บทที่ 85 บทสนทนายามค่ำ
บทที่ 85 บทสนทนายามค่ำ
หลี่จิ้งยืนอยู่บนหาดทราย เผชิญกับสายลมทะเลขณะรอคอยอย่างเงียบๆ
เขาไม่มีความคิดอะไรมากนักเกี่ยวกับเสี่ยวอ้าย
ที่เก็บเธอไว้ ก็เพราะเธอมีฟังก์ชันที่ใช้งานได้ดี
ส่วนเรื่องภัยคุกคามอะไรนั้น เขาไม่กังวล
โลกนี้เน้นการฝึกวรยุทธ์และวิทยาศาสตร์
แต่วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ ไม่อาจเทียบกับการใกวรยุทธ์เพื่อเป็นเซียนได้
การดำรงอยู่ของวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นเพียงการวิเคราะห์เพื่อเสริมพลังของตัวเองท่านั้น
ในโลกที่หลี่จิ้งข้ามมิติมา ปัญญาประดิษฐ์ที่มีบุคลิกภาพเป็นของตัวเองอาจสร้างความปั่นป่วนได้ไม่น้อย
แต่ในโลกนี้ มันก็แค่นั้น
ยกตัวอย่างเสี่ยวอ้าย
เธอมีโทรศัพท์มือถือเป็นที่อยู่อาศัย แค่ใช้ฝ่ามือสายฟ้าลงไปสักหนึ่งที ทุกอย่างก็จบ
ส่งเข้าไปในพื้นที่เก็บของ ไม่มีเครือข่าย ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
แต่เสี่ยวอ้ายก็ทำให้หลี่จิ้งได้คิด
พลังวิญญาณของเขา สามารถถูกตรวจจับได้ด้วยเครื่องตรวจจับระดับสูง
เรื่องนี้ต้องระวังไว้บ้าง
อย่างอื่นไม่มีอะไร แค่อาจจะรำคาญใจนิดหน่อย
ตอนนี้เขามีบัตรประชาชนแล้ว เป็นพลเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศหลงอวี่
แม้ว่าสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์จะพบว่าพลังวิญญาณของเขาแตกต่างจากปราณวิญญาณ หากไม่ได้รับความยินยอมจากเขา ก็ได้แค่มองอย่างเดียว
ถ้าใครมาก่อเรื่อง ก็ดีไป
แค่ฟ้องข้อหาละเมิดความเป็นส่วนตัว ก็ทำให้พวกเขาเสียชื่อเสียงได้ง่ายๆ และยังได้ค่าเสียหายทางจิตใจอีกด้วย
แต่มีคำพูดหนึ่งว่าอย่างไร?
ไม่กลัวโจรขโมย แต่กลัวโจรเล็งเอาไว้
ถ้าถูกพวกศาสตราจารย์ที่สมองมีแต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เล็งเอาไว้ การบีบบังคับทั้งแบบนุ่มนวลและแข็งกร้าวคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยากที่จะได้รับความสงบ
...
ม่านราตรีอัรมืดมิดยิ่งทวีความลึกล้ำ
ประมาณครึ่งชั่วโมง มีคนจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทยอยมาที่หาดทรายเรื่อยๆ
บางคนมาถึงก็เข้าไปในพื้นที่ลี้ลับทันที
บางคนก็มาแทนที่ศาสตราจารย์ที่อยู่ในที่นั้น ทำให้พวกเขามีโอกาสเข้าไปในพื้นที่ลี้ลับ
เวลาผ่านไปทีละนาทีทีละวินาที
เมื่อใกล้สี่ทุ่ม มีคนกว่าร้อยคนสวมชุดพิเศษบินมาถึง
ผู้นำลงมาพูดคุยกับคนของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในที่นั้น แล้วก็รีบบินนำกองกำลังเข้าไปในพื้นที่ลี้ลับ
หลี่จิ้งมองพวกเขาเข้าไปในพื้นที่ลี้ลับ หรี่ตาเล็กน้อย
สำนักจัดการภัยพิบัติ
ต้องมีวรยุทธ์อย่างน้อยระดับสามถึงจะเข้าร่วมได้
หน้าที่หลักคือสำรวจพื้นที่ลี้ลับ และรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติเหนือธรรมชาติบางอย่าง
งานของพวกเขามีความเสี่ยงสูงมาก อันตรายเกินกว่าสำนักตรวจการมาก เงินเดือนก็สูงกว่าด้วย
แต่ในวันปกติ สำรักจัดการภัยพิบัติถือเป็นตำแหน่งที่ว่างงาน
ระดับของสำนักจัดการภัยพิบัติสูงกว่าสำนักตรวจการ แต่จะแสดงออกมาเฉพาะในขอบเขตหน้าที่ของตนเท่านั้น
ไม่นานหลังจากที่คนของสำนักจัดการภัยพิบัติกว่าร้อยคนเข้าไปในพื้นที่ลี้ลับ เฉินจิ้งก็ออกมาจากพื้นที่ลี้ลับ บินมาที่หาดทราย
หลี่จิ้งเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไป
"คุณลุง สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้างครัว?"
"ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด คนของสำนัดจัดการภัยพิบัติที่มาไม่มากนัก ยังมีกองกำลังใหญ่จากเมืองอื่นๆ ถูกส่งมาเพิ่ม พอคนมาครบแล้ว พวกเขาถึงจะเริ่มสำรวจอย่างเป็นทางการ"
เฉินจิ้งยิ้มตอบ แล้วพูดต่อ
"ฉันต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้กับผู้บังคับบัญชา เธอก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว ไปหาเพื่อนร่วมงานของเธอเถอะ เดี๋ยวคนของสำรัดจัดการภัยพิบัติที่จะมาเพิ่มจะมารับหน้าที่เฝ้าระวังบริเวณนี้ พื้นที่ลี้ลับไม่ใช่หน้าที่ของสำนักตรวจการและแผนกผู้ช่วยตรวจการ ถึงเวลาผู้บังคับบัญชาของเธอจะแจ้งให้ถอนกำลังแล้ว"
"ได้ครับ"
หลี่จิ้งพยักหน้า
ที่เขาอยู่บนหาดทราย ก็เพื่อรอเฉินจิ้งออกมาเป็นหลัก
ได้รับการดูแล เขาในฐานะรุ่นน้อง ย่อมต้องให้ความสำคัญไม่ใช่หรือ?
เมื่อคนออกมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ที่นี่คนเดียวอีก
...
หลังจากลาเฉินจิ้ง หลี่จิ้งก็พบลู่หยางเฉิงและอี้ซิวจู่แถวนั้น
เมื่อเห็นหลี่จิ้งมาหา ลู่หยางเฉิงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
"พี่ใหญ่ นายออกมาสักที! พวกเรารอนายนานมาก! "
พูดพลางถามด้วยความอยากรู้
"ข้างในเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมหัวหน้าสำนักตรวจการเป่ยเฉิงมาไม่พอ ยังเรียกคนจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสำนักจัดการภัยพิบัติมาอีก?"
"ก็ไม่มีอะไรมาก แค่พบพื้นที่ลี้ลับขนาดเล็กน่ะ"
หลี่จิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
"พื้นที่ลี้ลับ!?"
ลู่หยางเฉิงตาโต
อี้ซิวจู่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามว่า
"งั้น ปีศาจก็หลุดออกมาจากพื้นที่ลี้ลับ?"
"อืม"
หลี่จิ้งรับคำ แล้วเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ทั้งสองคนฟัง
อี้ซิวจู่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็พูด
"ฉันขอลาไปทำธุระก่อน"
"อย่าลืมบอกหัวหน้าคงด้วยล่ะ"
หลี่จิ้งตอบอย่างเรียบๆ
"อืม"
อี้ซิวจู่รับคำ แล้วลอยขึ้นไปในอากาศ
ลู่หยางเฉิงเงยหน้ามองเขาลอยจากไป แล้วหันมามองอย่างแปลกใจ
หลี่จิ้งเห็นดังนั้นก็โบกมือ บอกว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก
อี้ซิวจู่ขอลาไปก่อน ชัดเจนว่าเป็นเพราะรู้รายละเอียดทั้งหมดแล้ว และตั้งใจจะไปหาภรรยาม่ายของผู้เสียชีวิตเมื่อวาน เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องพูด
ทำงานร่วมกับอี้ซิวจู่มานาน เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายภายนอกดูเย็นชาแต่ภายในอบอุ่นและเป็นคนใจร้อน
ที่เขาเล่ารายละเอียด ก็เพราะรู้ว่าอี้ซิวจู่สนใจเรื่องพวกนี้
เรื่องพื้นที่ลี้ลับ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสำนักจัดการภัยพิบัติก็เคลื่อนไหวแล้ว พรุ่งนี้เช้าข่าวคงกระจายไปทั่ว
ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตสองราย คดีจมน้ำถูกคลี่คลาย สำนักตรวจการจะต้องประกาศสถานการณ์บางส่วน
...
พริบตาเดียว เวลาก็มาถึงเที่ยงคืน
กำลังเสริมของสำนักจัดการภัยพิบัติยังไม่มา อาจจะติดขัดด้วยปัจจัยบางอย่าง
แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางการเลิกงานตามเวลาของหลี่จิ้ง ลู่หยางเฉิง และสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยลาดตระเวนที่เก้า
แผนกผู้ช่วยตรวจการเลิกงานตรงเวลาเสมอ
ส่วนสิงเฉิงและเพื่อนร่วมงานจากสำนักตรวจการที่เฝ้าอยู่ข้างนอกสวนน้ำไม่โชคดีเท่า ก่อนที่คนของกรมจัดการภัยพิบัติจะมาถึงและรับช่วงต่อ พวกเขายังต้องอยู่เฝ้าที่นี่
บินกลับมาถึงวิลล่า หลี่จิ้งพบว่าไฟในบ้านยังเปิดอยู่
เขาลังเลอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือผลักประตูเปิด
พอเปิดประตู เขาก็เห็นเฉินอวี่หรานนอนพิงโซฟาอย่างสบายๆ กินพิซซ่าดูซีรีส์อยู่
จีชิงไม่อยู่ชั้นล่าง ส่วนเต้าหูเหม็นก็นอนอย่างว่าง่ายในบ้านหมาของมัน
ได้ยินเสียงหลี่จิ้งเปิดประตู เต้าหูเหม็นเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แต่ก็หมดอารมณ์ก้มหัวลง ไม่ได้กระดิกหางวิ่งมาต้อนรับเหมือนทุกครั้ง
เห็นได้ชัดว่ามันต้องทำอะไรผิดจนโดนเฉินอวี่หรานจัดการมา ตอนนี้กำลัง "ทบทวนตัวเอง" อยู่
เฉินอวี่หรานบนโซฟาเหลือบเห็นหลี่จิ้งกลับมา ก็ยกมือทักทาย
"ฉันซื้อพิซซ่ามากินมื้อดึก กินด้วยกันไหม?"
"ได้"
หลี่จิ้งยิ้มและเดินไปนั่งลง
กลับบ้านมามีของกินมื้อดึกรออยู่ ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
หยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งมากิน หลี่จิ้งมองเฉินอวี่หรานที่ทำงานล่วงเวลาสามวันสามคืนแล้วหยุดพักสามวันจนดูเหมือนจะติดใจ
"คืนนี้ฉันเจอลุงด้วย"
"ลุง?"
เฉินอวี่หรานหันมามองอย่างสงสัย
เห็นชัดว่าเธอยังไม่เข้าใจ หลี่จิ้งจึงพูดเบาๆ
"พ่อของเธอ"
"..."
เฉินอวี่หรานชะงักไป พิซซ่าในมือก็ไม่น่ากินอีกต่อไป
ซีรีส์ที่กำลังถึงฉากสำคัญก็ไม่น่าดูเท่าไรแล้ว
ถอนหายใจอย่างหนักอกหนักใจ เฉินอวี่หรานลุกขึ้นนั่งและปิดทีวี
"ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวมาหานายแล้วใช่ไหม?"
"เรื่องนี้ จะพูดแบบนั้นก็ได้"
หลี่จิ้งยักไหล่ แล้วเล่าเรื่องพื้นที่ลี้ลับให้ฟัง
รู้ว่ามีพื้นที่ลี้ลับปรากฏ เฉินอวี่หรานไม่ได้สนใจเท่าไร พูดเสียงเบา
"พ่อฉัน... พูดอะไรแปลกๆ กับนายไหม?"
"ไม่มี ลุงเป็นคนดีมาก"
หลี่จิ้งตอบ ไม่ได้เล่ารายละเอียด
ที่เขาพูดเรื่องนี้ก็แค่อยากให้เฉินอวี่หรานรู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะนินทา
หลี่จิ้งไม่พูด เฉินอวี่หรานก็รู้สึกอึดอัด
พ่อย่อมรู้จักลูกสาว
แล้วในฐานะลูกสาว เธอจะไม่รู้จักพ่อของตัวเองได้อย่างไร?
มองดูหลี่จิ้งที่มีสีหน้าเรียบเฉย เฉินอวี่หรานอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ซักไซ้ต่อ
"เมื่อนายได้เจอพ่อฉันแล้ว มีบางเรื่องที่เราควรพูดให้ชัดเจน"
"สบายใจได้ ฉันไม่ได้สนใจเธอหรอก"
หลี่จิ้งพูดอย่างตรงไปตรงมา
"..."
เฉินอวี่หราน
อยู่ร่วมห้องกันมาเกือบครึ่งเดือน หลี่จิ้งเป็นคนแบบไหน เธอเข้าใจดี
โอกาสที่เขาจะได้รับอิทธิพลจากพ่อของเธอนั้นต่ำมาก
แต่เขาเรียก "ลุง" ได้คล่องปรื๋อ ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงอยากจะพูดให้ชัดเจน
ใครจะคิดว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก หลี่จิ้งก็สวนกลับมาเสียแล้ว
พูดจบ ยังทำให้เธอรู้สึกเจ็บใจอีก
ถ้าเธอเป็นคนพูดเอง กับการที่เขาสวนกลับมาแบบนี้ มันคนละเรื่องกัน
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินอวี่หรานก็จ้องมองด้วยสายตาคมกริบใส่เขา
"พิซซ่าเย็นแล้วไม่อร่อย ฉันอยากกินบะหมี่"
"ได้ เดี๋ยวฉันทำบะหมี่ให้เธอกิน"
หลี่จิ้งไม่ลังเลเลย คาบพิซซ่าลุกขึ้น
การตรงไปตรงมาไม่ใช่นิสัยของเขา
ประโยคเมื่อกี้ จริงๆ แล้วเป็นการแก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ กับเฉินอวี่หราน
ถ้ารู้แต่แรกว่าพ่อของเธอเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการเขตเป่ยเฉิง เขาก็คงเตรียมใจไว้บ้างไม่ใช่หรือ?
เฉินอวี่หรานคงรู้ว่าเขาแกล้งแก้แค้น ตอนนี้เธอกลับมาเอาคืนบ้าง เขาควรแสดงความหวาดกลัวบ้าง
อย่างน้อย ก็ต้องให้โอกาสคนอื่นได้แก้ตัว
ทำบะหมี่แค่ชามเดียว ไม่เสียเวลามาก
ถ้าใช้เรื่องนี้จบเรื่องได้ ก็จะดีที่สุด
เพราะหลี่จิ้งถือสุภาษิตที่ว่า จะขัดใจอะไรก็ได้ แต่อย่าขัดใจผู้หญิง