บทที่ 226 ปากหวานจนน้ำตาลเรียกพี่
บทที่ 226 ปากหวานจนน้ำตาลเรียกพี่
เวลานั้นเหมือนกับสายน้ำ บางครั้งก็ไหลเร็ว บางครั้งก็เชื่องช้า
ปี 2011 ดูเหมือนเวลายังคงไหลเอื่อย ไม่รีบร้อนเหมือนยุคหลัง ๆ ที่สามปีผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เราแทบไม่ได้ทำอะไร
แต่ถึงแม้จะช้าหรือเร็ว เวลาไม่เคยหยุดเดินไปข้างหน้า ช่วงเวลาของวัยเยาว์นี้ช่างเปล่งประกายและมีค่าเหลือเกิน ราวกับว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่เฉินเฉิงคิดถึงบ่อยที่สุดในคืนที่หวนฝันถึงอดีต แม้ชีวิตตอนนี้ของเขาจะเต็มไปด้วยการเรียนและการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แต่เฉินเฉิงกลับรู้สึกว่าวันคืนผ่านไปเร็วเกินกว่าจะเก็บเกี่ยวทุกสิ่งอย่างที่ตั้งใจไว้
ตั้งแต่เริ่มชีวิตใหม่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว จนตอนนี้ก็ใกล้จะถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว การเดินทางของเขาผ่านฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูร้อนของปีต่อมาโดยไม่รู้ตัว
วันนี้เป็นวันที่ 1 มิถุนายน และบัตรประจำตัวสอบก็เพิ่งแจกให้เมื่อบ่ายวานนี้ เฉินเฉิงถูกจัดให้สอบที่โรงเรียนมัธยมอันดับสอง ส่วนเจียงลู่ซีถูกจัดสอบที่โรงเรียนอันดับสี่ วันที่สอบใกล้เข้ามาทุกที เหลือเวลาเพียงหกวันก่อนการสอบเริ่มขึ้น
เรื่องราววุ่นวายที่ซุนฉีเคยพาคนไปปิดทางเจียงลู่ซีแต่ถูกเฉินเฉิงตบไปหนึ่งทีนั้นก็จางหายไปแล้ว ทุกคนหันกลับมาทุ่มเทกับการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด
ก่อนสอบ โรงเรียนจะให้หยุดสามวันเพื่อให้นักเรียนกลับไปพักผ่อน ดังนั้น เวลาที่พวกเขาจะได้ใช้เรียนในโรงเรียนก็เหลืออีกเพียงสามวันสุดท้าย
การทบทวนของเฉินเฉิงใกล้เสร็จสิ้นแล้ว จากการที่เจียงลู่ซีคอยช่วยออกแบบข้อสอบให้เขาทบทวนตลอด รวมถึงในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอก็ทบทวนให้อีกสองวันเต็ม ๆ ทำให้เฉินเฉิงสามารถเร่งทำให้เนื้อหาต่าง ๆ ทันตามที่ต้องการ
แต่เมื่อเวลามีให้ เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้เสียเปล่า
เจียงลู่ซีวางแผนที่จะให้เฉินเฉิงทบทวนรอบสองหลังจากที่ทำรอบแรกเสร็จวันนี้แล้ว ซึ่งการทบทวนแค่รอบเดียวคงไม่พอ เพราะเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่เริ่มทบทวนมาเป็นปีแล้ว และพวกเขาได้ทบทวนไปหลายรอบ เฉินเฉิงอาจจะมีเวลาไม่มากนัก แต่การทบทวนสองรอบจะช่วยให้เขาไม่พลาดในหัวข้อที่สำคัญ เจียงลู่ซีเองก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้เร่งทำมากกว่านี้ตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นเธออาจช่วยเขาทบทวนได้ถึงสามรอบก่อนถึงวันสอบ
ความตึงเครียดทำให้เฉินเฉิงรู้สึกกดดันไปด้วย เพราะตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้เขาทุ่มเทไปมาก เขาย่อมอยากได้ผลสอบที่คุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมด
เช้านี้เฉินเฉิงตื่นแต่เช้าตรู่ ตีห้า เขาก็ตื่นขึ้นแล้ว ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็วิ่งตรงมาที่โรงเรียนทันที พอมาถึงก็เห็นว่ายามเฝ้าประตูอย่างลุงโจวยังไม่ตื่นดี แต่เฉินเฉิงไม่รอช้า เข้าไปปลุกให้ลุกขึ้นมาเปิดประตู แถมยังยื่นบุหรี่ราคาแพงให้เป็นน้ำใจหนึ่งซองอีกด้วย
ลุงโจวที่ถูกปลุกขึ้นมากะทันหัน แม้ตอนแรกจะดูหงุดหงิดนิดหน่อย แต่พอเห็นบุหรี่ที่เฉินเฉิงยื่นให้ หน้าก็ยิ้มจนเห็นฟันเหลืองเต็มปาก บุหรี่ยี่ห้อแพนด้าซองละห้าสิบหยวนนี่ไม่ใช่ของถูก ๆ เลย ยิ่งกับคนที่ได้ค่าจ้างเพียงหนึ่งถึงสองพันหยวนต่อเดือนอย่างลุงโจวแล้ว ปกติคงได้แต่สูบบุหรี่ซองละห้าหยวน
เฉินเฉิงเดินไปที่ห้องเรียนแล้วเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน
เขาอ่านหนังสือไปได้สักยี่สิบนาที ก็เป็นเวลาประมาณตีห้าครึ่ง เจียงลู่ซีก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
“มาทำไมเช้าขนาดนี้” ทั้งสองหันไปสบตากัน และเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
เฉินเฉิงเองก็ตกใจที่เจียงลู่ซีมาถึงเช้าขนาดนี้ เพราะประตูหอพักมีเวลาเปิดปิดเป็นเวลา แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดประตูเลย
เจียงลู่ซีเองก็แปลกใจที่เห็นเฉินเฉิงมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ เพราะปกติแล้วประตูโรงเรียนจะไม่เปิดก่อนตีห้าครึ่ง
“พอฉันลงไปดูที่ชั้นล่าง ก็เห็นว่าประตูหอพักแค่ปิดไว้แต่ไม่ได้ล็อก ก็เลยลองเปิดออกมา” เจียงลู่ซีตอบ
นั่นดูจะเป็นสไตล์ของเธอ เพราะใกล้ถึงวันสอบใหญ่แล้ว โรงเรียนเลยไม่เข้มงวดเรื่องเวลามากนัก แต่ก็คงไม่อยากปล่อยให้นักเรียนต้องฝืนร่างกายเกินไปด้วย จึงไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าให้มาได้ตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ทว่าเจียงลู่ซีตั้งใจมาก ตื่นเช้ามาแล้วลงไปดูว่าประตูเปิดหรือยัง
“แล้วนายล่ะ?” เจียงลู่ซีถามเขากลับ
“ฉันปลุกลุงโจวให้มาเปิดประตู แต่แกดูท่าทางจะยอมตื่นเช้าอยู่หรอก” เฉินเฉิงตอบพร้อมรอยยิ้ม
ถ้าทุกเช้าแกได้บุหรี่ซองละห้าสิบหยวน เป็นค่าปลุกแกคงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเลย
“ทำไมล่ะ?” เจียงลู่ซีถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็เพราะฉันให้บุหรี่แกไปหนึ่งซอง” เฉินเฉิงตอบ
“นายสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?” เจียงลู่ซีขมวดคิ้ว
“มีอีกไหม?” เจียงลู่ซีถาม
“จะเอาไปทำไม?” เฉินเฉิงมองเธออย่างงุนงง
“เอามานี่” เจียงลู่ซีพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาหาเขา
“ไม่มีแล้ว แค่ซองเดียวเท่านั้น” เฉินเฉิงพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เจียงลู่ซีจ้องเขานิ่ง ๆ แล้วยื่นมือรออยู่เช่นเดิม เฉินเฉิงจึงจำใจหยิบซองบุหรี่อีกซองออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ
“ยังมีอีกไหม?” เจียงลู่ซีถามต่อ
“ไม่มีแล้ว” เฉินเฉิงส่ายหน้า
“ส่งให้หมดนะ โรงเรียนห้ามนำบุหรี่เข้ามา สูบก็ไม่ได้” เจียงลู่ซีพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ถ้าเธอคอยห้ามปรามแบบนี้ ฉันคงเลิกบุหรี่ได้จริง ๆ” เฉินเฉิงหัวเราะเบา ๆ
ช่วงนี้เขาสูบบุหรี่น้อยลงจริง ๆ ชาติที่แล้วตอนอยู่มัธยม เขากับโจวยวนชอบไปแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำเกือบทุกคาบพัก แต่ตอนนี้เขาแทบไม่ได้สูบเลย เพราะทุ่มเทเวลาให้การเรียนทั้งหมด ถ้าไม่ได้ไปห้องน้ำก็จะไม่ลงจากชั้นเลย และถ้าเจียงลู่ซีจับได้ เธอก็จะยึดไว้หมด ทำให้เขาแทบไม่ได้สูบบุหรี่
“ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?” เจียงลู่ซีพูดต่อ “บุหรี่มีโทษต่อสุขภาพนะ บนซองก็เขียนไว้ชัดเจน ไม่เข้าใจเลยว่านายจะชอบสูบไปทำไม”
“ก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าหลังจบการศึกษาแล้วเธอไม่อยู่เตือนฉันล่ะ? พอไม่มีเธออยู่คอยเตือน
ฉันก็คงกลับไปสูบเหมือนเดิมอีก” เฉินเฉิงแกล้งพูดพลางยิ้ม
“ตอนนี้ที่ฉันห้ามปรามนายได้เพราะฉันเป็นหัวหน้าห้อง และนายก็เป็นนักเรียนห้องสาม แต่หลังจากจบการศึกษาไปแล้ว ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามนายอีก นายจะสูบก็ไม่เกี่ยวกับฉัน” เจียงลู่ซีตอบเสียงเรียบ
“พูดตัดบัวไม่เหลือใยจริงนะ” เฉินเฉิงหัวเราะ
เจียงลู่ซีได้ยินดังนั้นก็เม้มปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ท่องหนังสือเถอะ” เจียงลู่ซีพูดขึ้น
“อืม” เฉินเฉิงพยักหน้า
เวลาช่วงเช้านั้นมีค่ายิ่งนัก การใช้เวลาช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด ทั้งสองเริ่มต้นท่องจำหนังสือของตนเอง
หลังจากจบการเรียนช่วงเช้า พวกเขาก็ลงไปกินข้าวด้วยกัน
ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ฝนตกแทบทุกวัน แม้ว่าหลังจากฝนห่าใหญ่ครั้งล่าสุดนี้จะมีหลายวันที่อากาศแจ่มใส แต่มักมีฝนตกปรอย ๆ ทุกสองสามวัน เป็นฤดูแห่งสายฝนจริง ๆ ทางเหนือยังดีหน่อย แต่ถ้าเป็นทางใต้ ฝนที่ตกมากช่วงเดือนมิถุนายนอาจสร้างปัญหาในการสอบได้
วันนี้ก็เช่นกัน เช้า ๆ อากาศยังดีอยู่ แต่ตอนนี้ฝนเล็ก ๆ ก็ตกลงมาแล้ว พอลมเช้าพัดผ่านมาก็เย็นเล็กน้อย
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เฉินเฉิงก็กางร่มและเดินกลับไปที่ตึกเรียนพร้อมกับเจียงลู่ซี
“ตอนวันที่ 3 โรงเรียนให้หยุด เธอจะกลับบ้านหรืออยู่หอพักที่โรงเรียน” เฉินเฉิงถามขึ้น
“ฉันกะว่าจะกลับบ้านสักหน่อย แล้ววันที่ 7 ตอนสอบค่อยมาใหม่” เจียงลู่ซีตอบ “สอบตอนเก้าโมงเช้านี่เนอะ ถ้าปั่นจักรยานมาชั่วโมงเดียวก็ถึงสนามสอบ ไม่สายแน่นอน”
“อืม” เฉินเฉิงไม่คัดค้านอะไร เพราะถึงเวลานั้นจริง ๆ เขาก็ตั้งใจจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับเธอจากหมู่บ้านอยู่ดี แม้ว่าสอบจะเริ่มเก้าโมง ถ้าปั่นจักรยานตอนเช้าเธอจะไม่สายก็จริง แต่เขาไม่อยากให้เธอต้องเหนื่อยขนาดนั้นก่อนไปสอบ
“ตั้งแต่ยายเสียไปก็ไม่ได้กลับไปนานแล้ว ต้องกลับไปไหว้และเผากระดาษให้ยายหน่อย” เจียงลู่ซีพูดขึ้น “เพราะต้องเรียน เลยไม่ได้ทำพิธีครบรอบเจ็ดวันให้ยายด้วย”
ที่นี่เขามีธรรมเนียมทำพิธีครบรอบเจ็ดวันหรือการทำ “ทำเจ็ด” เป็นการจัดพิธีทำบุญให้ผู้เสียชีวิตตั้งแต่วันแรกที่ฝัง จากนั้นทำบุญทุกเจ็ดวันเป็นครั้งต่อเนื่องไปจนถึงครบเจ็ดครั้งหรือสี่สิบเก้าวัน
“ทุกวันนี้บ้านไหนเขายังทำเจ็ดกันอยู่ พอครบสามวันก็จัดพิธีเสร็จกันทั้งนั้น เธอพูดถึงทำเจ็ดแบบโบราณแล้ว สมัยก่อนผู้ใหญ่เสียเขายังมีไว้ทุกข์สามปี เธอจะไม่ทำอะไรแล้วไว้ทุกข์สามปีเลยไหมล่ะ?” เฉินเฉิงพูดยิ้ม ๆ
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พอมีวันหยุดให้เวลากลับไปบ้านทั้งที ก็ต้องไปเผากระดาษให้ยายสักหน่อย” เจียงลู่ซียืนยัน
“ฉันจะไปด้วย” เฉินเฉิงพูด “ถ้าจะเผากระดาษ ก็ต้องมีส่วนของฉันด้วยสิ”
“จะมีส่วนของนายได้ยังไง?” เจียงลู่ซีหันไปมองเขาด้วยความสงสัย
“ก็อีกหน่อยเราจะได้เป็นคนครอบครัวเดียวกันไงล่ะ” เฉินเฉิงตอบ
เจียงลู่ซีเม้มปาก ไม่ตอบอะไร ก็เขาชอบเอาเปรียบเธอแบบนี้
“ตกลงตามนี้ วันที่ 3 ตอนบ่ายเธอหยุด ฉันจะพาเธอกลับบ้าน จักรยานก็จอดอยู่ที่บ้านเธอ ขืนเธอจะเดินกลับเองก็เดินไม่ไหวหรอก ฉันจะขี่รถไปส่งเธอกลับบ้านพร้อมกับไปไหว้ย่าของเธอด้วย” เฉินเฉิงพูดยืนยัน
“จริง ๆ ถึงไม่ต้องเกี่ยวโยงอนาคตอะไร ฉันก็ยังอยากไปไหว้ย่าของเธออยู่ดีนะ ย่าเธอเป็นคนดีจริง ๆ” เฉินเฉิงพูดขึ้น
เขาเองแทบไม่ได้พบหน้ายายของเจียงลู่ซีเท่าไรนัก แต่ก็รู้ว่าท่านเป็นคนดี
“นายรู้ได้ยังไงว่ายายเป็นคนดี?” เจียงลู่ซีถามด้วยความสงสัย เธออยากรู้ว่าเฉินเฉิงมองออกได้ยังไง
“ก็ดูสิ เธอที่เติบโตมาได้ดีแบบนี้ ยายของเธอจะไม่เป็นคนดีได้ยังไงล่ะ?” เฉินเฉิงยิ้มตอบ
“ปากหวานขนาดนี้ พูดยังไงฉันก็ไม่เชื่อนายหรอก” เจียงลู่ซีหน้าแดงเล็กน้อย
“ต่อให้พูดจนปากฉีกเป็นสองส่วนก็คงหลอกเธอไม่ได้หรอก โลกนี้มีคนฉลาดแบบเธออยู่ไม่กี่คนหรอก” เฉินเฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
เจียงลู่ซีเห็นสายตาใสซื่อจริงใจของเฉินเฉิง ก็ต้องเบนสายตาหันไปมองทางอื่นแทน เธอจ้องไปที่ทะเลสาบ อันเหอที่อยู่ไม่ไกลนัก ขณะนี้สายฝนบางเบาตกลงบนผืนน้ำ เกิดระลอกคลื่นเล็ก ๆ ปลาบางตัวก็โผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำว่ายไปในทะเลสาบอันเหอไกลออกไป
“ตกลงตามนี้นะ ห้ามแอบกลับเองนะ” เฉินเฉิงพูดย้ำ
“ก็จะให้ฉันขี่จักรยานมานายก็ไม่ให้ ตอนนี้ฉันไม่มีรถกลับบ้านก็ต้องไปกับนายสิ” เจียงลู่ซีตอบ
“ดีนะ คราวนี้ไม่ปฏิเสธอีกแล้ว” เฉินเฉิงพูดพลางยิ้ม
“ก็มันเป็นแบบนั้นนี่นา!” เจียงลู่ซีพูด
เธอต้องการให้เฉินเฉิงไปส่งจริง ๆ เพราะถ้าไม่มีเขาก็ต้องเดินเท้ากลับบ้านซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่เมื่อมีเฉินเฉิงอยู่ทั้งคน เขามีมอเตอร์ไซค์จะพาเธอกลับไปได้ในเวลาไม่นาน แล้วทำไมเธอต้องเดินให้เหนื่อยเองด้วย
ทั้งนี้ ก็เฉพาะเฉินเฉิงเท่านั้นนะ ถ้าเป็นคนอื่น เธอยังเลือกที่จะเดินกลับเองดีกว่า
วันคืนผันผ่าน เวลาเหมือนสายน้ำที่ทำให้หัวใจเกิดคลื่นระลอกในใจ เมื่อระลอกนั้นแผ่ขยายออกไปอย่างเงียบงัน แต่มันกลับมีอิทธิพลไปทั่วทั้งหัวใจ บางครั้งระยะห่างระหว่างคนกับคน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นเช่นนี้เอง
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่คนซึ่งตนเองกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้ กลับค่อย ๆ เปลี่ยนไป เมื่อนานเข้า กลับกลายเป็นคนพิเศษในชีวิต ค่อย ๆ อยู่ในใจจนแทบแยกจากกันไม่ออก
เฉินเฉิงมองไปยังเธอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ใกล้มากจนเขาเพียงก้มหน้าลงก็จะเห็นกระดูกไหปลาร้าของเธอที่ดูน่ามอง ภายใต้เสื้อยืดสีชมพูของเธอ ผมเปียมัดสูงเผยให้เห็นลำคอขาวเนียนของเธอ
ทั้งกระดูกไหปลาร้าที่น่ามอง ลำคอที่เรียวยาวขาวเนียน หรือใบหูเล็ก ๆ ที่น่ารัก รวมถึงใบหน้าไร้ที่ติของเจียงลู่ซีผู้มีความงดงามบริสุทธิ์และทรงเสน่ห์
สิ่งเหล่านี้ เฉินเฉิงมองได้ชัดเจนทั้งหมดในขณะนี้
หากครั้งหนึ่งเฉินเฉิงเคยคิดว่าการจะตามจีบเจียงลู่ซีให้ได้คงต้องรอจนจบมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็อาจต้องรอจนถึงอายุสามสิบ แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าในช่วงมหาวิทยาลัยนี้เอง เขาจะสามารถชนะใจเธอและพาเธอมาอยู่ในอ้อมกอดได้แน่นอน
และเมื่อถึงวันนั้น คงจะเป็นช่วงเวลาที่สายลมอ่อนโยนพัดผ่าน พระจันทร์ที่สว่างสด
ใสก็จะกอดอ้อมเขาไว้อย่างอบอุ่น