ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 11 วันนี้คือวันตายของท่าน
ก่อตั้งองค์กรมือสังหารในโลกบำเพ็ญเพียร ตอนที่ 11 วันนี้คือวันตายของท่าน
ซูฟั่นที่จิตใจตึงเครียดมานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ราวกับรอดพ้นจากหายนะ
เขามองดูสิ่งของที่คล้ายกับเศษกระจกในมือ
นี่คือหินกระจกที่เขากล่าวถึงก่อนหน้านี้
เพียงแค่ใช้หินวิญญาณจำนวนหนึ่ง ก็สามารถเปิดใช้งานมันได้ จากนั้นก็สามารถติดต่อกับหินกระจกที่อยู่ในจวนผู้ว่าราชการเขต เขตเฉวียนสุ่ย
เมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งจะติดต่อกับเขตเฉวียนสุ่ย
เมื่อรู้ว่าราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวนได้ส่งผู้ตรวจการไปยังเมืองหลินเทียนเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะเหตุผลบางอย่าง
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ผู้ตรวจการ!
เป็นถึงผู้ตรวจการ!
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้ตรวจการ
และรู้ว่าพวกเขาเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจของราชวงศ์ราชันซุ่ยหยวน และที่สำคัญที่สุดก็คือผู้ตรวจการทุกคนมีระดับตบะอย่างน้อยระดับเคลื่อนวิญญาณขั้นสาม
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกสงบลง
ซูฟั่นแค่นเสียง “ศาลาสังหารโลหิต? เมื่อพบเจอกับผู้ตรวจการ ก็มีเพียงความตาย!”
“เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่”
เสียงของสวีกงเฟิ่งดังขึ้นจากด้านนอก
ซูฟั่นที่อารมณ์ดีขึ้น จึงกล่าวเบา ๆ ว่า “เข้ามา”
สวีกงเฟิ่งผลักประตูเข้ามาอย่างช้า ๆ
“สวีกงเฟิ่ง มีเรื่องอันใดหรือ?”
ซูฟั่นสังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูแปลกไป
สวีกงเฟิ่งเพียงแค่หยิบเหรียญตราออกมาจากอกเสื้อ
“นี่คือสิ่งที่ข้าพบเจอที่โถงใหญ่ด้านนอก ขอให้เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ตรวจสอบ”
ซูฟั่นเดินไปเบื้องหน้า รับเหรียญตรานั้นมา
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง
บนใบหน้าของเขาก็ปรากฏหยาดเหงื่อเย็น
ซูฟั่นกล่าวพึมพำเบา ๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้! เขาเดินทางมาที่นี่ได้อย่างไร!”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขตเฉวียนสุ่ยมิได้กล่าวหรือว่ามีผู้ตรวจการเดินทางไปแล้ว? เหตุใดจึงยังไม่กำจัดศาลาสังหารโลหิต?”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาสนทนากับหลินเทียนเฟิง
หลินเทียนเฟิงเคยให้เขาดูเหรียญตราสังหารโลหิต
เหรียญตรานั้น เหมือนกับเหรียญตราในมือของเขาโดยสิ้นเชิง
“เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ท่าน……”
สวีกงเฟิ่งเห็นสีหน้าที่แข็งค้างของซูฟั่น จึงเอ่ยถามขึ้น
ซูฟั่นรู้สึกตัว มองไปยังสวีกงเฟิ่ง
“ใครเป็นคนทิ้งสิ่งนี้เอาไว้? ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ เจ้าเห็นผู้ใดเข้าไปในโถงใหญ่หรือไม่?”
“เรียนเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ นอกจากข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้าไปในโถงใหญ่”
สวีกงเฟิ่งส่ายหน้า
ซูฟั่นขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ามีผู้ใดเข้าใกล้โถงใหญ่ แม้แต่เพียงเล็กน้อย?”
สวีกงเฟิ่งส่ายหน้าอีกครั้ง
“เช่นนั้นเมื่อวาน ข้าให้เจ้าไปแจ้งข่าวสารกับเมืองทั้งสี่ เป็นเช่นไรบ้าง?”
“เรียนเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขากล่าวเพียงประโยคเดียว”
“ประโยคใด?”
“พวกเขากล่าวว่า ‘เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ วันนี้คือวันตายของท่าน!’”
ดวงตาทั้งสองข้างของสวีกงเฟิ่งมีแสงโลหิตปรากฏขึ้น
มือขวาหยิบอาวุธวิญญาณระดับใดไม่ทราบออกมา แทงเข้าที่หน้าอกของซูฟั่นอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
ดวงตาทั้งสองข้างของซูฟั่นเบิกกว้าง แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วที่จะหลบหรือป้องกัน
ซูฟั่นมองดูสวีกงเฟิ่งเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้
สวีกงเฟิ่งเป็นสหายเก่าของบิดาของเขา เพราะอุบัติเหตุบางอย่าง บิดาของเขาจึงเสียชีวิต
จากนั้นสวีกงเฟิ่งก็ยินดีที่จะเป็นกงเฟิ่งของเมืองจี่ซิง
กล่าวได้ว่า ในเมืองจี่ซิงแห่งนี้ บุคคลที่เขาไว้ใจมากที่สุดก็คือชายชราผู้นี้
แต่บุคคลที่เขาไว้ใจมากที่สุด ตอนนี้กลับ……
“ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ?”
เสียงอันไพเราะของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากปากของสวีกงเฟิ่ง
สายตาของซูฟั่นมองไปยังที่แห่งนั้น
‘สวีกงเฟิ่ง’ ใช้มือขวาฉีกใบหน้าของตนเองออก
เผยให้เห็นใบหน้าของสตรี
ของปลอม!
ซูฟั่นไม่โง่เขลา เขาเดาได้ทันที ‘สวีกงเฟิ่ง’ ผู้นี้ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นเพียงตัวปลอม
“เจ้า… เจ้าเป็นคนของศาลาสังหารโลหิต……”
สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่กำลังหายไป ซูฟั่นกล่าวอย่างแผ่วเบา
“ใช่แล้ว สาวน้อยผู้นี้คือมือสังหารระดับมนุษย์ชั้นเอกแห่งศาลาสังหารโลหิต จิ้งจอกพันหน้า”
ใบหน้าของสตรีผู้นี้ดูงดงาม แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเต็มไปด้วยแสงโลหิต ราวกับดอกกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนาม
“ข้าขอถามได้หรือไม่ เหตุใดศาลาสังหารโลหิตจึงต้องสังหารข้า?”
ซูฟั่นรู้ดีว่าวันนี้เขาต้องตายอย่างแน่นอน จึงรวบรวมความกล้า เอ่ยถามขึ้น
“ย่อมได้ สาวน้อยผู้นี้สามารถบอกเจ้าได้”
สตรีผู้นั้นใช้มือขวาที่ขาวผ่องปิดปากเอาไว้
จิ้งจอกพันหน้าค่อย ๆ เคลื่อนศีรษะไปยังข้างหูของซูฟั่น กล่าวเบา ๆ ว่า “เพราะสังหารเจ้าแล้ว เจ้าศาลาของพวกเราจึงจะพอใจ”
จากนั้นจิ้งจอกพันหน้าก็กดอาวุธวิญญาณที่แทงอยู่ที่หน้าอกของซูฟั่นลงไปอีก
ฉัวะ!
เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ยอดฝีมือระดับรวมวิญญาณระยะสูงสุด ต้องพบเจอกับจุดจบภายในจวนเจ้าเมืองของตนเอง
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
จิ้งจอกพันหน้าก็ดึงอาวุธวิญญาณออกจากหน้าอกของซูฟั่น
จิ้งจอกพันหน้ามองดูโลหิตที่ไหลรินออกมาจากอาวุธวิญญาณด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงเลียริมฝีปากสีแดงสด
เบื้องหลังของจิ้งจอกพันหน้า ปรากฏเงาดำสี่ร่าง
เงาดำทั้งสี่นั้น คือมือสังหารระดับมนุษย์ชั้นโทสี่คนแห่งศาลาสังหารโลหิต
ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง เยี่ยหมิงได้แบ่งกลุ่มเอาไว้แล้ว
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เขาจึงให้มือสังหารระดับมนุษย์ชั้นโทสี่คนติดตามมือสังหารระดับมนุษย์ชั้นเอกหนึ่งคน
เมื่อทั้งสี่เห็นจิ้งจอกพันหน้า พวกเขาก็ก้มลงคุกเข่าข้างหนึ่ง
“เป็นเช่นไรบ้าง?”
จิ้งจอกพันหน้าหันกลับมา มองไปยังทั้งสี่
“เรียนผู้ยิ่งใหญ่ กงเฟิ่งสองคนของเมืองจี่ซิงได้เสียชีวิตภายใต้การล้อมสังหารของพวกเราแล้ว”
“ดีมาก ตอนนี้พวกเจ้าไปทำภารกิจที่เจ้าศาลามอบหมายให้พวกเราเถิด”
จิ้งจอกพันหน้ากล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
“ขอรับ!”
ทั้งสี่กล่าวพร้อมกัน จากนั้นก็หายตัวไปภายในจวนเจ้าเมือง
……
ณ เวลาเดียวกัน เมืองอีกสามเมือง
เมืองอวิ๋นโยว
บุรุษที่มีปราณอสูรปกคลุมทั่วร่างกาย ยืนอยู่ท่ามกลางศพมากมาย
บุรุษผู้นั้นกล่าวกับมือสังหารระดับมนุษย์ชั้นโทสี่คนว่า “ภารกิจที่เจ้าศาลามอบหมายให้พวกเรา ขอให้พวกเจ้าจัดการ”
……
เมืองเหลี่ยวกวง
ชายชราผอมแห้ง ถือไม้เท้า เดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองอย่างช้า ๆ
ชายชราผู้นั้นกล่าวว่า “ไปเถิด”
จากนั้นเงาดำสี่ร่างก็แยกย้ายกันไป
……
จวนเจ้าเมืองเหลี่ยวกวง
บุรุษร่างกำยำเปลือยท่อนบน มือขวากำลังถือชายชราที่สวมชุดเจ้าเมือง แต่กลับมีปราณอสูรปกคลุมทั่วร่างกายเอาไว้
บุรุษร่างกำยำถ่มน้ำลายลงบนพื้น กล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าเมืองเหลี่ยวกวงผู้นี้ฝึกฝนวิชาชั่วร้าย กินเด็กหลายคนแล้วคงจะแข็งแกร่งไม่น้อย ที่แท้ก็เป็นเพียงไก่รองบ่อน”
จากนั้นบุรุษร่างกำยำก็สะบัดหมัดซ้าย ต่อยเข้าที่ศีรษะของเจ้าเมืองเหลี่ยวกวงจนแหลกสลาย!
“อ่อนแอเกินไป ยังไม่สะใจด้วยซ้ำ”
บุรุษร่างกำยำโยนศพไปยังที่แห่งหนึ่งอย่างไม่สนใจ กล่าวพึมพำ
จากนั้นก็มองไปยังมือกระบี่วัยกลางคนที่ยืนพิงเสาอยู่
มือกระบี่ผู้นั้นคาบหญ้าเอาไว้ที่ปาก สะพายกระบี่ไม้เอาไว้ที่เอว หลับตาลง
“พวกเราสองคนมาต่อสู้กันสักหน่อยเป็นอย่างไร?”
“อยากต่อสู้หรือ? ย่อมได้ หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น ข้ายินดีอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาปฏิบัติภารกิจ อย่าลืมคำสั่งของเจ้าศาลา”
มือกระบี่วัยกลางคนลืมตาขึ้นพลางกล่าว
“ดี นี่คือสิ่งที่เจ้ากล่าวเอง”