ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 18 จิ้งจอกพันหน้า
ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 18 จิ้งจอกพันหน้า
จินหยวนเจิ้งมิได้นิ่งเฉยอีกต่อไป
มือซ้ายบีบถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด สีหน้าตกใจ กล่าวว่า
“ผู้ว่าราชการเขตจิน”
หลิวกงใช้วิชาเคลื่อนย้ายมายังข้างกายจินหยวนเจิ้ง
จินหยวนเจิ้งกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์หลิว มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือ”
“ข้าจำได้ว่าผู้ว่าราชการเขตทุกคนจะมีเหรียญตราขอความช่วยเหลือ มิใช่หรือ”
“เหรียญตราขอความช่วยเหลือ... หรือว่ามือสังหารผู้นี้ แม้แต่ปีศาจขาวดำสองปรมาจารย์ร่วมมือกันก็ยัง……”
สีหน้าของจินหยวนเจิ้งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เหรียญตราขอความช่วยเหลือนั้น ราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวนได้มอบให้กับผู้ว่าราชการเขตทุกคน
โดยปกติ หากเมืองใดเมืองหนึ่งพบเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ จึงจะสามารถบีบเหรียญตรา และอัญเชิญภาพขอความช่วยเหลือขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมืองโดยรอบ เมื่อเห็นภาพนั้น ตามกฎของราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน พวกเขาต้องส่งกองทัพไปช่วยเหลือ
แต่ตอนนี้ ความหมายของหลิวกงก็คือต้องการให้เขาบีบเหรียญตรา
มือสังหารจากศาลาสังหารโลหิตผู้นั้น หรือว่าแม้แต่ปีศาจขาวดำที่โด่งดังในยุทธภพก็ยังคงไม่สามารถต่อกรได้?
“วิชาประสานพลังของข้าและฟู่หวางเฉิง แม้จะแข็งแกร่ง แต่หลังจากใช้แล้ว ปราณวิญญาณจะถูกใช้ไปอย่างมากมาย ร่างกายอ่อนแอ หากมีหนูตัวน้อยจากศาลาสังหารโลหิตปรากฏตัวขึ้นอีก ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถปกป้องคุณชายได้”
หลิวกงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
จินหยวนเจิ้งพยักหน้า
หากฟางเทียนหมิงเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน
“เช่นนั้น ข้ารู้แล้ว”
จินหยวนเจิ้งหยิบจี้หยกสีเหลืองอ่อนรูปวงกลมออกมาจากอกเสื้อ
กำลังจะบีบมัน
เงาดำหนึ่งสายปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และนำเหรียญตราขอความช่วยเหลือไปจากมือของจินหยวนเจิ้ง
“ผู้ใด!”
ทั้งสองรู้สึกตัว
สายตาทั้งหมดจับจ้องไปยังสตรีผู้มีรูปโฉมงดงาม สวมชุดรัดรูปสีดำ ที่ยืนอยู่บนกำแพงสถาบัน
จิ้งจอกพันหน้ามองดูเหรียญตราขอความช่วยเหลือในมือ
จากนั้นจึงยิ้มให้กับจินหยวนเจิ้งและหลิวกง กล่าวว่า “ขออภัย สาวน้อยผู้นี้มิอาจปล่อยให้พวกท่านสมหวังได้”
“เจ้าก็เป็นคนของศาลาสังหารโลหิตเช่นนั้นหรือ”
หลิวกงหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวถาม
“ถูกต้อง สาวน้อยผู้นี้คือมือสังหารระดับมนุษย์ชั้นเอกแห่งศาลาสังหารโลหิต จิ้งจอกพันหน้า ขอคำชี้แนะจากทุกท่าน”
จิ้งจอกพันหน้ากวาดสายตามองไปรอบ ๆ พบว่ามีผู้บำเพ็ญมากมายกำลังมองดูนาง จึงยิ้มออกมา
“มา… มาอีกคนแล้ว!”
“ศาลาสังหารโลหิตคงจะไม่ส่งมาเพียงคนเดียว”
“หนีเสือปะจิ้งจอก บัดซบ! พวกเราควรทำเช่นไร? ข้าเพิ่งจะทะลวงระดับรวมวิญญาณ ไม่อยากตาย ณ ที่แห่งนี้”
จินหยวนเจิ้งเห็นว่าขวัญกำลังใจของทหารเริ่มสั่นคลอน
ภายในดวงตาจึงปรากฏจิตสังหาร
มือซ้ายสะบัด
มีดบินเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
ในชั่วพริบตาก็ทะลวงผ่านศีรษะของชายที่กล่าวว่า ‘ไม่อยากตาย ณ ที่แห่งนี้’
สีหน้าของจินหยวนเจิ้งดูน่ากลัว หันไปมองเหล่าผู้คนที่ตกตะลึง กล่าวว่า “นี่… คือจุดจบของผู้ที่ทำลายขวัญกำลังใจ!”
ผู้คนมากมายแม้จะไม่พอใจ แต่ก็มิกล้ากล่าวสิ่งใด
หลิวกงกล่าวว่า “พวกเราร่วมมือกัน นำเหรียญตราขอความช่วยเหลือกลับมา”
จินหยวนเจิ้งพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”
ทั้งสองพุ่งเข้าโจมตีจิ้งจอกพันหน้าจากทางซ้ายและขวา
“ขอให้ท่านทั้งสองโปรดเมตตาสาวน้อยผู้นี้ด้วย”
แม้ว่าน้ำเสียงของจิ้งจอกพันหน้าจะเต็มไปด้วยความเย้ายวน แต่ภายในดวงตางดงามกลับปรากฏความเย็นชา
“วิชาร่าง… เสน่ห์จิ้งจอก!”
ร่างกายของจิ้งจอกพันหน้าเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ทุกการเคลื่อนไหว ราวกับหญิงงามผู้เลอโฉมกำลังร่ายรำ
“หลบไปแล้วหรือ?”
หลิวกงและจินหยวนเจิ้งพบว่าร่างของจิ้งจอกพันหน้าปรากฏขึ้นบนกำแพงอีกด้านหนึ่ง
หลิวกงหรี่ตาลง กล่าวว่า “วิชาตัวเบาของนางอสูรผู้นี้ช่างแปลกประหลาด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแฝงไว้ด้วยวิชาลวงตา นี่อาจจะเป็นวิชาตัวเบาระดับนิล”
“ระดับนิล……”
ภายในดวงตาของจินหยวนเจิ้งปรากฏความโล�
แม้ว่าเขาจะเคยศึกษาวิชาเวทระดับนิล แต่เป็นวิชาเวทที่ราชสำนักมอบให้กับผู้ว่าราชการเขตทุกคน
ดังนั้น ในบรรดาวิชาเวทระดับเหลืองขั้นต่ำทั้งหมด นับว่าเป็นวิชาที่แพร่หลาย
นอกจากนี้ วิชาเวทระดับนิลที่ล้ำค่าจะถูกราชวงศ์ซุ่ยหยวน ตระกูลฟาง และตระกูลหลิวเก็บรักษาเอาไว้
คนอย่างพวกเขาที่ไม่มีภูมิหลัง หากมิได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราชสำนัก
และได้รับโอกาสในการเลือกสมบัติจากคลังสมบัติของราชวงศ์
การที่จะได้วิชาเวทระดับนิลชั้นยอด นับว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
นี่คือเหตุผลที่เมื่อจินหยวนเจิ้งได้ยินคำว่า ‘ระดับนิล’ ภายในดวงตาจึงปรากฏความอิจฉาและความโล�
“ไม่ดีแล้ว ท่านผู้ว่าราชการเขต ปรมาจารย์อีกสามท่านร่วมมือกัน แต่ก็ยังคงพ่ายแพ้มารร้ายผู้นั้น”
องครักษ์คนหนึ่งวิ่งมาจากแนวหน้า รายงานให้จินหยวนเจิ้งทราบ
“กระไรนะ? ปรมาจารย์ระดับเคลื่อนวิญญาณสามท่าน ยังคงไม่สามารถต่อกรกับมันได้?”
จินหยวนเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันกลับไปด้วยความตกใจ
ปรมาจารย์ระดับเคลื่อนวิญญาณสามท่านผู้นั้น ก็เหมือนกับบรรพชนตระกูลอู๋ เป็นสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในเขตเฉวียนสุ่ย
วันนี้พวกเขาถูกตระกูลฟางเกลี้ยกล่อมออกมา
แม้แต่เขา เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาก็ยังคงไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
“ระดับเคลื่อนวิญญาณขั้นสองหนึ่งคน ระดับเคลื่อนวิญญาณขั้นสามสองคน แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นปรมาจารย์ระดับเคลื่อนวิญญาณขั้นเจ็ด แต่ก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้……”
แม้ว่าจินหยวนเจิ้งจะไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่เขาจะประมาท
เพราะเบื้องหน้ายังคงมีมือสังหารจากศาลาสังหารโลหิตที่เขาไม่รู้ระดับตบะ
“สั่งการลงไป ให้ทุกคนขัดขวางมารร้ายผู้นั้น และช่วยเหลือปรมาจารย์สามท่าน”
“ขอ… ขอรับ”
องครักษ์ผู้นั้นกำลังจะหันหลังกลับ
เงาร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
“เจ้า……”
องครักษ์ผู้นั้นเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนของจิ้งจอกพันหน้า จิตใจและร่างกายพลันหยุดนิ่ง
พร้อมกับเสียง ‘ฉัวะ’
มีดสั้นเล่มหนึ่งแทงเข้าไปที่หัวใจของเขา
เขาจึงรู้สึกตัว ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกับพื้น
“เจ้า!”
จินหยวนเจิ้งชี้นิ้วไปยังจิ้งจอกพันหน้าด้วยความโกรธแค้น
“ทำไม? หรือว่าสาวน้อยผู้นี้ต้องยืนดูเขาไปรายงานหรือ”
จิ้งจอกพันหน้ายิ้มเล็กน้อย
ภายใต้ความโกรธแค้น ดวงตาทั้งสองข้างของจินหยวนเจิ้งเป็นประกาย
หันไปมองหลิวกง กล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์หลิว ข้าเพิ่งนึกออก ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้สั่งการไปยังหอคอยสัญญาณเพลิงแล้ว หากสถาบันเกิดเรื่องราวใด ๆ ก็ให้จุดไฟสัญญาณ”
“ตอนนี้กองกำลังเสริมจากเมืองโดยรอบคงจะกำลังเดินทางมาแล้ว”
ในที่สุดหลิวกงก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ดี หากวันนี้คุณชายปลอดภัย เมื่อกลับไปยังตระกูล ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้เจ้าตระกูลทราบ และจดจำความดีความชอบของเจ้าเอาไว้!”
“คิ คิ คิ……”
จิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ด้านข้างหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน
จินหยวนเจิ้งกล่าวด้วยความโกรธแค้น “นางอสูร เจ้าหัวเราะอันใด!”