บทที่ 2 น่าอัศจรรย์
หิมะตกลงบนฝั่ง ย้อมถนนให้ขาวโพลน
หิมะตกลงบนแม่น้ำ ล่องลอยตามกระแสสายน้ำไปไกล
แต่ทางที่ถูกย้อมขาวไม่นานนักก็ถูกล้อรถและกีบม้าของขบวนเดินทางเหยียบย่ำจนราบเรียบ ภาพการชมทิวทัศน์หิมะริมฝั่งแม่น้ำที่สงบเงียบก็ถูกความวุ่นวายเข้ามารบกวน ขบวนรถม้าที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่ก็หวนกลับมาอีกครั้ง
เสียงอึกทึกครู่หนึ่ง ทุกคนกลับมายังจุดเดิม
เมื่อมองไปอีกครั้ง ชายคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ มองดูสายน้ำเชี่ยวกรากอย่างไม่แยแส ราวกับไม่เคยขยับไปไหนเลย
เจี่ยกุ้ยลงจากม้าแต่ไกล ส่งบังเหียนให้เหล่าผู้ติดตามและทาสรับใช้ พวกเขาจูงม้าและรถม้าไปผูกไว้ใต้ต้นไม้ จากนั้นเจี่ยกุ้ยก็พาบุตรชายบุตรสาวเดินมาที่ถ้ำหิน
ครั้งนี้เจี่ยกุ้ยไม่ได้เพียงแค่ประสานมือคำนับ แต่ยังโค้งกายคำนับด้วย
“ท่านผู้นี้!”
“ลูกเห็บตกและอากาศเย็นยะเยือกไปทุกที่ หาได้มีที่หลบภัย พอจะขอพักพิงที่นี่ได้บ้างหรือไม่?”
เมื่อเงยหน้าขึ้น เจี่ยกุ้ยก็สังเกตเห็นว่าภายในถ้ำหินที่ดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นมีสิ่งที่เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ข้างชายผู้นั้นมีไหสุราตั้งอยู่ ไม่ไกลกันนักมีจานกับแกล้มร้อน ๆ สองจานวางไว้
บนโต๊ะหินมีถ้วยสุราสองใบ ใบหนึ่งอยู่ข้างชายผู้นั้น อีกใบหนึ่งวางอยู่อีกฝั่งอย่างชัดเจน ราวกับว่าเตรียมไว้ให้เจี่ยกุ้ยโดยเฉพาะ
เขาไม่เพียงรู้ว่าจะมีหิมะลูกเห็บตกในยามวอก(申) แต่ยังมั่นใจว่าขบวนจะย้อนกลับมา จนถึงกับเตรียมสุราและอาหารรอไว้ให้
บุตรชายบุตรสาวของเจี่ยกุ้ยที่ตามมาข้างหลังสังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกันและเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
“อ๊ะ นี่มาได้ยังไงกัน?”
“เมื่อกี้ยังไม่เห็นมีเลยนี่นา!”
“ดูสิ อาหารกับสุรายังร้อนอยู่เลย!”
“กลิ่นหอมจัง!”
ลูก ๆ ของเขาเพียงรู้สึกแปลกใจ แต่เจี่ยกุ้ยกลับมองไหสุราที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาด้วยความตะลึงงัน เขาหายใจลึกด้วยความตื่นเต้น
ไหสุรานั้นทำจากหินเนื้อดี แกะสลักเป็นลวดลายมังกรมีชีวิตชีวา มีตัวอักษรสลักไว้ ด้านข้างเป็นถ้วยหยกขัดมันเป็นประกาย บนถ้วยมีคราบหินสีแดงเป็นลวดลายคล้ายปลาคราฟสีแดง ดูน่าชมอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงไม่ใช่เพียงไหสุราและกับแกล้มร้อน ๆ ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ยังเป็นท่าทีที่คาดการณ์ไว้ราวกับรู้ว่าเขาจะย้อนกลับมาอย่างแน่นอน เป็นท่าทีที่เหมือนจะควบคุมทุกสิ่งไว้ในมือ และความสงบเงียบที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
เขาเคยพบปะผู้คนมากมายในราชสำนัก แต่การจัดเตรียมทุกสิ่งอย่างใจเย็นและสง่างามเช่นนี้ เขาเคยเห็นแค่ในตัวของคนไม่กี่คนเท่านั้น
แต่บุคคลเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นคนวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ ท่าทีที่แสดงออกนั้นมาจากอำนาจและสถานะสูงส่ง ซึ่งไม่อาจเทียบกับความนิ่งสงบอันลึกล้ำไร้ความหวังในโลกย์ของชายผู้นี้ได้
แปลกจริง แปลกจนต้องทึ่ง
ชายผู้นี้คือใครกัน?
เมื่อเจี่ยกุ้ยเอ่ยถาม ชายผู้นั้นจึงละสายตาจากทิวทัศน์แม่น้ำ ยกมือขึ้นเชิญให้เขานั่งตรงข้าม พร้อมกล่าวคำสั้น ๆ ว่า “นั่ง!”
เจี่ยกุ้ยที่เป็นถึงข้าราชการจากเมืองหลวงถึงกับเกร็งตัวขึ้นมาทันที เขานั่งลงอย่างสงบและประสานมือคารวะซ้ำ ๆ
เพียงแต่เมื่อถือถ้วยสุราร้อนในมือ จิตใจของเขากลับเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย
“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?”
“เป็นคนหรือเป็นวิญญาณ?”
“มีจุดประสงค์ใดกัน?”
เจี่ยกุ้ยที่เดินทางกลับมาด้วยความตื่นเต้น อยากรู้ว่าชายผู้นี้รู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับหิมะและลูกเห็บที่ตกในยามวอก(申) เขาคงใช้วิชาคำนวณพยากรณ์ฟ้า
แต่เมื่อนั่งลงตรงนี้ เขาก็รู้สึกเสียใจที่กลับมาเสียแล้ว
หากทั้งหมดนี้ถูกวางแผนมาแล้ว ไม่ว่าชายผู้นี้จะใช้วิชาใดในการควบคุมก็คงมีจุดประสงค์บางอย่าง นั่นยิ่งทำให้เจี่ยกุ้ยรู้สึกหวาดหวั่น
ถ้าเป็นคนจริง ยังพอเจรจาได้ เพราะสิ่งที่ต้องการคงเป็นเรื่องของโลกย์ที่เขาพอจะตอบสนองได้
แต่หากเป็นภูตผีปีศาจ สิ่งที่ต้องการอาจยากจะคาดเดา
เขานั่งอยู่ภายในถ้ำหินอย่างเกร็งเครียด ครู่ใหญ่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นสนทนากับอีกฝ่ายอย่างไร คำถามมากมายเต็มอยู่ในใจ แต่ก็กลับกลายเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาถือถ้วยสุราในมือ
แหงนหน้าขึ้นมองชายผู้นั้นด้วยหางตา ชายคนนั้นดูอายุราวยี่สิบต้น ๆ ผิวยังเรียบเนียนกว่าเด็ก ดูแล้วไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ยิ่งพอเห็นผ้าคลุมที่ห่มกายที่ไม่อาจคาดเดาว่าเป็นขนสัตว์ชนิดใด แต่มีไออุ่นแผ่ออกมาเบา ๆ ก็ยิ่งทำให้เจี่ยกุ้ยประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร หากเขาต้องการอะไรสักอย่าง ก็คงต้องรอให้เขาพูดขึ้นมาก่อน”
“ข้าจะนั่งเฉย ๆ ไม่ขยับ”
เจี่ยกุ้ยรักษาท่าทีสงบนิ่ง พยายามจะรอให้ชายผู้นั้นเริ่มพูด แต่ก็รออยู่นานไม่เห็นว่าเขาจะพูดอะไร จิตใจของเจี่ยกุ้ยยิ่งทวีความไม่สงบ
ไม่ว่าภายในใจของเขาจะปั่นป่วนและเต็มไปด้วยความฉงนอย่างไร
ชายผู้นั้นยังคงนั่งอย่างสงบ ไม่แสดงอาการใด ๆ
เหลือเพียงหิมะขาวโพลนที่โปรยปราย ลงมาระหว่างท้องฟ้าและแม่น้ำ
เขาอดไม่ได้ที่จะยกถ้วยสุราขึ้นจิบ รู้สึกถึงรสชาติที่แรงกล้าจนปะทะขึ้นถึงยอดศีรษะ เขาไม่เคยดื่มสุราที่รสชาติแรงขนาดนี้มาก่อน
“เผ็ดจริง!”
——
อีกด้านหนึ่ง
บุตรชายบุตรสาวของเจี่ยกุ้ยไม่ได้มีความคิดซับซ้อนเช่นเดียวกับเขา พวกเขาพามารดาลงมาจากรถม้าเข้ามาหลบ
หิมะในถ้ำ ทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ริมปากถ้ำ พากันจุดเตาถ่านที่นำมาด้วย
เจี่ยกุ้ยนั้นหน้าตาไม่โดดเด่นนัก แต่บุตรชายบุตรสาวกลับงดงามน่ารัก ไม่มีส่วนใดคล้ายบิดา แต่พอเห็นมารดาก็เข้าใจได้ทันที
มารดาของเด็กทั้งสองค้อมศีรษะให้ชายผู้นั้น แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด นางดูเย็นชาไปบ้าง แตกต่างจากลูก ๆ ของนางอย่างชัดเจน
หิมะกับลูกเห็บค่อย ๆ หยุดลง เหลือเพียงหิมะที่โปรยปราย
เมื่อค่ำคืนคล้อยล่วง แผ่นดินเงียบสงัดเหลือเพียงเสียงหิมะและเสียงแม่น้ำ เมื่อได้ยินนาน ๆ ก็ชวนให้รู้สึกเคยชิน จนทุกคนที่ล้อมวงนั่งผิงไฟภายในถ้ำเริ่มรู้สึกง่วงงุน
ทันใดนั้นเสียงที่เคยคุ้นชินพลันหายไปทำให้ทุกคนสะดุ้งตื่น
ผู้ติดตามและบ่าวรับใช้ต่างลุกขึ้น บ้างออกไปดูม้าและรถม้า บ้างเดินไปสำรวจรอบ ๆ
“หิมะหยุดแล้ว”
“ผ่านปีใหม่ไปก็ใกล้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ กลับมีหิมะตกหนักเช่นนี้ ช่วงฤดูหนาวยังไม่เห็นจะหนักขนาดนี้”
“ดูสิ หิมะหนาจนปกคลุมไปทั่วเลย”
เมื่อหิมะหยุดลง พระจันทร์ก็เผยแสงออกมาจากท้องฟ้า
เด็กชายมองดูพระจันทร์ แล้วถามผู้ติดตามที่อายุมากกว่า เรียกเขาอย่างนอบน้อมว่า “ลุง”
“ประมาณว่า หิมะตกอยู่นานเท่าใด?”
ผู้ติดตามครุ่นคิดสักครู่ มองดวงจันทร์และหมู่ดาวบนฟ้า ก่อนให้คำตอบคร่าว ๆ
“สามชั่วยาม คงยังไม่ถึงสี่ชั่วยามดี”
สำหรับเด็กชายแล้ว นั่นถือว่าเพียงพอ เขาตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“จริงด้วย สามชั่วยามสามเค่อ เป๊ะไม่มีพลาด!”
เมื่อกล่าวจบ เด็กชายก็เดินออกไปกลางถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ
ทุกคนมองตามเขา ต่างรู้ว่าเขาต้องการทำอะไร
เด็กชายยืนอยู่กลางถนนภายใต้แสงจันทร์ ยื่นนิ้วชี้จิ้มลงไปในหิมะจนสุดโคน
และพบว่าหิมะหนาขึ้นถึงข้อนิ้วมือพอดี
ทุกคนเงียบสนิท
ราวกับเป็นปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติ ทุกสายตาต่างหันกลับไปยังชายผู้ที่นั่งอยู่ในถ้ำ
อัศจรรย์นัก
(จบบท)###