บทที่ 218 ความล่าช้า
บทที่ 218 ความล่าช้า
เจียงลู่ซีชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เธอคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เฉินเฉิงซื้อซาลาเปาแล้วเธอจะหยิบซาลาเปาผัก แต่เฉินเฉิงกลับไม่ยอมให้เธอหยิบ
และตอนที่เธอไปซื้อซาลาเปาเมื่อครู่ ป้าก็ยืนยันว่าซาลาเปาไส้เนื้อหมดแล้ว
“ฉันไม่ชอบกินซาลาเปาไส้เนื้อ อันนี้ให้เธอกินเถอะ ฉันกินซาลาเปาผักก็ได้” เจียงลู่ซีกล่าว
“ฉันไม่ได้ต้องการสารอาหารเพิ่มขนาดนั้น อีกอย่างฉันก็เพิ่งกินไปครึ่งลูก และครึ่งนั้นก็อร่อยกว่าลูกนี้เยอะเลย” เฉินเฉิงตอบ
การกินเนื้อเยอะเกินไปก็ไม่ดี แต่การกินเนื้อน้อยเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน
สำหรับครอบครัวที่ฐานะดีหน่อย คงไม่มีปัญหาขาดแคลนเนื้อให้กิน
แต่กับครอบครัวที่ยากจนมาก ๆ เนื้อเป็นของหายาก และอาหารมักเน้นผักที่จืดชืด เพราะโอกาสที่จะได้กินเนื้อมีน้อยเต็มที ครอบครัวที่ยากจนบางครอบครัวจะมีเนื้อกินก็แค่ในช่วงปีใหม่หรือเทศกาลเท่านั้น
ครอบครัวของเจียงลู่ซียากจนอย่างมาก
ตอนที่พ่อแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งพวกเขาจะส่งเงินกลับมาให้ทางบ้านบ้าง ซึ่งเมื่อนั้นคุณย่าของเธอก็จะได้ซื้อเนื้อมาให้ทำเกี๊ยวสักมื้อ
แต่หลังจากที่พ่อแม่ของเจียงลู่ซีจากไป โดยเฉพาะในตอนที่ยังไม่ได้รับเงินค่าชดเชยจากที่ทำงานจริง ๆ แล้ว ก็คงมีเนื้อให้กินแค่ในวันปีใหม่เท่านั้นที่คุณย่าจะซื้อเนื้อมา
จนกระทั่งเจียงลู่ซีได้เป็นติวเตอร์ให้เฉินเฉิง มีรายได้เสริมเดือนละพันหยวน สภาพชีวิตถึงเริ่มดีขึ้น บางครั้งเธอได้กินเนื้อสักมื้อสัปดาห์ละครั้ง
นี่คือปี 2011 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศเริ่มพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรุ่งเรือง แต่ปี 2011 ของทุกคนและทุกครอบครัวก็แตกต่างกันไป
บางคนมีชีวิตสุขสบาย ในขณะที่บางคนยังคงมีชีวิตที่ลำบากอย่างยิ่ง
แม้ว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเฉินเฉิงจะพาเจียงลู่ซีออกไปกินข้าวทุกวัน และเธอได้อาหารดี ๆ ทำให้ร่างกายของเธอดีขึ้นเล็กน้อย แต่สารอาหารที่ขาดหายไปกว่า 10 ปี ไม่อาจเติมเต็มได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่เดือน
นี่คือเหตุผลที่เฉินเฉิงไม่อยากให้เธอไปกินข้าวคนเดียวในโรงอาหาร
เพราะถ้าเธอกินคนเดียวก็คงได้แต่ของราคาถูกและไม่มีคุณค่าโภชนาการ
ตอนเธอไปเติมเงินที่บัตรโรงอาหาร เธอแค่เติมเงินแค่สองร้อยหยวน
ต้องบอกว่าตอนนั้นยังเหลือเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนก่อนจบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เงินแค่สองร้อยหยวนจะพออยู่รอดถึง 30 วันได้ยังไงกัน?
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉิง เจียงลู่ซีถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ก็ซาลาเปาเหมือนกัน จะต่างกันตรงไหน?”
“ทำไมถึงซื่อขนาดนี้นะ?” เฉินเฉิงพูดพร้อมหัวเราะ
เจียงลู่ซียังคงทำหน้างง
พอเห็นท่าทางน่ารักของเธอ เฉินเฉิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ซาลาเปานั่น ครึ่งหนึ่งเป็นของเธอกินไปแล้ว จำกลอนที่ฉันเคยเขียนไหม? ครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง”
“เพราะเธอกินไปครึ่งหนึ่ง ถึงทำให้มันอร่อยกว่าลูกนี้ไง” เฉินเฉิงยิ้ม
เจียงลู่ซีหน้าแดงเมื่อได้ยิน แอบมองเขาอย่างเขิน ๆ ก่อนจะเมินเขาไป
เจียงลู่ซีไม่ได้ซื่อ เธอแค่ไม่เคยคิดไปถึงเรื่องนั้น
ใครจะไปคิดว่าเฉินเฉิงจะกล้าพูดจาไร้ยางอายแบบนี้
เฉินเฉิงเป็นคนขี้แกล้งจริง ๆ หน้าด้านมาก
“รีบกินเถอะ ไม่งั้นจะเย็นหมดแล้ว กินเสร็จค่อยกลับไปอ่านหนังสือต่อ” เฉินเฉิงกล่าว
เจียงลู่ซีไม่ได้ตอบ แต่หยิบซาลาเปาไส้เนื้อขึ้นมากิน
“นี่ฉันกินไปแล้วนะ เธอจะยังเอาอยู่ไหม? ถ้าเธอรังเกียจ ฉันจะเททิ้งแล้วไปตักให้ใหม่” เฉินเฉิงยกถ้วยข้าวต้มที่เขาเพิ่งกินมา
“ห้ามทิ้งอาหาร” เจียงลู่ซีพูดออกมา
“ไม่รังเกียจมากนักนี่” เฉินเฉิงหัวเราะพร้อมกับยื่นถ้วยน้ำให้
เจียงลู่ซีมองเขาเขม็งแล้วพูดอย่างเขิน ๆ ว่า “ถ้าไม่กลัวเสียอาหาร ฉันไม่ดื่มแน่ ๆ”
เฉินเฉิงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ
เขาหยิบซาลาเปาผักที่เหลืออีกสองลูกขึ้นมากิน จากนั้นก็มองเจียงลู่ซีกินข้าว
เมื่อเจียงลู่ซีกินเสร็จแล้ว ทั้งคู่เดินไปที่อ่างล้างมือ เจียงลู่ซีนำถ้วยไปล้างด้วยน้ำสะอาดจากก๊อกน้ำ พอล้างเสร็จทั้งคู่ก็กลับไปที่ห้องเรียน
ทันทีที่กลับมาถึงห้องเรียนไม่นาน หลี่เหยียนก็เดินเข้ามาหาเฉินเฉิง
ตอนนี้นักเรียนในห้องสามส่วนใหญ่ก็กลับมาแล้ว
หลี่เหยียนเดินมาหยุดตรงหน้าเฉินเฉิงแล้วยื่นถุงมันฝรั่งแผ่นทอดยี่ห้อเลย์ให้
“ฉันเพิ่งให้คนซื้อมาจากข้างนอกสองถุง แล้วมันถุงนี้เหลือพอดี นายไม่ชอบรสหวานใช่ไหม อันนี้ไม่หวาน อร่อยมาก” หลี่เหยียนพูดยิ้ม ๆ
คำพูดและรอยยิ้มของเธอพร้อมกับถุงมันฝรั่งแผ่นทอดนั้นทำให้บรรดาชายหนุ่มในห้องสามรู้สึกอิจฉากันมาก เพราะถ้ามีสาวสักคนมาทำแบบนี้ให้พวกเขา แม้จะไม่สวยเด่นเหมือนหลี่เหยียน พวกเขาก็คงดีใจจนตัวลอย แต่ส่วนใหญ่แล้ว แม้แต่สาวธรรมดายังยากที่จะดึงดูดให้สนใจพวกเขา
ความรักในวัยเรียนที่ใคร ๆ อิจฉา มักไม่เคยเป็นของพวกเขาเลย
พวกเขาเป็นเพียงผู้ผ่านทางในเรื่องราวที่สวยงามเหล่านั้น
ในปี 2011 ที่โรงเรียนอันเฉิง มีหลายคนที่ของว่างยังเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและลูกอม หรือไส้กรอก แต่เลย์ของ หลี่เหยียนนับเป็นของหรูหรา
มันฝรั่งแผ่นทอดถุงหนึ่งมีราคาสิบกว่าหยวน ซึ่งในโรงเรียนก็เท่ากับค่าอาหารของคนหลายคนในหนึ่งวัน และสำหรับบางคนที่ยากจน ค่าอาหารต่อวันยังไม่ถึงสิบกว่าหยวนเลย ของว่างแบบนี้มีเฉพาะในซูเปอร์มาร์เก็ต ใหญ่ ๆ เป็นของที่ค่อนข้างหรูหรา
สำหรับประเทศจีนในช่วงที่ครอบครัวเพิ่งมีฐานะดีขึ้น การที่เลย์และพริงเกิลส์มีราคาสูง ดาราอย่างโจวเจี๋ยหลุนจึงมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับยี่ห้อขนมจีนที่ราคาย่อมเยากว่า และยังติดปากด้วยคำโปรยว่า “ความสุขทุกช่วงเวลา ต้องคบีค” ทำให้ครองตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศ
และไม่ใช่แค่มันฝรั่งแผ่นทอด ในปี 1998 ขนมเปี๊ยะไส้ครีมจากเกาหลีชื่อดังอย่างฮาโอเลอร์ ก็ได้เข้ามาในประเทศจีน ครั้งแรกที่จีนมีแต่
ขนมกรอบ คุกกี้แข็ง ๆ เมื่อขนมเปี๊ยะไส้ครีมนุ่มนิ่มวางขาย ก็ขายดีมากแม้จะราคาสูงถึง 14 หยวนต่อกล่อง ในปี 2002 ขนมเปี๊ยะดาลี่ยวนก็วางขายด้วยรสชาติเหมือนกันแต่ถูกกว่ากันสองในสาม จนยอดขายแซงไปได้
หลี่เหยียนไม่รอให้เฉินเฉิงพูดอะไร เธอวางถุงมันฝรั่งทอดไว้แล้วก็เดินจากไป
เฉินเฉิงมองถุงมันฝรั่งทอดที่วางบนโต๊ะอย่างงุนงง
เขาไม่ได้ชอบอาหารขบเคี้ยวประเภทนี้เท่าไหร่
พวกมันฝรั่งแผ่นทอดนั้น เหมาะกับสาว ๆ มากกว่า
ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ ถุงนี้ก็ไม่ใช่ของที่เขาจะกินได้
“หลี่เหยียนรวยจริง ๆ เลยนะ ถุงนี้ตั้งสิบกว่าหยวนแน่ะ” ซุนหยิงกล่าว
ซุนหยิงก็นับว่ามีฐานะดี
แต่ให้มาซื้อเลย์กินทุกวันแบบหลี่เหยียนคงทำไม่ได้
และถ้าจะซื้อจริง ๆ เธอก็คงเลือกคบีคที่ถูกกว่า
ถุงนี้แพงเกินไปจริง ๆ
“ใช่ ประมาณนั้นแหละ” จ้าวจิ้งพูดเสริม
“ซุนหยิง อยากได้ไหม?” เฉินเฉิงถามยิ้ม ๆ
“อยากสิ” ซุนหยิงพยักหน้าและพูดขึ้น
“วันจันทร์หน้าถึงคิวเวรพวกเรา เธอกวาดพื้นข้างล่าง ให้เจียงลู่ซีกวาดข้างบน แล้วฉันจะให้ถุงนี้กับเธอ” เฉินเฉิงยิ้ม
“ได้ ตกลงตามนั้น” ซุนหยิงตอบ
แค่กวาดพื้นด้านล่าง ถึงแม้ว่าจะต้องทำความสะอาดมากกว่าการกวาดในห้องเรียนและต้องเสียเวลาในการทบทวนบทเรียนบ้าง แต่การได้กินมันฝรั่งแผ่นทอดราคาสิบกว่าหยวนก็นับว่าคุ้มค่ามาก
เฉินเฉิงโยนถุงมันฝรั่งให้ซุนหยิงตามแบบที่เขาถนัด
ช่วงนี้ ขนมที่หลี่เหยียนเอามาให้ ส่วนใหญ่ก็เข้าปากซุนหยิงไปหมด
ซุนหยิงรับถุงมาแล้วแกะกินทันที
เธอกินชิ้นหนึ่งและรู้สึกว่าอร่อยดี เลยแบ่งให้จ้าวจิ้งกับเพื่อนคนอื่น ๆ ได้ชิมกันบ้าง
“ลู่ซี เธออยากกินไหม?” ซุนหยิงยื่นถุงมันฝรั่งแผ่นทอดไปให้
เจียงลู่ซีส่ายหน้า
เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาแล้วเขียนข้อความส่งให้เฉินเฉิง โดยเขียนถามว่า “ถ้าไม่มีฉันอยู่ นายจะรับขนมพวกนี้ไหม?”
“ไม่” เฉินเฉิงเขียนตอบลงในสมุดของเธอ “ถ้ารับไว้ ก็เหมือนเป็นการให้ความหวังเธอ และจะทำให้ยุ่งยาก”
เฉินเฉิงเขียนเสร็จก็เขียนต่อว่า “แต่ถ้าเป็นเธอให้ ฉันจะรับ”
เจียงลู่ซีอ่านแล้วเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นเขียนตอบว่า “ฉันไม่มีเงินนะ ฉันจนมาก”
“งั้นฉันมีเงิน ฉันให้เธอ?” เฉินเฉิงเขียนถามบนกระดาษ
“ไม่เอา” เจียงลู่ซีตอบ
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสมุดกลับมาแล้วเขียนเพิ่มว่า “ถ้ารับไว้ ไม่เหมือนที่นายพูดเมื่อกี้เหรอ? ต้องให้ความหวังและจะยุ่งยากเหมือนกัน”
“เราก็ยุ่งเกี่ยวกันจนแยกไม่ออกแล้ว” เฉินเฉิงตอบ
เจียงลู่ซีอ่านแล้วหน้าแดง เธอรีบเขียนกลับว่า “แยกได้สิ ฉันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับนายขนาดนั้น ฉันบริสุทธิ์ใจนะ”
“เธอรู้ไหมว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้?” เฉินเฉิงถามเมื่อเห็นข้อความตอบกลับของเธอ
“อะไร?” เจียงลู่ซีเขียนถาม
“ฉันอยากบีบปากเธอให้ยื่นออกมา แล้วจูบลงไปแรง ๆ สักที” เฉินเฉิงตอบกลับ
เมื่อถึงวันนั้น ที่เขาสามารถเอาชนะใจเธอได้จริง ๆ เขาจะต้องให้เธอได้รับการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เพราะเขาต้องใช้ความพยายามมากมายในการตามจีบเธอ
เจียงลู่ซีอ่านแล้วหน้าแดงจัดจนต้องรีบปิดสมุด แล้วเก็บมันใส่ลิ้นชัก เอาไปวางไว้ใต้กองหนังสือทั้งหมด
เธอคิดว่ามันยังไม่ปลอดภัยพอถ้าวางไว้ด้านล่างสุด เผื่อมีใครค้นเจอ เธอจึงดึงสมุดออกมาแล้ววางไว้ในกองหนังสือชั้นกลางแทน ทำเสร็จก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองเฉินเฉิงด้วยสายตาเขินอาย
เธอหมั่นไส้ขึ้นมา รู้สึกว่าประโยคของเฉินเฉิงช่างไร้ยางอายมาก เธอกำหมัดเล็ก ๆ แล้วทุบเขาเบา ๆ ไปหนึ่งที
พูดไม่คิดแถมยังเขียนอะไรก็ไม่รู้ลงไปโดยไม่ใช้สมอง
“ถ้าเขียนอะไรแบบนี้อีก ฉันจะไม่เขียนคุยกับนายแล้ว” เจียงลู่ซีกล่าว
การเขียนโต้ตอบกันนี้ เป็นเหมือนความลับระหว่างเธอและเฉินเฉิง
เจียงลู่ซีไม่เคยเขียนโต้ตอบแบบนี้กับใครมาก่อนเลยนอกจากเฉินเฉิง
ส่วนกับซุนหยิงและจ้าวจิ้ง เวลาเขียนบนกระดาษก็เป็นเพียงการเขียนวิธีแก้โจทย์และคำตอบ ไม่เคยเขียนอะไรอื่นเลย
แต่กับเฉินเฉิง พวกเขามักเขียนคุยกันไปเรื่อย
เธอไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าเป็นการส่งจดหมายหรือไม่
แต่เธอกับเฉินเฉิงก็เป็นเพื่อนกัน แค่พูดคุยกันคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?
ถึงแม้บางครั้งเฉินเฉิงจะเขียนอะไรแปลก ๆ มั่วซั่วก็ตาม
แต่เธอก็แค่พูดคุยธรรมดาเท่านั้น
ตราบใดที่เธอบริสุทธิ์ใจ และยังคงยึดมั่นในเป้าหมายที่ตั้งไว้ สิ่งเหล่านี้ก็แยกแยะได้เสมอ
เธอจะไม่มีแฟน อย่างน้อยก็จนกว่าจะอายุ 30 ปี
เฉินเฉิงหยิบสมุดที่มีโจทย์ที่เจียงลู่ซีเตรียมให้เมื่อคืนขึ้นมา เขาเริ่มลงมือทำต่อ หลังจากเมื่อคืนเขาทำไปได้บางส่วนแล้ว จนเหลืออีกไม่มาก
เมื่อเขาทำเสร็จแล้ว ก็ส่งสมุดคืนให้เธอ
เจียงลู่ซีรับมาแล้วตรวจแก้ มีอยู่หลายข้อที่เขาทำผิด เธอเริ่มอธิบายให้เขาฟังตั้งแต่ข้อแรกที่ผิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงตอนเที่ยง
ทั้งคู่ลงไปตักน้ำ กินข้าว แล้วก็กลับมาเรียนต่อ
พอถึงคาบบ่ายเจียงลู่ซีกำลังจะเริ่มอธิบายโจทย์ให้เฉินเฉิง หลี่เหยียนก็เดินเข้ามาพร้อมถือข้อสอบวิชาภาษาจีนแบบฝึกหัดจำลองมา
“ข้อสอบนี้ยากมาก มีบางจุดที่ฉันไม่เข้าใจ เธอช่วยดูให้หน่อยได้ไหม?” หลี่เหยียนถาม
“ข้อไหนบ้าง?” เฉินเฉิงถามกลับ
“ก็ข้อพวกนี้” หลี่เหยียนยื่นข้อสอบให้
เธอไม่รู้จริง ๆ ถึงแม้จะหาคำตอบจากพจนานุกรมได้ แต่เธออยากถามเฉินเฉิงมากกว่า และอยากรู้ว่าเฉินเฉิงจะตอบคำถามพวกนี้ได้หรือไม่
มีอยู่สองข้อในข้อสอบนี้ที่เป็นบทกวีคลาสสิค ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยาก เธอเคยลองไปถามครู ครูก็ตอบไม่ได้
เฉินเฉิงดูข้อสอบที่หลี่เหยียนยื่นให้
มันยากจริง ๆ มีบทกวีที่ไม่ค่อยพบเห็น
แม้แต่เฉินเฉิงเองก็ไม่เคยเห็นบทกวีหนึ่งในนั้นมาก่อน
แต่คำที่หลี่เหยียนถามนั้น เขารู้ความหมายจึงอธิบายให้เธอฟังทีละข้อ
“ไม่เสียชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งวิชาภาษาจีนของโรงเรียนเรา” หลี่เหยียนยิ้มชมด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“บังเอิญว่าเคยเห็นคำพวกนี้ในบทกวีอื่น” เฉินเฉิงยิ้มตอบ
เจียงลู่ซีที่ถือสมุดบันทึกกำลังจะอธิบายโจทย์ให้เฉินเฉิง เธอเห็นหลี่เหยียนคุยหยอกล้อกับเฉินเฉิงก็เลื่อนสายตาไปมองทางอื่น
“มีคำถามอื่นอีกไหม?” เฉินเฉิงถาม
“ไม่มีแล้ว” หลี่เหยียนเก็บข้อสอบแล้วกล่าว “ถ้ามีคำถามอีกจะมาถามใหม่”
“เธอเปิดพจนานุกรมดูได้” เฉินเฉิงบอก
“เคยซื้อมาพจนานุกรมมาอยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว” หลี่เหยียนพูดยิ้ม ๆ “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้น ครูวิชาภาษาจีนคนเดียวกัน เธอห้ามไม่ตอบคำถามของฉันนะ”
พูดจบ หลี่เหยียนโบกมือแล้วเดินจากไป
เฉินเฉิงเริ่มรู้แล้วว่าการถูกผู้หญิงตามตื้อไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก
โดยเฉพาะเมื่อมีคนที่เขาชอบอยู่ข้าง ๆ
เช่นตอนนี้ เจียงลู่ซีก็เลื่อนเก้าอี้ไปนั่งใกล้ ๆ ซุนหยิง
“เธอทำอะไรน่ะ? ไม่ช่วยฉันอธิบายโจทย์แล้วเหรอ?” เฉินเฉิงถาม
“ฉันแค่กลัวจะขัดจังหวะเธอกับคนอื่น” เจียงลู่ซีตอบ