ตอนที่ 24 แผนการทารุณตัวเอง
ตั้งแต่เปิดเทอม หลี่เหอก็ไปที่คณะภาษาศาสตร์เป็นประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์ คณะที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยการศึกษาภาษาต่างประเทศ ทุกครั้งเขารออยู่นาน แต่ก็ไม่เคยพบเงาของคนที่เขานึกถึงทั้งวันทั้งคืนได้
มีอาคารสำหรับนักศึกษาหญิงมากกว่าสิบหลัง เขาถามนักศึกษาหญิงหลายคนเกี่ยวกับเธอ แต่ทุกคนต่างส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จัก
ความรักที่เติบโตจากกาลเวลาและวันคืนที่น่าเบื่อซ้อนทับกันกลายเป็นความเหงาได้อย่างน่าเศร้า
มีความสุขนับพันแบบ และมีความเจ็บปวดนับพันแบบเช่นกัน
หลี่เหอตัดสินใจแน่วแน่ ว่าจะหาโอกาสโดดเรียนไปห้องเรียนเอกภาษารัสเซีย สองเดือนที่ผ่านมานั้นเสียเวลาไปเปล่า ๆ การเกิดใหม่ของเขาเป็นแผนการทำร้ายตัวเองชัด ๆ ทำไมชีวิตเขาถึงลำบากขนาดนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ใช้ชีวิตอิสระและเพลิดเพลินไปกับวัยเยาว์ของพวกเขา?
ช่วงเช้าวันหนึ่ง หลังจากเหนื่อยจากการวิ่งไปวิ่งมาโดยไม่รู้ตัว เขาก็เดินมาถึงทะเลสาบเว่ยหมิง ทะเลสาบนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง มีชั้นน้ำแข็งหนามากจนหลี่เหอเหยียบลงไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นสเก็ตบนทะเลสาบ และบางครั้งก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนอ่านบทกวีอยู่ใกล้ ๆ คงเป็นชมรมกวีนิยมอะไรสักอย่าง ได้ยินแว่ว ๆ ว่า "จะซ่อนความเศร้าของฉันไว้ได้อย่างไร ที่ที่ฉันสูญเสียเธอไป กลิ่นหอมของผมเธอลอยผ่านอย่างเร่งรีบ" นี่เรียกว่ากวีกันจริง ๆ หรือ?
หลี่เหอยังคงอิจฉาความสบายๆ ของนักศึกษามนุษยศาสตร์เหล่านี้ เขาจำได้ว่าคนพวกนี้เข้าร่วมชมรมกวีและชมรมต่างๆ หลายครั้ง และบางครั้งก็เล่นวอลเลย์บอล และถ้าไม่อยากออกไปไหนก็เล่นไพ่หรือหมากรุกในห้องพักแล้วดื่มไปพลาง ๆ
หนุ่ม ๆ ที่มาจากครอบครัวฐานะดีก็มักจะใส่เสื้อสเวตเตอร์รูปหัวใจและรองเท้าหนังสีดำ หัวเราะพูดคุยกันสนุกสนานบนพื้นน้ำแข็ง สำหรับการคบเพื่อนกลุ่มนี้ เขาไม่กล้าคิดเลย
หลี่เหอย่อมรู้ถึงค่าของตัวเอง ครอบครัวของเขายากจนมาสามรุ่น จะเป็นเพื่อนสนิทกับคนเหล่านี้ได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำหรือ? ถ้าไม่รักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ ต่อให้ก้มหัวให้ก็ไร้ความหมาย สู้ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วไปนอนดีกว่า
ถ้ามีคนอื่นดึงคุณเข้าไปในวงนั้น ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะเข้าไปได้โดยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับตัวเท่านั้น เพราะถ้าเราไม่อยู่ในระดับเดียวกัน มันก็จะเป็นการทรมานตัวเองโดยเปล่าประโยชน์?
หลี่เหอเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ในชาติก่อนเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้และไม่สนใจอะไรมากมาย เขาตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างมีความสุข แต่ในชาตินี้เพราะเขารู้เรื่องมากเกินไป ทำให้จิตใจไม่สงบ ไม่แปลกที่บอกว่า "ความไม่รู้คือความสุข" เด็ก ๆ เป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะพวกเขาไม่รู้อะไรพวกนี้
ถ้าหากไม่มีสติปัญญาที่เหมาะสมในการควบคุมความรู้ คนเราจะมีชีวิตอย่างเจ็บปวดสุด ๆ
คิหลังจากคิดมากเกินไป หลี่เหอคิดว่าเขามีชีวิตที่ยากลำบาก แต่เขาก็ยังคงไปเรียนทุกวัน
สุดท้ายกริ่งหมดคาบเย็นก็ดังขึ้น แม้เขาพยายามอย่างมากที่จะฟังสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ก็ทนการรุกรานของความง่วงไม่ได้ เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบแก้ม อีกข้างจับหนังสือเรียน ฟังอย่างตั้งใจในวิชากฎของคาร์โนต์ กฎของคูลอมบ์...
หลี่เหอดีใจ เตรียมเก็บของกลับบ้าน แต่ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่ เขาหันไปที่แถวหน้าและพบกับสายตาของเหอฟางที่เหมือนจะกินเขาทั้งเป็น
เพื่อนร่วมชั้นยังคงจับกลุ่มพูดคุยแก้ปัญหา ไม่อยากกลับบ้านกันสักคน หลี่เหอหวังว่าเพื่อน ๆ บางคนจะไปด้วยกัน เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเหอฟางจากเขาบ้าง
ไม่อย่างนั้นถ้าเขาออกไปคนเดียว ก็ต้องเผชิญกับคำตำหนิติเตียนจาก "คุณป้าหัวหน้า" ไฟทั้งหมดจะพุ่งเป้ามาที่เขา
เหอฟางเดินมาหาหลี่เหอ นั่งลงแล้วพูดว่า “นายยังไปไม่ได้ การเรียนตอนเย็นเลิกตอน 3 ทุ่มครึ่ง นายลองดูสิ ว่าทำไมถึงมีแค่นายคนเดียวที่ออกไปจากห้องเรียนก่อนคนอื่นทุกครั้ง? ฉันทำเพื่อประโยชน์ของนายเองนะ”
“ฉันจะนั่งข้าง ๆ นาย คอยดูนาย แล้วอ่านหนังสือไปด้วย”
มีการทำร้ายอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ฉันทำเพื่อประโยชน์ของเธอ!”
หลี่เหอรู้สึกเศร้าใจ เขาอายุมากแล้วในทางจิตใจแต่ยังเด็กในอายุจริง เขาช่างไร้ประโยชน์และจะเป็นคนที่ทุกข์ทรมานตลอดเลย
ภายใต้ความคิดเดียวกันของการเรียนอย่างหนักนี้ จะไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น และคนที่แตกต่างก็กลายเป็นศัตรูของทั้งชั้นเรียน
ถ้าไม่มีเรื่องของกฎพวกนั้น คนอย่างเขาที่ไม่สนใจความก้าวหน้าก็คงจะถูกเผาทั้งเป็น!
เขาทำได้แค่นอนแนบกับโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย เปิดดูหนังสือเล่น ๆ และเหลือบไปมองเหอฟางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอกำลังเกาหัวกับปัญหาวิเคราะห์แรงอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังแก้ไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกสุขใจขึ้นมาทันที “นี่แหละ สิ่งที่เธอจะต้องเจอในวันนี้!”
ทุกวันนี้หลี่เหออยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้น และบางครั้งความคิดของเขาก็เริ่มเป็นเหมือนเด็กมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีอารมณ์อยากจะแกล้งคน เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ให้ฉันช่วยไหม?”
เหอฟางกลอกตาใส่หลี่เหอและเมินเขา
หลี่เหอคิดว่าจำเป็นต้องแสดงให้เธอเห็นความสามารถบ้าง ทุกวันเธอเอาแต่จ้องเขาอยู่ ก็เลยค่อย ๆ พูดว่า “กุญแจของโจทย์ข้อนี้อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางการสลายแรงและการเร่งของการเคลื่อนที่สัมพันธ์”
จากนั้นเขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมา วาดระบบพิกัด แล้วอธิบายต่อว่า “ทิศทางแนวนอนทางขวาเป็นแกน x และแนวตั้งเป็นแกน y แรงที่กระทำบนมวล m1 ถูกสลายในทิศทางแนวนอนและแนวตั้ง”
เหอฟางหันมาอย่างตกใจและพูดว่า “แล้วก็ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนที่สัมพันธ์กับการเร่งใช่ไหม?”
หลี่เหอทำหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “ยังเป็นเด็กที่สอนได้”
เหอฟางไม่พูดอะไรกลับมา และลองโชว์การบ้านแคลคูลัสที่เคยเป็นปัญหาให้หลี่เหอดู หลี่เหอเพียงแค่แสดงสีหน้าคิดหนักเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบออกมาอย่างง่ายดาย
เหอฟางชมเขาว่า “นายสุดยอดมากเลย หลี่เหอ ถ้ามีเพื่อนคนไหนที่ไม่รู้วิธีทำในอนาคต ฉันจะให้พวกเขามาถามนาย พวกเราต้องช่วยเหลือกันเพื่อพัฒนาตัวเอง”
หลี่เหอคิดว่าเขาอาจโดนตัวเองย้อนรอยแต่ก็ทนไว้เพื่ออิสรภาพ เขาจึงพูดว่า “ไม่มีปัญหา ฉันเรียนแคลคูลัสเองไปบ้างแล้ว แต่วิชาอื่นของฟิสิกส์ไม่ค่อยเก่ง”
เหอฟางยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวลี่จื่อ เพื่อเป็นการขอบใจนาย ฉันจะเลี้ยงซาบาเปาร้อนๆ อันใหญ่ๆที่ขายที่ประตูตะวันออก”
หลี่เหอออกไปซื้อของกินข้างนอกบ่อย ๆ เวลาหิว ในช่วงเวลานี้ที่เขากำลังโตจึงมักหิวตอนกลางคืน
ตอนเลิกเรียนทั้งสองคนไม่ชวนใครเพิ่ม พอออกจากห้องเรียนมา หลี่เหอก็หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบกันคนละมวน
เหอฟางสูดลมหายใจลึก กลิ่นบุหรี่ผ่านจมูก ทำให้เธอตัวสั่นเล็กน้อยและพูดว่า “หนาวโคตร ๆ เลย”
หลี่เหอก็รีบกระชับเสื้อโค้ต ผูกเชือกให้แน่นแล้วทั้งสองคนก็ออกไปยังปรตะวันออกด้วยกัน
สิบปีข้างหน้า ที่มุมถนนอาจมีร้านกาแฟสตาร์บัคส์และร้านเบอร์เกอร์ รวมทั้งชานมไข่มุกและพิซซ่า แต่ในตอนนี้มีแค่แผงเล็ก ๆ ขายซาลาเปา ข้าวโพด และมันเผา
ลมเหนือพัดหนาวยะเยือก ทำให้คนตัวสั่นไปตาม ๆ กัน ทั้งสองรีบกัดซาลาเปาไส้เนื้อร้อน ๆ ชิ้นใหญ่ที่มีน้ำฉ่ำและเนื้อแน่น เต็มไปด้วยความสุข
ตอนกลับก็ห่อซาลาเปาด้วยกระดาษมันกลับไปหอพักเพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นได้กินบ้าง เขาไม่ขอให้เหอฟางออกเงิน เขารีบจ่ายเองและถือว่าเป็นการเลี้ยงเหอฟางไปด้วย
เหอฟางพูดว่า “วันนี้ฉันได้ประโยชน์จากนาย เดี๋ยวครั้งหน้าฉันเลี้ยงเอง”
กลับมาที่หอพัก ซาลาเปาร้อน ๆ ทำให้หลายคนมีความสุข เฉินซั่วพูดว่า “นายนี่น่าสนใจไม่ใช่เล่น”
ไม่ใช่เหรอ?
ซาลาเปาอันละสิบเฟิน คิดดูสิว่าจะมีสักกี่คนที่ซื้อได้?