บทที่ 43 เรือดำน้ำลึกลับ
บทที่ 43 เรือดำน้ำลึกลับ
เช้าตรู่ หยางเมิ่งขับเรือเกี๊ยวพาเหยี่ยอวี่ลี่เข้าเมือง
เมื่อวานเหยี่ยอวี่ลี่ได้รับโทรศัพท์จากฟางหรานหราน ซึ่งเพิ่งกลับจากดูคอนเสิร์ต โรงเรียนกำลังจะเปิดเทอม เหยี่ยอวี่ลี่จึงวางแผนพาฟางหรานหรานมาเที่ยวเกาะสองวันก่อนไปเรียน
เสี่ยวเผิงนั่งคาบกล้องยาสูบอยู่ริมท่าเรือ ทำสองอย่างไปพร้อมกันอย่างสบายๆ: ทั้งให้อาหารเจ้าตูบด้วยเนื้อปลาที่หั่นไว้ และใช้จิตแยกร่างสำรวจใต้ทะเลเพื่อหาซากเรือ
เป้าหมายของเสี่ยวเผิงคือร่องลี่ชิงหลี่เย่า แม้ทั่วโลกจะสำรวจทะเลลึก แต่มีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่ถูกสำรวจ และมักเป็นเหวทะเลลึกเกินหมื่นเมตร เช่น มาเรียนา ตองกา ญี่ปุ่น และคูริล แต่ร่องเหวชิงหลี่เย่าที่ลึกไม่ถึง 5,000 เมตรกลับถูกมองข้ามไม่เคยมีใครสำรวจ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเผิงสังเกตสภาพในร่องเหวอย่างจริงจัง
หลังค้นหาครึ่งวัน เขาพบแต่ซากเรือประมงไร้ค่า "ไม่ใช่ว่ามีซากเรือจมทั่วโลกสามล้านลำหรอกหรือ ทำไมเจอแต่ของพรรค์นี้?" เสี่ยวเผิงผิดหวัง ขยี้ตาเหนื่อยล้าจากการควบคุมร่างจิต
แต่ฟ้าชอบเล่นตลก ขณะที่เสี่ยวเผิงคิดจะพัก เขาก็พบบางสิ่ง "นั่นมัน...เรือดำน้ำ?" เขามองก้อนดำในทะเลและยืนยันตัวตนของมัน แต่กลับผิดหวังเมื่อรู้ว่าเป็นเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นของยุคปัจจุบัน จะมีอะไรมีค่า? คงไม่อาจขุดเอาตอร์ปิโดไปขายได้
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเผิงยังสำรวจเรือดำน้ำอย่างละเอียด เห็นได้ว่าจมอยู่ที่นี่มานาน ทั้งลำเต็มไปด้วยเพรียงและหอย กลายเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ปลาหลายชนิดอาศัยอยู่รอบๆ
ที่แปลกคือ หน้าห้องบังคับการมีปืนกลติดตั้งอยู่ และด้านข้างมีธงตะวันอุทัยของกองทัพเรือญี่ปุ่น ที่หัวเรือมีหมายเลข 37
แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านทหาร แต่เสี่ยวเผิงเคยอ่านบทความทางทหารมามาก จึงรู้ที่มาของเรือดำน้ำลำนี้ - คือเรือดำน้ำลิว-37 ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งออกเดินทางในปี 1944 แล้วหายสาบสูญ ที่แท้จมอยู่ที่นี่
ใต้เรือมีรอยแยก น่าจะเป็นถังอับเฉา เสี่ยวเผิงคาดว่าเรือคงชนโขดหิน ทำให้ถังอับเฉาเสียหาย เรือดำน้ำควบคุมการลอยตัวด้วยการปรับปริมาณน้ำในถัง เมื่อถังเสียหายทำให้ลอยขึ้นไม่ได้จึงจมลง
ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ เรือดำน้ำลิว-37 ที่หายสาบสูญก็นอนนิ่งอยู่บนไหล่ทวีปในร่องเหวชิงหลี่เย่า ลึก 300 เมตรจากผิวน้ำ
ด้วยความอยากรู้ เสี่ยวเผิงขับเรืออาราเล่ไปเหนือซากเรือดำน้ำ ดำลงไปจนถึงใกล้ๆ เมื่อเข้าใกล้พบว่าความเสียหายหนักกว่าที่คิด นอกจากรอยแยกด้านข้าง ยังมีรูทะลุหลังห้องบังคับการถึงห้องโดยสาร เสี่ยวเผิงไม่ลังเลที่จะมุดเข้าไปในเรือผ่านรูนั้น
เหมือนที่คาด ในเรือมีแต่โครงกระดูก ไม่มีอะไรเลย เสี่ยวเผิงผิดหวัง พอดีเห็นห้องกัปตัน จึงว่ายเข้าไป ในห้องมีโครงกระดูกหนึ่ง ข้างๆ มีดาบสั้น ดูท่าคงฆ่าตัวตายด้วยการกรีดท้อง
สมัยนั้นชาวญี่ปุ่นว่างเมื่อไหร่ก็กรีดท้อง การกรีดท้องซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เสื่อมเสียที่สุดของญี่ปุ่น กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "ความพ่ายแพ้" หรือ "การลงโทษ" แต่ก่อนการกรีดท้องเป็นวิธีที่อนุญาตให้ชนชั้นซามูไรเท่านั้น ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ "วิธีตายอย่างมีเกียรติ" นี้ ในยุคเซ็งโกกุ มีเพียงเซ็นโนะ ริคิว ผู้เป็นเซียนชาเท่านั้นที่ได้รับเกียรติให้กรีดท้องในฐานะพ่อค้า
"ไอ้พวกนี้ฆ่าตัวตายก็ยังต้องทำให้ดูมีเกียรติ พวกญี่ปุ่นช่างวิปริตจริงๆ..." เสี่ยวเผิงมองรอบๆ ใต้น้ำ ไม่เห็นอะไรมีค่า จึงผิดหวังอย่างสิ้นเชิง
"เสียแรงเปล่า!" เขารู้สึกหงุดหงิด กำลังจะหันหลังกลับ แต่สังเกตเห็นประตูเล็กๆ แง้มอยู่ด้านข้างห้องกัปตัน พอเปิดดูก็ต้องยิ้ม
"เฮ้ พวกผีญี่ปุ่นนี่ก็น่าสนใจ ขับเรือดำน้ำยังมีความเชื่องมงายอีก" ในห้องเล็กมีตู้กระจกศักดิ์สิทธิ์ ข้างในบูชาธนูยาวและดาบญี่ปุ่น
ธนูยาวจริงๆ ตัวคันธนูยาวกว่าสองเมตร เป็นธนูของยักษ์หรืออย่างไร? ตัวคันธนูทำจากไม้ไผ่ลวดลายวิจิตร เห็นได้ชัดว่าเป็นงานฝีมือประณีต ข้างๆ มีกระบอกใส่ลูกธนูทำจากหนัง ด้านนอกมีลายดอกซากุระร่วง
ส่วนดาบญี่ปุ่นไม่มีอะไรพิเศษ เป็นดาบไทโตะธรรมดายาวหนึ่งเมตร ที่ฮิตสึคาชิ (ที่กันมือ) มีภาพสลักผู้หญิงแบบอุคิโยะ ตัวดาบสลักดอกเบญจมาศ 16 กลีบ ด้ามดาบจารึกอักษรสามตัว "โกโทบะ"
เสี่ยวเผิงทุบกระจกตู้ศักดิ์สิทธิ์ทันที หยิบธนูและดาบออกมา เห็นกล่องไม้ใหญ่ในตู้ก็ยกออกมาด้วย อย่างน้อยก็ไม่ได้กลับมือเปล่า เขายิ้มพลางว่ายกลับเรืออาราเล่
ธนูยาวกับดาบไทโตะ เสี่ยวเผิงไม่สนใจ โยนลงเรือไปเฉยๆ ธนูยาวกว่าสองเมตรจะใช้อย่างไร? เป็นแค่ของประดับ ส่วนดาบไทโตะ เขาเป็นคนหัวรุนแรง ใครจะรู้ว่าสมัยนั้นคนจีนตายด้วยคมดาบนี้เท่าไหร่? เขาจึงไม่ชอบ แต่ก็เก็บไว้เป็นของที่ระลึกเพราะได้มาจากใต้ทะเล
สิ่งที่เสี่ยวเผิงสนใจคือกล่องไม้ใหญ่ เพราะเก็บในตู้กระจกจึงสภาพดี เปิดออกพบผ้าสักหลาดอัดแน่น
"คงไม่ใช่ผ้าเก่าทั้งกล่องหรอกนะ? ดูน้ำหนักไม่เหมือน" เขาเปิดผ้าออก พอเห็นของข้างในก็หงุดหงิด
ในกล่องมีขวดเหล้าหลายขวดและกาน้ำชา เขาหยิบขวดเหล้ามาเขย่า ข้างในไม่ว่างเปล่า แต่เขาไม่อยากชิม ใครจะรู้ว่าเหล้าเก็บมานานขนาดนี้จะดื่มได้ไหม ขวดก็ธรรมดา ทรงกลม ปากขวดปิดดินเหนียว เหมือนกระปุกคุกกี้ ติดฉลากสีแดงเขียว เขียนตัวอักษรจีนดั้งเดิมว่า "หลายเหมา" ดูบ้านๆ เสี่ยวเผิงไม่ชอบ โยนทิ้งไปด้านข้าง
แต่กาน้ำชาจื่อซาในกล่องเขาชอบ ทรงแปลกตา ท้องกลม ฝาครึ่งวงกลม พวยกาและหูจับเป็นส่วนโค้งของทรงกลม ดูเรียบง่ายสง่างาม เส้นสายกระชับลื่นไหล ไม่มีลวดลายใดๆ มีแต่ลายเซ็นที่ก้นกาว่า "ชายชราแปดสิบสอง"
"พวกญี่ปุ่นนี่ช่างไม่รู้จักของ เอากาน้ำชาธรรมดามาบูชา ของตลาดนัดชิ้นละสามสิบยังให้ความสำคัญ" เสี่ยวเผิงบ่น "แต่ก็ดีกว่าถ้วยชาใหญ่ของฉันเยอะ" เขายิ่งดูยิ่งชอบ ถือกาน้ำชาเล็กส่องดูซ้ายขวาแล้วกลับไปที่เกาะ
ในตอนที้หยางเมิ่งกับเหยี่ยอวี่ลี่ยังไม่กลับมา เสี่ยวเผิงก็ได้เดินเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงบนโซฟา ชงชาหนึ่งกา คาบกล้องยาสูบเล็กๆ หรี่ตาพักผ่อน
"ลุง ชีวิตคุณสบายจังเลยนะ!" เสี่ยวเผิงเพิ่งจะนอนลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเรียก
เสี่ยวเผิงไม่จำเป็นต้องลืมตาก็รู้ว่าฟางหรานหรานมาแล้ว
และแล้วฟางหรานหรานก็กระโดดโลดเต้นเข้ามาในห้อง ยื่นมือมาบีบจมูกเสี่ยวเผิง "ยังจะแกล้งหลับอีก? กล้องยาสูบยังมีควันลอยอยู่เลย"
เสี่ยวเผิงรีบลืมตา "ซุกซน! ใครบอกว่าฉันแกล้งหลับ? ฉันแค่หลับตาพักผ่อนเฉยๆ!"
ฟางหรานหรานกับหยางเมิ่งเดินเข้ามาในห้อง หยางเมิ่งเห็นท่าทางสนิทสนมระหว่างฟางหรานหรานกับเสี่ยวเผิง จึงแอบดึงตัวเสี่ยวเผิง "เฮ้ย นายนี่โหดร้ายจริงๆ เลยนะ? จะเอาทั้งแม่ทั้งลูกเลยเหรอ?"
เสี่ยวเผิงได้ยินแล้วแทบจะกระอักเลือด "เฮ้ย นายคิดว่าช่วงนี้ฝึกยืนม้าสบายแล้วสินะ? วันนี้เริ่มเลย ยืนหกชั่วโมง!"
หยางเมิ่งพอได้ยินก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "พี่เผิง ผมขอโทษแล้วไม่ได้หรือครับ?"
"ไป ไปยืนม้าซะ! ไม่งั้นอย่าหวังว่าฉันจะสอนนายอีก!" เสี่ยวเผิงไม่ยอมอ่อนข้อ
หยางเมิ่งถอนหายใจแล้ววิ่งไปยืนม้าที่ชายหาด
ฟางหรานหรานถามอย่างสงสัย "พี่เมิ่งไปไหนเหรอคะ?"
เสี่ยวเผิงพูดอย่างรำพึง "เขาไปทบทวนชีวิต ไปคิดว่าจะหลีกเลี่ยงหนทางแห่งความตายยังไง"
ฟางหรานหรานฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีของเธอเสียไป เธอหยิบกล้อง DSLR ออกมาให้เสี่ยวเผิงดูภาพที่เธอถ่ายในคอนเสิร์ต เล่าเรื่องราวที่เธอไปดูคอนเสิร์ตอย่างมีความสุข
พูดตามตรง เสี่ยวเผิงไม่สนใจเรื่องที่ฟางหรานหรานเล่าเลยสักนิด
เสี่ยวเผิงไม่ใช่แฟนคลับ เขาไม่สนใจดาราพวกนี้เลยจริงๆ เหยี่ยอวี่ลี่ก็เช่นกัน แต่ทั้งสองก็ยังแสร้งทำเป็นสนใจฟังเรื่องที่ฟางหรานหรานเล่า
เสี่ยวเผิงหยิบกาน้ำชาเล็กๆ ขึ้นมา เพิ่งจะเตรียมจะดื่มชา จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังเรียกเขาอยู่ในสมอง
พูดให้ถูกต้อง นั่นไม่ใช่การเรียก แต่เป็นความรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่าง เป็นอารมณ์ที่เร่งรีบและตื่นเต้น
เสี่ยวเผิงก็รู้สึกสงสัย พยายามรับรู้ที่มาของอารมณ์นี้ หลังจากความรู้สึกมึนงงชั่วครู่ จิตใจของเสี่ยวเผิงก็พลันดำดิ่งลงสู่ท้องทะเล
เสี่ยวเผิงสำรวจสภาพแวดล้อม พบว่าเจ้าตูบกำลังนำครอบครัวฉลามหนูของมัน ไล่ล่าฝูงปลาใหญ่อย่างสุดกำลัง ฝูงปลาใหญ่ว่ายน้ำเร็วมาก กำลังพยายามหนีสุดชีวิต ทิศทางที่หนีไปคือฟาร์มปลา
เสี่ยวเผิงขำ นี่เจ้าตูบกำลังต้อนปลาเข้าบ่อนี่เอง ความรู้สึกที่รับรู้เมื่อครู่ก็คืออารมณ์ของเจ้าตูบ
เอ๊ะ ที่แท้วิชาปลุกจิตก็มีผลแบบนี้ด้วย สามารถค้นหาเป้าหมายที่ตนเคยใช้เวทมนตร์ใส่ได้ นี่มันสะดวกจริงๆ
แต่เสี่ยวเผิงก็ยังงงอยู่นิดหน่อย เจ้าตูบก็เคยต้อนฝูงปลาเข้าบ่อมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้เลย นี่มันปลาอะไรกัน? ถึงทำให้เจ้าตูบตื่นเต้นขนาดนี้?