ตอนที่แล้วบทที่ 219-1+219-2 นักเรียนเยอะเกิน โรงเรียนไม่มีที่พอจะทำอย่างไร?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 221 ยุคแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ ห้างสรรพสินค้าควรปฏิรูปอย่างไร?(ต้น-กลาง-ปลาย)

บทที่ 220 กำลังถูกยุคสมัยค่อย ๆ ทิ้งให้ล้าสมัย – ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่(ต้น-กลาง-ปลาย)


###

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้ช่วยโทรหาเจียงเคอ

“คุณพูดว่าอะไรนะ ห้องชุดกว่า 4,000 ยูนิตที่อยู่ในมือของจางเยว่ขายออกหมดแล้วเหรอ? แถมทั้งหมดนี้ขายหมดเกลี้ยงภายในวันเดียว! เป็นไปได้ยังไง?”

ผู้ช่วยหัวเราะแห้ง ๆ “มันเป็นเรื่องจริงครับ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่พอได้ยืนยันกับเจ้าของห้องเหล่านั้นหลายครั้งก็ต้องยอมรับว่ามันคือความจริง”

เขาเล่าข้อมูลทั้งหมดที่สืบได้ให้ฟัง

เจียงเคอตะลึง “คุณบอกว่าที่ขายออกเร็วขนาดนี้ เป็นเพราะจางเยว่ซื้อโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใช่ไหม?”

“ใช่ครับ!” ผู้ช่วยลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ประเด็นหลักคือ คนที่ซื้อบ้านกว่าครึ่งหนึ่งตั้งใจจะซื้อบ้านในเขตอื่นของจงโจว พอได้ยินเรื่องโรงเรียนนานาชาติจงหยวนเข้าก็เปลี่ยนใจทันที แล้วเลือกซื้อบ้านในเขตพัฒนาพิเศษ

นี่หมายความว่าลูกค้าที่เดิมเป็นของเราโดนจางเยว่ใช้วิธีแปลกประหลาดนี้ดึงไปหมด แถมเขตจินสุ่ยของเราที่อยู่ใกล้เขตพัฒนาพิเศษมากที่สุดได้รับผลกระทบหนักสุดอีกด้วย

และที่สำคัญ ผลกระทบนี้ไม่หยุดง่าย ๆ เพราะตราบใดที่โรงเรียนนานาชาติจงหยวนยังอยู่ ความต้องการซื้อบ้านในเขตพัฒนาพิเศษจะไม่ลดลง อีกทั้งโครงการที่ขายช้าของเราที่ต้องชะลอการส่งมอบบ้านอยู่แล้ว ก็ยิ่งขายยากเข้าไปใหญ่ ในสภาพแบบนี้ ภายในหนึ่งปีเราอาจจะทำยอดขายไม่ถึงเป้าหมาย”

เจียงเคอยืนนิ่งอยู่นานโดยไม่สามารถพูดอะไรได้

เขาลงทุนอย่างมากเพื่อได้สิทธิในการขายโครงการบ้านที่ล่าช้าในการก่อสร้างเหล่านี้มา โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งเขตขายที่ดูเหมือนจะเป็นธรรม

แต่ด้วยการวิจัยข้อมูลอย่างหนัก โครงการบ้านที่เขาได้มานั้นไม่เพียงแต่มีจำนวนมากที่สุด แต่ยังเป็นบ้านที่ขายได้ง่ายที่สุดด้วย

ส่วนจางเยว่ถูกกำหนดให้ดูแลเขตพัฒนาพิเศษที่ดูมีอนาคต แต่ความจริงแล้วยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

ไม่คาดคิดเลยว่าจางเยว่จะใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดามาแก้ไขปัญหาแบบนี้

“เดี๋ยวนะ ผมจำได้ว่าอวี๋เหยาให้เปอร์เซ็นต์แบ่งกำไรกับเขาที่ 8% ใช่ไหม? ถ้าคิดจากนี้ แค่วันเดียวเขาก็ได้เงินไปอย่างน้อยสามร้อยล้านแล้ว?”

ผู้ช่วยกระแอมเล็กน้อย “ไม่ใช่300ล้านครับ แต่เป็น430ล้านต่างหากครับ

จางเยว่เขาใช้เงินมือเติบตามเคย เจ้าหน้าที่ขายบ้านของเทียนโหย่วแต่ละคนได้โบนัสเป็นแสนขึ้นไป

ส่วนหลานฮุ่ยจวินกับซุนเชี่ยนที่เป็นผู้ดูแลก็ได้เพิ่มอีกหลายเท่าตัว

ถึงแม้ว่าจะหักภาษีต่าง ๆ แล้ว เงินที่เหลือก็ยังเกือบ3ร้อยล้านไม่มีปัญหา”

เจียงเคอเงียบไป

ต้องเข้าใจว่าบ้านที่เขามีอยู่หนึ่งหมื่นยูนิต ต่อให้ขายหมด กำไรก่อนหักภาษีก็ยังไม่เกิน250ล้าน

หักภาษีเงินได้นิติบุคคลอีก 20%...

ในขณะเดียวกันปัญหาเรื่องที่ไม่พอของโรงเรียน จางเยว่คิดทั้งวันก็ยังไม่ได้วิธีแก้ที่ดีนัก

สุดท้ายเขาจึงโทรหาฉินฟางเจี๋ย

ในฐานะผู้ดูแลทรัพย์สินที่ผ่านการประมูล ฉินฟางเจี๋ยมีข้อมูลด้านนี้กว้างขวางที่สุด

ฉินฟางเจี๋ยฟังเรื่องทั้งหมดแล้วถอนหายใจ “น้องจาง จะว่าไปเรื่องนี้เล่นเอาผมจนปัญญาจริง ๆ นะ

ทำงานประมูลอสังหามานานยังไม่เคยประมูลโรงเรียนเลย

อีกทั้งโรงเรียนถือเป็นทรัพย์สินของรัฐ ถึงจะปิดตัวเพราะไม่มีนักเรียนเข้าเรียนที่เพียงพอ ที่ดินก็จะถูกซื้อคืนโดยรัฐอยู่ดี”

จางเยว่หัวเราะ “ผมรู้ครับ แค่ว่าคิดอะไรไม่ออกแล้วถึงได้มารบกวนพี่

ถ้าอย่างไร พี่ช่วยหาทางให้หน่อยก็ยังดี ผมจะได้ไม่เหมือนแมลงวันตาบอดที่บินวนไปวนมา”

ฉินฟางเจี๋ยพูดขึ้นว่า “ถ้าซื้อโรงเรียนไม่ได้ ทำไมไม่สร้างเองล่ะ?”

จางเยว่ตกตะลึง “สร้างเอง?”

“ใช่ จำได้ไหมว่าครั้งที่แล้วคุณได้ที่ดินจากอวี๋เหยาไปแปลงหนึ่ง?

ถึงที่ดินนี้จะอยู่เลยเขตสี่ด้านตะวันตกไป ด้วยทำเลที่ไม่ค่อยมีราคาสำหรับจงโจวทั้งเมือง

แต่สำหรับเขตพัฒนาพิเศษแล้ว มันถือเป็นทำเลศูนย์กลางทีเดียว

ตอนนี้โรงเรียนนานาชาติจงหยวนของคุณรับเฉพาะนักเรียนจากเขตพัฒนาพิเศษ แถมยังอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบเทียนเจี้ยนและแม่น้ำซุ่ย ถือเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ยดี

ที่สำคัญคุณก็ไม่ได้ขาดเงิน สร้างโรงเรียนเองก็เหมือนดื่มน้ำ

การสร้างโรงเรียนเองนั้นมีข้อดีมาก ทั้งเรื่องสไตล์การออกแบบหรือฟังก์ชันการใช้งานก็สามารถออกแบบให้เหมาะสมกับโรงเรียนนานาชาติจงหยวนได้โดยเฉพาะ

ประโยชน์เยอะขนาดนี้ ยังดีกว่าการซื้อโรงเรียนที่มีแค่ตึกไม่กี่หลังอีกนะ!”

จางเยว่กล่าวว่า “เรื่องนี้ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่ผมให้สัญญากับผู้ปกครองไปแล้วว่าพอถึงฤดูเปิดเทอมในฤดูใบไม้ร่วงจะสามารถโอนย้ายเด็ก ๆ มาเรียนที่โรงเรียนนี้ได้

จากตอนนี้จนถึงเปิดเทอมฤดูใบไม้ร่วงเหลือไม่ถึงสามเดือน จะสร้างโรงเรียนทันได้อย่างไร?”

ฉินฟางเจี๋ยมองเขาด้วยความสงสัย “ทำไมจะสร้างโรงเรียนในเวลาน้อยกว่าสามเดือนถึงจะทำไม่ได้ล่ะ?

ใช่ที่สถิติการสร้างโรงเรียนที่เร็วที่สุดในประเทศเราคือ 210 วัน

แต่นั่นก็คือการสร้างในสภาพที่ไม่รีบร้อนค่อย ๆ ทำไป

แต่คุณไม่เหมือนกัน คุณมีบริษัทก่อสร้าง และยังมีสมาคมก่อสร้างด้วย

แถมโครงการที่ล่าช้าในจงโจวส่วนใหญ่ก็ใกล้เสร็จไปเยอะแล้ว สามารถดึงคนงานจำนวนมากมาได้ในเวลาอันสั้น

มีทั้งเงินและคน ถ้าวางแผนดี ๆ ไม่ต้องบอกเลยว่าสองเดือนครึ่งก็เสร็จแล้ว!”

จางเยว่ถามเสียงแผ่ว “จริงเหรอ?”

“จริงไม่จริง คุณก็ลองถามผู้เชี่ยวชาญสิ”

หลังจากวางสาย จางเยว่ตรงไปหาหลัวเถี่ยจวิ้นทันที แล้วเล่าข้อเสนอของฉินฟางเจี๋ยให้ฟัง

จากนั้นถามว่า “คุณว่าทำได้ไหม? จะสำเร็จหรือเปล่า?”

หลัวเถี่ยจวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ”

เมื่อเห็นจางเยว่มีท่าทีสงสัย หลัวเถี่ยจวิ้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ท่านประธาน ที่จริงท่านกำลังติดอยู่ในกับดักความเข้าใจผิดอยู่นะครับ

ถูกแล้วล่ะ สำหรับที่อยู่อาศัยทั่วไป การก่อสร้างให้เสร็จนั้นใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งถึงสองปีแน่นอน เพราะความต้องการในเรื่องของฐานรากสูงมากโดยเฉพาะอาคารสูง ซึ่งการวางฐานรากนั้นเป็นงานที่ใหญ่โตมาก

แต่โรงเรียนนั้นแตกต่างออกไป อาคารเรียนส่วนใหญ่จะไม่เกินห้าชั้น ฐานรากสามารถทำตามมาตรฐานทั่วไปได้เลย ถ้าทำเร็ว ๆ แค่สองสัปดาห์ก็เสร็จ แม้จะช้าก็แค่ยี่สิบวันก็เสร็จเรียบร้อย

บริษัทเราเคยช่วยก่อสร้างโรงเรียนในอำเภอ แค่สองเดือนก็สร้างอาคารเรียนได้หนึ่งหลังแล้ว เราแค่ต้องทำแผนให้ดี แล้วให้ทุกอาคารเริ่มงานพร้อมกัน เทอมหน้าช่วงเปิดเรียนก็สามารถใช้โรงเรียนได้เลยครับ”

จางเยว่แปลกใจ “เร็วขนาดนี้เชียว?”

“ต้องเร็วขนาดนี้ครับ ท่านไว้ใจได้ ผมรับประกันทั้งคุณภาพและระยะเวลาให้เลย”

จางเยว่ยิ้มทันที “ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ลำบากคุณหน่อยนะ

จำไว้นะ โรงเรียนนานาชาติจงหยวนสำคัญมาก โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมันเชื่อมโยงกับแผนการวางผังธุรกิจในอนาคตของเรา

ชื่อเสียงของกลุ่มเทียนโหย่วจะสร้างขึ้นจากที่นี่แหละ”

นี่คือความเข้าใจใหม่ที่จางเยว่ได้ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ว่าความเจริญของสถานที่หนึ่งจะเกิดขึ้นได้เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานเช่น โรงเรียนและโรงพยาบาล

ตราบใดที่สามารถบริหารโรงเรียนให้ดีได้ ย่านรอบ ๆ ก็จะเจริญขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปบังคับ

หลังจากส่งหลัวเถี่ยจวิ้นกลับไป จางเยว่รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขาจึงเดินไปหาเจิ้งซูซูแล้วยิ้มพลางพูดว่า “คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพอจะมีเวลาไหม?”

เจิ้งซูซูมองเขาแวบหนึ่ง “มีอะไรหรือ?”

“แน่นอนว่าต้องไปเดินห้างกับผมไงล่ะ”

เจิ้งซูซูส่ายหัวนิด ๆ “คุณอยากไปที่ห้างหยินซิงก็พูดตรง ๆ ได้ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก”

จางเยว่หัวเราะเขิน ๆ “ไม่นึกเลยว่าจะถูกคุณเดาออก”

เจิ้งซูซูหยิบกระเป๋าของเธอ “ไปเถอะ ฉันก็รู้ว่ายังไงคุณก็ต้องไปอยู่ดี อีกอย่างถึงคุณไม่ไป ฉันเองก็อยากไปดูเหมือนกัน ห้างหยินซิงเป็นธุรกิจที่ขาดทุนหนักที่สุดในบรรดาธุรกิจทั้งหมดของคุณ ถ้ายังไม่ดีขึ้นอาจจะต้องขายทิ้งไปเลยก็ได้”

ห้างหยินซิงเป็นหนึ่งในศูนย์การค้าสองแห่งที่จางเยว่รับช่วงมาจากอวี๋เหยา ครั้งก่อนที่ห้างนี้ได้สร้างความวุ่นวายด้วยการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นก็เป็นที่นี่

ห้างนี้ตั้งอยู่ที่ทางแยกของถนนการเกษตรกับถนนวงแหวนที่สามฝั่งตะวันตก ล้อมรอบด้วยหมู่บ้านหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัย

เมื่อเดินเข้าประตูห้างก็รู้สึกถึงความเย็นสดชื่น แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ห้างทำตามคำสั่งได้ดี

ตอนนั้นเอง ชายหนวดเฟิ้มคนหนึ่งทักขึ้นว่า “เอ๊ะ คุณจางมาเยี่ยมห้างเหรอ?”

เขาพูดพลางยื่นไส้กรอกย่างให้ “เอ้า!”

จางเยว่รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ผมไม่หิว”

ชายหนวดเฟิ้มยังคงยื่นไส้กรอกให้ “ใครบอกว่าหิวถึงจะกินได้? กินเถอะ ผมเลี้ยงเอง ไม่คิดเงินคุณหรอก”

จางเยว่ยิ้ม “ใจกว้างจริงนะ”

“ขึ้นอยู่กับคนด้วยครับ ครั้งก่อนน้องชายแท้ ๆ ของผมมา ผมยังคิดค่าไส้กรอกหนึ่งชิ้นตั้งหนึ่งหยวนเลย แต่คุณไม่เหมือนกัน เชิญตามสบาย”

ชายหนวดเฟิ้มหัวเราะเสียงดัง

ก่อนหน้านี้ผู้จัดการห้างคนเก่าปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นจนทำให้คนเดินห้างลดลงไปมาก ทำให้ชายหนวดเฟิ้มโกรธจัดจนต้องไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับเจ้าของห้าง

แต่เรื่องก็ถูกผลักไปมา จนเขามารู้ทีหลังว่าที่แท้เจ้าของห้างสั่งการด้วยตัวเอง ดังนั้นการที่เขาไปร้องเรียนก็เหมือนเอานักมายากลมาแสดงให้คนตาบอดดู

จนในที่สุดเขาตัดสินใจฟ้องบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในศาล และก็แพ้คดี

สาเหตุก็เพราะในสัญญาเช่าระบุเรื่องอุณหภูมิในห้างไว้อย่างคลุมเครือ เช่น “ในสภาพอากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป ห้างจะเปิดแอร์ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมเพื่อความสะดวกสบายในพื้นที่”

คำว่า “สะดวกสบาย” นั้นนิยามไม่ได้อย่างชัดเจน บางจุดที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสอาจจะรู้สึกอบอ้าวบ้าง แต่หากอยู่ใกล้เครื่องปรับอากาศก็จะรู้สึกเย็นสบาย

ทำให้บรรดาผู้เช่าหลายรายเลือกที่จะยกเลิกสัญญาหลังครบกำหนด

ตอนแรกชายหนวดเฟิ้มคิดว่าตัวเองต้องย้ายออกเหมือนกัน แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว เขาลองโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือดู ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขในวันถัดมา

นอกจากนั้น จางเยว่ยังเดินทางมาด้วยตัวเอง พร้อมกับของขวัญขอโทษและมอบการยกเว้นค่าเช่าให้กับผู้เช่าทุกคนเป็นเวลาครึ่งปี

ความเป็นธรรมและความใจกว้างของจางเยว่ทำให้ชายหนวดเฟิ้มยินดีเลี้ยงไส้กรอกให้เขาโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย

หลังจากสนทนากันอยู่พักหนึ่ง จางเยว่ถามว่า “ช่วงนี้การขายเป็นยังไงบ้าง?”

ชายหนวดเฟิ้มถอนหายใจ “จะว่าไปแล้วก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงขั้นแย่ไปเสียทั้งหมด”

“หมายความว่ายังไง?”

“พอคุณปรับอุณหภูมิในห้างให้เย็นขึ้น คนที่เข้าห้างก็เพิ่มขึ้นมากก็จริง

แต่ปัญหาคือ ทุกวันนี้คนส่วนมากฉลาดมาก ร้านรองเท้าของผมมีคนมาลองเยอะ แต่แทบไม่มีคนซื้อเลย

ถ้าไม่ใช่ว่าผมเอาเครื่องย่างไส้กรอกมาตั้งไว้หน้าร้านเพื่อดึงดูดลูกค้าที่มากับเด็ก ๆ ละก็ กำไรต่อวันคงไม่พอจ่ายค่าเช่าด้วยซ้ำ”

ชายหนวดเฟิ้มขายรองเท้าผู้หญิง ปัจจุบันมีลูกค้าอยู่สี่ถึงห้าคนที่กำลังเลือกดูรองเท้าอยู่ แสดงว่าร้านเขาก็มีสินค้าคุณภาพดีและน่าสนใจ

จางเยว่รู้สึกสงสัย “ถ้าอย่างนั้นทำไมลูกค้าไม่ซื้อรองเท้าล่ะ? หรือว่าเป็นเพราะหน้าตาเถื่อนของคุณทำให้สาว ๆ กลัวหนีไปหมด?”

ชายหนวดเฟิ้มรีบพูดว่า “อะไรคือผมดูเถื่อนเกินไปล่ะ? คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงไว้หนวด? เพราะมันเซ็กซี่ไงล่ะ! ลูกค้าผู้หญิงสมัยนี้ชอบผู้ชายแมน ๆ แบบนี้กันทั้งนั้น

แม้จะไม่ถูกใจกับรองเท้าในร้าน แต่พอเห็นผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาส่องดู”

จางเยว่รู้สึกเหงื่อตก คนอะไรจะหลงตัวเองขนาดนี้ ถ้าหมอนี่เป็นหนุ่มฮอต งั้นพี่นี่แหละหล่อที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเลย! แต่ถึงอย่างไร เขาก็ถามต่อว่า “แล้วจริง ๆ มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

ชายหนวดเฟิ้มพยักพเยิดให้ดูบางอย่าง “ลองมองด้วยตาตัวเองสิ”

จางเยว่หันไปตามสายตาของชายหนวดเฟิ้ม พบกับสาวสวยคนหนึ่งที่กำลังมองรองเท้าส้นสูงสีขาวบนเท้าด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุขและชื่นชอบ ดูท่าทางแล้วมีโอกาสมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะตัดสินใจซื้อ

แต่แล้วสิ่งที่ทำให้จางเยว่ถึงกับอึ้งก็เกิดขึ้น

สาวสวยคนนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ่ายรูปที่รองเท้าส้นสูงสีขาว แล้วทำหน้าเปลี่ยนสีถอดรองเท้าและเดินออกจากร้านไปทันที

เมื่อเห็นจางเยว่มีท่าทีไม่เข้าใจ ชายหนวดเฟิ้มจึงหยิบรองเท้าคู่นั้นขึ้นมาให้เขาดู “คุณลองเปิดแอปฯ Taobao สแกนดูหน่อยสิ จะเข้าใจเอง”

จางเยว่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสแกนตามคำบอก แล้วบนหน้าจอก็แสดงรองเท้ารุ่นเดียวกันนี้ขึ้นมาเต็มไปหมด แต่ละคู่มีราคาตั้งแต่เจ็ดสิบถึงร้อยยี่สิบสาม ไม่มีคู่ไหนราคาเกินหนึ่งร้อยห้าสิบเลย

เขาถามชายหนวดเฟิ้มว่า “รองเท้าคู่นี้คุณขายราคาเท่าไหร่?”

ชายหนวดเฟิ้มตอบ “ราคาป้ายห้าร้อยสี่สิบ ตอนนี้ทำโปรโมชั่นลดเหลือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์”

จางเยว่เลิกคิ้วอย่างตกใจ ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่ารองเท้าคู่นี้จะมีราคาสี่ร้อยเลยหรือ? “หรือว่าเป็นเพราะแบรนด์ต่างกัน?”

ชายหนวดเฟิ้มหัวเราะขื่น ๆ แล้วส่ายหน้า “แบรนด์เดียวกัน ขนาดเดียวกัน ผมเองก็สั่งคู่หนึ่งมาเทียบกันดูแล้ว ไม่มีความแตกต่างเลย”

จางเยว่นิ่งไปพักหนึ่ง “สรุปว่าเพราะคุณขายแพงไป?”

ชายหนวดเฟิ้มพูดต่อ “ต้นทุนคู่นี้ผมรับมาในราคา 100 หยวน พอรวมค่าเช่า ค่าพนักงานแล้วต้องตั้งราคาขั้นต่ำที่ 150 หยวน

นี่ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขที่มียอดขายต่อเนื่องนะ แต่สถานการณ์แบบนี้ทำให้ต้นทุนพุ่งไปถึง 200 หยวน

นี่เป็นรุ่นใหม่ของฤดูร้อนปีนี้ ผมรับมาแค่สิบคู่ ถ้าผ่านช่วงฤดูกาลไปก็คงขายได้สักครึ่งหนึ่ง

ส่วนที่เหลือต้องลดราคาออกไป ที่ราคา 200 หยวน ถ้าลูกค้าสนใจก็อาจยอมขายแค่ 150 หยวน”

จางเยว่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง หากเรื่องที่บอกเป็นจริง การขายรองเท้าคู่นี้ในราคา 400 หยวนก็ไม่ถือว่าแพง

“เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าราคาสั่งมาที่ 100 หยวน แล้วทำไมในเว็บถึงขายแค่ 70 หยวน?

ถึงแม้ค่าใช้จ่ายออนไลน์จะถูกกว่า แต่ก็ไม่น่าขาดทุนขนาดนี้นะ?”

ชายหนวดเฟิ้มถอนใจ “ผมซื้อมาราคา 100 หยวน แต่ราคาต้นทุนของโรงงานจริง ๆ ไม่ถึงขนาดนั้น”

“คุณหมายถึงว่า ร้านค้าออนไลน์เป็นการขายตรงจากโรงงานหรือ?”

“ใช่ครับ ผมคัดค้านเสมอ แต่ทุกครั้งที่สั่งของก็แจ้งไป ทางโรงงานไม่เคยยอมรับเลย

จริง ๆ ผมเข้าใจโรงงานนะ ในยุคที่ซื้อของออนไลน์เป็นเรื่องปกติ ถ้าพวกเขาไม่หาช่องทางขายในอินเทอร์เน็ต คงจะอยู่รอดอีกไม่นาน โดนเจ้าอื่นแย่งตลาดไปหมด

สุดท้ายก็ต้องทนให้เราร้านค้าตัวแทนขายของได้กำไรน้อยลง และยังต้องช่วยโปรโมตฟรี ๆ อีกด้วย”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมไม่ยกเลิกสัญญาค้าขายไปเลยล่ะ?”

“ปัญหาคือโรงงานทุกรายทำเหมือนกันหมดไงครับ!

ร้านผมมีรองเท้าไม่ต่ำกว่ายี่สิบยี่ห้อ และทุกรายก็มีขายออนไลน์หมด”

จางเยว่เงียบไป เขารู้ดีว่านี่คือแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ร้านค้าแบบดั้งเดิมกำลังล้าสมัย มีเพียงความสามารถในการให้ลูกค้าเลือกดูสินค้าได้จริงเท่านั้นที่ยังพอมีความสำคัญ

แต่ลูกค้าก็ไม่ใช่คนโง่ สิ่งเดียวกัน คุณขาย 400 หยวน แต่ในเว็บขาย 70 หยวน ใครจะยอมจ่ายแพงล่ะ?

การไปลองสินค้าในร้านค้าแล้วค่อยสั่งซื้อทางออนไลน์เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้กันมานานแล้ว

เคยมีบางร้านห้ามลูกค้าถ่ายรูปในร้าน แต่ก็ไม่ได้ผล

เพราะแค่จดขนาดรองเท้าก็เพียงพอที่จะค้นหาแบรนด์เดียวกันได้ทางออนไลน์ แม้จะไม่สะดวกเท่าการสแกนทันที แต่ก็ทำให้ได้ของราคาถูกกว่า

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง “ท่านประธาน มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ? ทำไมไม่แจ้งก่อน ผมจะได้มารับ”

เสียงของกงเย่ว์หมิน ผู้ดูแลห้างหยินซิงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงหอบเล็กน้อยเพราะรีบวิ่งมาหาเมื่อทราบข่าวว่าจางเยว่มา

เมื่อชายหนวดเฟิ้มเห็นกงเย่ว์หมิน ก็สะบัดหน้าแล้วเดินกลับเข้าร้านไป ท่าทางเหมือนยังไม่พอใจ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีปัญหาขัดแย้งเรื่องการปรับอุณหภูมิแอร์ในห้าง แม้ว่าจะปรับความเข้าใจกันเพราะเห็นแก่จางเยว่ แต่ก็ยังไม่ลงรอยกันนัก

จางเยว่ล่ำลาชายหนวดเฟิ้มแล้วเดินไปที่ห้องทำงานของห้างพร้อมกับกงเย่ว์หมิน

ระหว่างทาง เขาเล่าปัญหาในร้านของชายหนวดเฟิ้มให้ฟัง แล้วถามว่า “สถานการณ์แบบนี้มีเยอะในห้างหยินซิงไหม?”

กงเย่ว์หมินถอนใจ “ไม่ใช่แค่เยอะครับ แต่แทบทุกร้านเป็นแบบนี้

ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้ายังดีหน่อย เพราะสินค้าพวกนี้มีปัญหาขนาดไม่พอดีตัวหรือของปลอม

แต่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กแทบจะปิดไปหมดแล้วครับ รวมถึงซูหนิงด้วย”

จางเยว่ถาม “จริงหรือ? ร้านแว่นตาก็เจอปัญหาเหมือนกันหรือ? แว่นตาหากค่าสายตาผิดเพี้ยนผิดไปก็ต่างกันเยอะอยู่นะ”

กงเย่ว์หมินหัวเราะเบา ๆ “นั่นมันสมัยก่อน ตอนนี้คนส่วนมากไปตรวจสายตาที่ศูนย์ตรวจสุขภาพในโรงพยาบาล ใช้เงินแค่สิบหยวนก็ได้แล้ว

ถ้าไม่อยากไปโรงพยาบาล ก็สามารถสั่งแผ่นตรวจสายตามาได้ ติดไว้ที่กำแพงแล้ววัดเอง จากนั้นสั่งซื้อแว่นตาตามค่าได้เลย”

จางเยว่ถาม “เดี๋ยวนะ? แต่ครั้งก่อนที่ผมไปตัดแว่น เจ้าของร้านบอกว่า ตาขวาผมสั้นสองร้อยและเอียงอีกหนึ่งร้อยห้าสิบ

ถ้าตรวจเองจะตรวจวัดการเอียงได้หรือ?”

กงเย่ว์หมินตอบ “สายตาสั้นสองร้อยกับสายตาเอียงหนึ่งร้อยห้าสิบ เจ้าของร้านแว่นให้คุณใช้เลนส์สามร้อยห้าสิบใช่ไหมล่ะ?”

“อ้าว คุณรู้ได้ยังไง?”

“นี่คือวิธีใหม่ของร้านแว่นเพื่อป้องกันลูกค้าตรวจเองแล้วสั่งออนไลน์ไงครับ

ท่านประธาน สายตาท่านสั้นมานานเท่าไหร่แล้ว?”

“ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วล่ะ”

เขาเอ่ยถามว่า “แล้วตอนนั้นที่คุณตัดแว่น มีคนบอกหรือเปล่าว่าคุณสายตาเอียง?”

“ไม่มี” จางเยว่ตบหน้าผาก “ที่แท้ก็แบบนี้เอง ผมยังคิดว่าช่วงนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าแล้วสามารถตรวจเจอปัญหาที่เดิมตรวจไม่เจอได้

ที่ไหนได้... ก็แค่เรื่องของจิตใจคน!”

กงเย่ว์หมินกล่าว “แน่นอนล่ะครับ ที่จริงร้านอาหารในห้างของเราก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการซื้อขายออนไลน์เท่าไหร่นัก แต่ปัญหาคือ พอคนคุ้นชินกับการช้อปปิ้งออนไลน์ จำนวนคนที่เดินห้างก็ลดลงไปด้วย

พอคนเดินห้างน้อย ร้านอาหารก็จะขายไม่ดีไปด้วย เจ้าของห้างคนก่อนที่ปรับอุณหภูมิในห้างให้สูงขึ้นไม่ได้ทำไปเพราะเขาโง่

เขารู้ดีอยู่แล้วว่าห้างหยินซิงไม่อาจยืนระยะต่อไปได้อีกหลายปี แทนที่จะปล่อยให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงคิดหาวิธีประหยัดค่าไฟ และยังได้ใช้เป็นข้ออ้างในการปิดตัวห้างในที่สุด”

พูดจบ กงเย่ว์หมินมองจางเยว่แวบหนึ่ง แสดงถึงความนัยอย่างชัดเจน

จางเยว่ยิ้มเล็กน้อย “เอาล่ะ เรื่องนี้ผมรับทราบแล้ว

แล้วผู้จัดการของซูเปอร์มาร์เก็ตเดนนิสอยู่ไหน ไปตามเขามาพบผมที”

กงเย่ว์หมินพยักหน้าแล้วรีบออกไป

เจิ้งซูซูจึงเอ่ยขึ้นทันทีว่า “คุณจะให้กงเย่ว์หมินรับผิดชอบห้างหยินซิงต่อจริง ๆ หรือ?”

จางเยว่เลิกคิ้วมองเธออย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ? ผมว่าคนอย่างลุงกงก็น่าจะจริงใจดีนะ

แม้พฤติกรรมของเขาก่อนหน้านี้จะทำให้คนโกรธเกลียด แต่เขาก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ดังนั้นผมไม่โทษเขา”

เจิ้งซูซูอธิบาย “ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับพ่อค้ารายอื่น ๆ ในห้าง

คุณก็เห็นเองแล้วนี่ อย่างกรณีของชายหนวดเฟิ้มที่เคยทะเลาะกับกงเย่ว์หมินเรื่องอุณหภูมิในห้าง จนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน

ปัญหาส่วนตัวแบบนี้ไม่ได้แก้ไขกันง่าย ๆ การปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปย่อมเป็นความเสี่ยงใหญ่

แล้วความจริงใจที่เขาแสดงออกมา คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าไม่ได้เสแสร้ง?”

หลังจากฟังคำอธิบายของเจิ้งซูซู จางเยว่ยิ้ม “คุณน่าจะเคยได้ยินเรื่องที่ผมซื้อกิจการโรงงานเวชภัณฑ์กั๋วเยว่ใช่ไหม?”

เจิ้งซูซูพยักหน้า “ตอนเยี่ยนจื่อฮุ่ยมาเล่าครั้งที่แล้ว ฉันได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง”

“แต่คุณอาจไม่รู้ว่า ตอนที่ผมเข้าซื้อกิจการโรงงานกั๋วเยว่นั้น คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้จัดการโรงงานไม่ใช่พ่อแม่ของเถียนตัวตัว แต่คือผู้ก่อตั้งโรงงานกั๋วเยว่เอง

เขาถือว่าโรงงานกั๋วเยว่เป็นเหมือนบ้านของเขา มีความสามารถสูงมาก และบ่อยครั้งที่เขาแสดงความจำนงอย่างเปิดเผยว่าอยากช่วยบริหารงานให้ผม แต่ผมก็ปฏิเสธไป

คุณรู้ไหมว่าทำไม?”

เจิ้งซูซูแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”

“เหตุผลง่ายมาก เพราะต้องการสร้างสมดุล

ไม่ใช่เพราะผมสงสัยในความสามารถของเขา แต่ผมรู้ดีว่า หากปล่อยให้เขาดูแลโรงงานกั๋วเยว่นี้ ไม่นานโรงงานก็จะกลายเป็นของเขาอีกครั้ง

ลองดูบริษัทหรือโรงงานอื่น ๆ ที่ผมเป็นเจ้าของ ทุกคนที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแล ไม่มีใครเป็นคนที่เคยมีอำนาจมาก่อนเลย

ทุกคนล้วนเป็นคนที่ผมแต่งตั้งใหม่ทั้งนั้น รวมถึงหลัวเถี่ยจวิ้น

ถ้าหากพ่อของหลัวเถี่ยจวิ้นคือหลัวเทียนโหย่วยังมีชีวิตอยู่ ผมก็จะไม่มีวันให้คนตระกูลหลัวมาทำงานในบริษัทก่อสร้างที่ผมตั้งขึ้นอย่างเด็ดขาด

มันฟังดูโหดร้ายไปบ้างใช่ไหม?”

เมื่อเห็นว่าเจิ้งซูซูเงียบ จางเยว่ก็ยิ้มเล็กน้อย “ผมรู้ว่าคุณอาจจะยอมรับได้ยากในระยะสั้น แต่นี่คือความจริง

และนี่ก็คือเหตุผลที่ผมยังให้กงเย่ว์หมินดูแลห้างหยินซิงต่อไป

ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความสามารถมากมายอะไร แต่เป็นเพราะความขัดแย้งระหว่างเขากับพ่อค้ารายอื่น ๆ นั่นเอง”

เจิ้งซูซูพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ!

ดูเหมือนว่าฉันยังต้องเรียนรู้จากคุณอีกเยอะในหลาย ๆ ด้าน!”

จางเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณยอมรับได้ง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ?”

จางเยว่รู้สึกประหลาดใจ เพราะในสายตาของเขา เจิ้งซูซูเป็นคนที่มีความยึดมั่นในความคิดของตัวเองสูง ไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ

ใครจะคิดว่าเจิ้งซูซูกลับยิ้ม “ฉันก็ไม่ใช่คนโง่นะ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ฉันก็เข้าใจดี เพียงแต่รู้กับทำให้ได้มันต่างกันน่ะค่ะ”

จางเยว่พยักหน้า เตรียมจะพูดอะไรต่อ เสียงของกงเย่ว์หมินดังขึ้นมาเสียก่อน “ท่านประธาน ผู้จัดการของเดนนิสมาถึงแล้วครับ”

ผู้จัดการเดนนิสแซ่โจว เมื่อตรวจสอบตัวตนเรียบร้อย จางเยว่จึงถามขึ้น “คุณจะขายซูเปอร์มาร์เก็ตนี้ให้ผมจริง ๆ หรือ?”

นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงในการมาที่นี่ของจางเยว่วันนี้ การซื้อซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งห้าง และยังเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างเดนนิสอีกด้วย ทำให้จางเยว่ไม่อาจละเลย

ผู้จัดการโจวถอนหายใจยาวและพูดด้วยเสียงเศร้าปนขื่นขม “ขายเถอะครับ จะไม่ปิดบังนะ ผมยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด