บทที่ 320 พ่อครัวตานเย่
เมื่อทั้งหมดนั่งลงในห้องส่วนตัวแล้ว เซียงหลิงหลิงก็เหมือนจะเพิ่งได้สติ
แม้ว่าความตื่นเต้นบนใบหน้าจะยังคงอยู่ แต่ท่าทางของนางก็เก็บซ่อนอาการลงเล็กน้อย ดูมีความประหม่าเล็กน้อย
ซูเล่อหยุนไม่มีหัวข้อสนทนา จึงนั่งดื่มชาเงียบ รอเวลา
ไม่นานอาหารก็ถูกยกมา เซียงหลิงหลิงกินอย่างระมัดระวังขึ้น แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอาหารเหล่านั้นไม่ห่าง
ซือถูตันฉีดูเหมือนไม่ได้มาเพื่อทานอาหาร นางลองทานเพียงไม่กี่คำแล้วก็วางตะเกียบลง นางเอนศีรษะวางไว้ที่มือ จ้องมองเซียงหลิงหลิงที่ทานอาหารด้วยท่าทางสนุกสนานราวกับเห็นอะไรน่าสนใจ
ดูเหมือนระยะหลังมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างซือถูตันฉีและจ้าวหมิงเยี่ยนจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ซูเล่อหยุนไม่ทราบว่าจ้าวหมิงเยี่ยนกำลังยุ่งเรื่องใด จึงเพียงแค่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสียดายที่พี่หมิงเยี่ยนไม่ได้มา ไม่อย่างนั้นจะได้ทานอาหารอร่อยเหล่านี้ด้วยกัน”
ซือถูตันฉีพยักหน้า สายตาเลื่อนจากเซียงหลิงหลิงไปยังประตู
ทันใดนั้นเอง ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เหวินชิงและฮวาอีก้าวเข้ามาในห้อง
" จวิ้นจู่ (องค์หญิง) " ทั้งสองถวายคำนับพลางยืนอยู่ด้านข้าง เหมือนกับเว่ยซีที่อยู่ในห้อง
เซียงหลิงหลิงที่ยังมีอาหารในปากถึงกับสำลักแล้วไอออกมาหลายครั้ง “จวิ้นจู่หรือ”
ซูเล่อหยุนยกถ้วยน้ำชาให้นางเพื่อช่วยให้กลืนลงไปได้
ตอนเข้าห้องนั้น ซูเล่อหยุนได้เอ่ยเรียกจวิ้นจู่ ไปครั้งหนึ่ง นางนึกว่าเซียงหลิงหลิงคงได้ยินแล้วถึงได้ดูประหม่า ที่ไหนได้ดูเหมือนเซียงหลิงหลิงเพิ่งรู้ตัวจริงๆ ตอนนี้
ซือถูตันฉีหัวเราะกับท่าทางของเซียงหลิงหลิง “ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ข้าไม่กัดคนหรอก”
“ข้า...”
เซียงหลิงหลิงกลืนอาหารลงไปได้ในที่สุด มือที่ถืออาหารไม่รู้จะวางลงหรือจะทานต่อดี นางเห็นท่าทีสบายๆของพี่สาวก่อนหน้านี้จึงไม่ได้คิดมาก ที่ไหนจะคิดว่าคุณหนูซือถูตันฉีจะเป็นถึงจวิ้นจู่
แต่ก่อนจะเดินทางมาเมืองหลวง ท่านแม่ของนางก็พูดให้ฟังแล้วว่า ในเมืองหลวงไม่น่าจะมีตำแหน่งจวิ้นจู่นะ
เซียงหลิงหลิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซือถูตันฉีอย่างพินิจ ในนั้นมีแต่ความสงสัย
“จวิ้นจู่ ซือถูเป็นบุตรสาวของอ๋องผิงซี” ซูเล่อหยุนอธิบาย
ขณะที่คุยกันอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป็นชายหนุ่มในชุดพ่อครัวที่เดินเข้ามาในห้องส่วนตัว
ทันทีที่เขาเห็นซือถูตันฉี เขารีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างเคารพ “ข้าน้อยตานเย่ ขอคารวะจวิ้นจู่”
“เป็นเจ้าจริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าซือถูตันฉีรู้จักตานเย่และสนิทสนมกันไม่น้อย
“ข้าพอลองชิมอาหารสองสามจาน ก็เดาได้แล้วว่าเป็นเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาเมืองหลวงแล้ว”
ซือถูตันฉีเอ่ยโดยไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเลย ดูเหมือนน่าจะทราบอยู่ก่อนแล้ว
ซูเล่อหยุนลอบก้มหน้าพิจารณา รู้สึกคุ้นกับชื่อของเหวินชิงและฮวาอีที่ยืนอยู่ข้างๆ
ตานเย่เองก็ไม่ได้ปิดบังความยินดีที่ได้พบซือถูตันฉีอีกครั้ง เขาเอ่ยด้วยแววตาเป็นประกายราวกับมีเรื่องอื่นแอบซ่อน “ตานเย่มีความสุขนักที่ได้พบจวินจู้อีกครั้ง ข้าน้อยได้เตรียมอาหารพิเศษไว้เพื่อให้ท่านได้ลิ้มลอง”
ว่าแล้วเขาก็หันไปเรียกบ่าวที่ยกอาหารจานใหม่อันน่าตื่นตาตื่นใจเข้ามาจัดวางบนโต๊ะ
ซือถูตันฉียิ้ม ยกตะเกียบขึ้นแล้วลองชิมเนื้อปลาที่ใกล้ตัวที่สุด
ปลาชิ้นนุ่มละลายในปาก แทรกรสชาติเข้มข้นไร้กลิ่นคาว
“ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลย”
“ขอบพระคุณท่านหญิงที่ชื่นชม”
ตานเย่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดีใจ จนดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความคาดหวังบางอย่างซ่อนอยู่
เซียงหลิงหลิงไม่กล้าขยับตะเกียบ แต่ดวงตานางจ้องมองอาหารบนโต๊ะ
ซือถูตันฉีเห็นสีหน้าแล้วหัวเราะ “เล่อหยุน เจ้ากับคุณหนูเซียงก็ลองชิมกันดูสิ”
“ขอบพระคุณจวิ้นจู้”
เซียงหลิงหลิงรีบขอบคุณ ตะเกียบของนางก็พุ่งไปที่อาหารจานโปรดทันที
ซูเล่อหยุนเองก็หยิบตะเกียบลองชิมจานอาหารเลิศรสอย่างไม่รอช้า
ทุกจานล้วนรสชาติเยี่ยมจนบรรยายได้แต่คำว่าสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นว่าตานเย่ยังคงอยู่ ซือถูตันฉีจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องกลับไปที่ห้องครัวหรือ”
ตานเย่ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ท่านมีจานไหนอยากทานเพิ่มไหมขอรับ”
ณ ครัวก็คงต้องการให้เขาอยู่ช่วยงาน แต่ทันทีที่เขาเห็น “ซือถูตันฉี” ความตั้งใจทุกอย่างก็ถูกลืมเลือนไป
เขาเองก็มากรุงเมืองหลวงครานี้ก็เพราะรู้ว่านางอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ
เดิมทีก็คิดไว้ว่าคงต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะได้พบ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันรวดเร็วเช่นนี้
ตานเย่พยายามระงับความตื่นเต้นในใจ พยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ทว่าไม่ค่อยสำเร็จนัก
“อยากทานอะไรหรือ ตอนนี้ข้าคิดไม่ออกจริงๆ”
ซือถูตันฉียกมือพยุงศีรษะ คิดเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “ยังนึกไม่ออกเลย”
ตานเย่ไม่แสดงท่าทางผิดหวังแต่อย่างใด “หากท่านหญิงต้องการสิ่งใด ข้ายินดีจะไปปรุงให้ท่านถึงเรือนเลยทีเดียว”
“นั่นคงเป็นการใช้ฝีมือเกินไป” ซือถูตันฉีโบกมืออย่างเข้าใจดี นางรู้อยู่ว่าตานเย่มีฝีมือเช่นไร จึงไม่อยากรั้งเขาไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา
“ถ้าอยากทานอะไร ข้าจะมาหาเจ้าที่หุยเฟ่ยโหลวก็แล้วกัน”
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
ตานเย่เผยสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีความเป็นมืออาชีพอยู่ เมื่อเห็นว่าคงไม่มีสิ่งใดที่ต้องการให้เขาช่วยอีก จึงยอมถอยออกไปอย่างเสียดาย
หลังจากนั้นซือถูตันฉีจึงหันไปมองเหวินชิงกับฮวาอีที่เพิ่งเข้ามาในห้อง “งานที่ข้ามอบหมายไป เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลท่านหญิง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” ฮวาอีตอบพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างนอบน้อม
พอได้ยินเสียงนั้น ซูเล่อหยุนจึงนึกออกว่าคนทั้งสองนี้ก็คือผู้ที่เคยแสดงเป็นนักแสดงที่ขายตัวเองเพื่อฝังศพบิดานั่นเอง ทำไมตอนนี้ถึงมาเป็นคนของซือถูตันฉีไปเสียแล้ว
สายตาของซูเล่อหยุนกวาดมองทั้งสอง ก่อนจะละสายตากลับมา
“เล่อหยุน อีกไม่นานข้าจะต้องกลับแล้ว ข้าและพี่ชายคิดจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ไว้ เจ้าจะต้องมาร่วมงานด้วยนะ”
ซือถูตันฉีเอ่ยพลางสบตาซูเล่อหยุน
พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงนี้ก็นานพอสมควรแล้ว คงถึงเวลาต้องเดินทางกลับ
ซูเล่อหยุนเผยรอยยิ้มบาง “เล่อหยุนย่อมจะไปร่วมแน่นอน”
เมื่อเซียงหลิงหลิงทานเสร็จเรียบร้อย ซูเล่อหยุนเห็นท่าทีของซือถูตันฉีที่ดูเหมือนจะยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่
จึงพาเซียงหลิงหลิงลาออกมา
ครั้นเมื่อออกจากหุยเฟ่ยโหลวมาแล้ว เซียงหลิงหลิงก็ขยับเข้าไปใกล้ซูเล่อหยุน เอ่ยถามเสียงเบา
“พี่หญิง ทำไมท่านหญิงผู้นั้นจึงแต่งกายเป็นบุรุษกันเจ้าคะ”
ซูเล่อหยุนส่ายหน้าเช่นกัน นางเองก็ไม่รู้สาเหตุ
“เจ้ามีที่ใดอยากจะเดินชมอีกหรือไม่”
“ไม่แล้วเจ้าค่ะ เรากลับกันเถิด พี่หญิง” เซียงหลิงหลิงตอบพลางส่ายหน้า
เพียงแต่ระหว่างทางกลับ เซียงหลิงหลิงก็เริ่มเรอออกมาไม่หยุด
“แฮ่ก… พี่หญิงโปรดอย่าถือสา แฮ่ก… นี่เพราะเหตุจากร่างกายข้าหรอกเจ้าค่ะ”
สองวันติดกันที่เซียงหลิงหลิงต้องเรออยู่ต่อหน้าซูเล่อหยุน นางเริ่มคุ้นเคยบ้างแล้ว
“ข้าเพียงทานอิ่มไปเล็กน้อยก็จะเรอออกมา”
“แฮ่ก… ด้วยเหตุนี้ท่านย่าจึงสั่งให้ข้าทานแต่น้อย”
ตอนอยู่ที่บ้าน นางยังพอทานได้เยอะอยู่
แต่พอเดินทางมาเมืองหลวง ระหว่างทางก็แทบไม่เคยได้ทานจนอิ่ม โดยเฉพาะเมื่อมาถึงบ้านตระกูลซุน
แต่เมื่อคืนกับวันนี้ มื้อนี้นางได้ทานอิ่มเต็มที่จริงๆ
ซูเล่อหยุนได้ฟังถึงกับแปลกใจต่ออาการพิลึกของเซียงหลิงหลิง จึงเอ่ยถาม “เคยไปหาหมอตรวจดูบ้างหรือไม่”