมมรรค เทียบเท่ากับการทำให้มรรคาสวรรค์เป็นของตนเอง ความเสี่ยงนั้นมากกว่าหมื่นเท่า แล้วยังคงต้องเผชิญหน้ากับการโต้กลับ
ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำในช่วงแรกของการพิสูจน์มรรค ก็คือการได้รับสิทธิ์การควบคุมทีละเล็กทีละน้อย
จึงทำให้เกิดความผันผวนในระดับโลกทั้งใบ
ความผันผวนนี้ ในช่วงแรกมิได้ชัดเจน มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้
ไม่นาน กึ่งอริยะมากมายในโลกเซียนก็ได้ถูกปลุกขึ้นมา
อริยะเทียมก็ถูกปลุกขึ้นมาเช่นกัน
แม้แต่อริยะเทียมบางคนที่กำลังหลอมรวมกับมรรค หลังจากรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว ก็ได้ตื่นขึ้นมา
“ไม่คิดเลยว่านางจะก้าวไปก่อนหนึ่งก้าว ไม่รู้ว่าก้าวนี้ของนาง จะสำเร็จหรือไม่”
หลังจากที่เจ้าแห่งวังเซียนมาถึง รับรู้ว่าคนที่พิสูจน์มรรคคือเจ้าเซียนหมื่นบุปผา จึงได้กล่าว
ไม่ว่าจะเป็นโลกเซียน หรือโลกเซียนอสูร หรือโลกเซียนมาร ก็ไม่ได้มีอริยะถือกำเนิดขึ้นมานานแล้ว
ถึงเวลาแล้วที่จะมีอริยะถือกำเนิดขึ้นมา เพียงแต่ มิใช่อริยะเทียมทุกคน ที่มีความกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวนี้
แม้จะมีโอกาสพิสูจน์มรรค หากไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์ อริยะเทียมก็มิกล้าที่จะพิสูจน์มรรคอย่างบุ่มบ่าม
ท้ายที่สุด ผลลัพธ์ของความล้มเหลว ก็ไม่ต่างจากการสลายไป
“ตอนนี้อริยะไม่อยู่ คนเหล่านั้นอาจจะมาสร้างความวุ่นวาย…”
สายตาของเจ้าแห่งวังเซียนมองไปยังนอกโลกเซียน มีความกังวลเล็กน้อย