บทที่ 72 การต่อสู้ในหุบเขา
บทที่ 72 การต่อสู้ในหุบเขา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เหลือรอดชีวิตในสนามรบยืนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปได้ยังไง?” ดีม่อนบลัดกล่าวขึ้นมาอย่างหวาดกลัว
เพียงไม่กี่วินาทีพรรคพวกที่เดินทางมาด้วยกันแปดคนก็ถูกสังหารไปแล้วถึงสี่คน ในสนามรบจึงเหลือพวกเขาแค่สามคนกับเย่กู่ซิงที่กำลังหาโอกาสเข้าใกล้ลู่หยาง
ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะเยาะก่อนที่เขาจะใช้เบลซซิงเบิร์สใส่นักเวทคนหนึ่ง
-336
นักเวทตายทันที!
“รีบใช้เคาน์เตอร์สเปลเร็วเข้า อย่าปล่อยให้มันใช้เวทออกมาได้” ดีม่อนบลัดตะโกนบอกนักเวทคนสุดท้ายด้วยความหวาดกลัว
“ผมหยุดเวทเขาไม่ทันอีกฝ่ายร่ายเวทเร็วเกินไป” นักเวทตอบมาด้วยใบหน้าอันซีดเผือด
ลู่หยางเผยรอยยิ้มออกมาอย่างดูถูก เพราะในชาติที่แล้วมีคนที่สามารถใช้เคาน์เตอร์สเปลหยุดเวทของเขาได้เพียงแค่นิ้วมือเดียวเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่นักเวทตรงหน้าชายหนุ่มจึงใช้เบลซซิงเบิร์สฆ่านักเวทคนสุดท้าย
ในที่สุดในสนามรบก็เหลือเพียงแค่เย่กู่ซิงกับดีม่อนบลัดเพียงแค่สองคน เมื่อเย่กู่ซิงเห็นพรรคพวกทั้งเจ็ดคนโดนสังหารเขาก็ตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เพราะหากเขาถูกลู่หยางสังหารขึ้นมามันก็มีโอกาสสูงมากที่อุปกรณ์บนตัวของเขาจะดรอปลงไป
แน่นอนว่าโจรเลเวล 5 ย่อมยากที่จะหนีจากนักเวทเลเวล 10 และด้วยความต่างชั้นกันถึงห้าเลเวล มันจึงทำให้การล่องหนของโจรแทบไม่มีผลต่อหน้าของลู่หยางเลย ชายหนุ่มจึงมองเห็นเย่กู่ซิงที่พยายามปลีกตัวหนีออกไปได้อย่างชัดเจน
ลู่หยางใช้เบลซซิงเบิร์สฆ่าดีม่อนบลัดก่อนจะใช้สกิลแฟลชเทเลพอร์ตไปข้าง ๆ เย่กู่ซิง
“แกคิดว่าจะหนีรอดจริง ๆ เหรอ?”
รีซิสท์ไฟร์ริง!
วงแหวนเพลิงระเบิดออกมาจากร่างของลู่หยางอย่างรุนแรงผลักร่างของเย่กู่ซิงกระเด็นไปชนกำแพงจนทำให้ร่างของเขาถูกเปิดเผยออกมา
“แกกล้าฆ่าฉันงั้นเหรอ ฉันคือคนของบลัดเติสตี้นะ” เย่กู่ซิงพยายามข่มขู่แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“บลัดเติสตี้แล้วยังไง?” ลู่หยางกล่าวอย่างเยาะเย้ย เพราะท้ายที่สุดเขาก็คิดจะเป็นศัตรูกับบลัดเติสตี้อยู่แล้ว มือของชายหนุ่มจึงลุกไปด้วยเปลวไฟก่อนที่เขาจะใช้เบลซซิงเบิร์สยิงใส่เย่กู่ซิง
-336
เย่กู่ซิงเสียชีวิตด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว!
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงเย่กู่ซิงเสียชีวิตเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 นาทีเท่านั้น ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่านักเวทคนนี้มีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน
ชายหนุ่มมองดูอุปกรณ์ที่ดรอปจากพวกเย่กู่ซิงและได้พบว่ามันมีอุปกรณ์ระดับเงิน 2 ชิ้น อุปกรณ์ระดับทองแดง 6 ชิ้น ซึ่งของทั้งหมดต่างก็ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์เลเวล 5
“บลัดไทแรนท์คงจะโกรธจนเป็นบ้าไปแน่ ๆ” ลู่หยางคิดในใจก่อนจะเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นเข้ากระเป๋า แต่ในทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอสรพิษกรีดร้องดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ระบบ: คุณฆ่างูดำสามหัวสำเร็จได้รับค่าประสบการณ์ 600 หน่วย
เมื่อลู่หยางหันไปมองเขาก็สังเกตเห็นงูดำสามหัวถูกดาบขนาดใหญ่ของผู้พิทักษ์ป่าบาปนิรันดร์ฟันจนตายนอนกองกับพื้น โดยในขณะนี้ผู้พิทักษ์ป่าบาปนิรันดร์ยังมีพลังชีวิตเหลือมากกว่า 3,000 หน่วย เท่ากับว่ามันสูญเสียพลังชีวิตไปเพียงแค่ประมาณ 200 หน่วยในการจัดการกับบอสตัวนี้
เหตุการณ์นี้ทำให้ลู่หยางอดที่จะชื่นชมความสามารถของผู้พิทักษ์ป่าบาปนิรันดร์ขึ้นมาไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดในชาติที่แล้วเขาก็เคยได้ยินเพียงแต่ชื่อเสียงเกียรติศัพท์ของมันเพียงเท่านั้น เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้รับชมความเก่งกาจของอีกฝ่ายก็ในชาตินี้นี่เอง
ชายหนุ่มเดินไปตรวจสอบไอเท็มที่ดรอปลงมาจากงูสามหัว ซึ่งนอกเหนือจากน้ำยาชนิดต่าง ๆ มันก็มีหนังสือสกิลเล่มหนึ่งวางให้เห็นโดดเด่นอย่างชัดเจน
เฟลมเบิร์ด
ประเภท เวทมนตร์ธาตุไฟ
มานาที่ต้องใช้ 45
เวลาร่าย 3 วินาที
ระยะ 30 เมตร
รายละเอียด เสกเวทมนตร์เป็นนกไฟขนาดใหญ่ขว้างใส่ศัตรูสร้างความเสียหาย 225 หน่วยในรัศมี 3 เมตรรอบเป้าหมาย
ในที่สุดลู่หยางก็ได้รับสกิลโจมตีอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และถึงแม้สกิลนี้จะต้องใช้เวลาร่ายถึง 3 วินาที แต่มันก็มีวิธีย่อคาถาทำให้สามารถปลดปล่อยเวทมนตร์ออกมาได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นาน
ไอเท็มชิ้นที่ 2 คือถุงพิษงู แล้วถึงมันจะไม่มีคำอธิบายใด ๆ กำกับเอาไว้ แต่ในชาติที่แล้วคู่มือก็มีเขียนเอาไว้ว่ามันคือสิ่งที่สามารถใช้เพิ่มพลังให้กับลูกปัดอสรพิษ
ของชิ้นที่เหลือก็เป็นน้ำยาฟื้นฟูฉับพลัน ซึ่งหลังจากที่ชายหนุ่มเก็บไอเท็มทั้งหมดเข้ากระเป๋าแล้วลู่หยางก็ยังไม่ได้ออกจากหุบเขางูพิษ แต่เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมก่อนที่อีก 6 ชั่วโมงต่อมาเขาจะมาถึงสี่แยกในแผนที่เลเวล 20
ทางทิศเหนือคือทางไปยังเมืองไวท์ไลท์ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มีจุดหมายเดินทางไปยังเมืองนั้น ป้ายทางซ้ายบอกว่ามันเป็นเกาะเล็ก ๆ ริมทะเลเขาจึงเดินไปยังทางนั้นในทันที
4 ชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มก็เดินทางมาจนถึงเกาะเล็ก ๆ ซึ่งสถานที่แห่งนี้คือแผนที่เลเวล 25
เกาะ ๆ นี้เป็นเกาะที่ค่อนข้างพิเศษ เพราะบนเกาะมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่เพียงหมู่บ้านเดียว ผู้เล่นไม่สามารถเทเลพอร์ตมายังที่นี่ได้หากใครต้องการจะมาพวกเขาจำเป็นจะต้องเดินเท้ามาอย่างเดียว
เหตุผลที่ลู่หยางมายังเกาะเล็ก ๆ อย่างสถานที่แห่งนี้นั่นก็เพราะสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะมีอุปกรณ์ขั้นเทพที่เขาเคยใฝ่ฝันจะได้ครอบครองมันมาโดยตลอด ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนั้นนั่นก็คือดีวายไฟร์สตาฟ ไม้เท้าระดับกึ่งตำนานเลเวล 30
เพื่อเพิ่มความสนุกให้กับเกม เซคคัลเวิลด์จึงได้เพิ่มเอฟเฟกต์พิเศษ “ไม่จำกัดเลเวล” ให้กับอุปกรณ์ระดับอีปิคบางชนิด ซึ่งเอฟเฟกต์พิเศษนี้มีจำกัดในอุปกรณ์ระดับอีปิคเท่านั้น การจะจัดสรรพวกมันเป็นอุปกรณ์ระดับอีปิคจึงไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ ทางผู้เล่นจึงเรียกอุปกรณ์พวกนี้ว่าอุปกรณ์ระดับกึ่งตำนานเพื่อความสะดวกในการสื่อสารระหว่างผู้เล่นด้วยกันเอง
อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ประเภทนี้จะหาได้ยากมาก แม้แต่ในชาติที่แล้วใครที่ได้รับพวกมันมาก็แทบที่จะไม่เคยเปิดเผยแหล่งที่มาของพวกมันเลย
เหตุผลที่ลู่หยางรู้ว่าในเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีอุปกรณ์ระดับกึ่งตำนานอยู่ นั่นก็เพราะในชาติที่แล้วสตูดิโอแห่งหนึ่งเกิดขัดแย้งกันในเรื่องการเงินจนทำให้ข้อมูลนี้รั่วไหลออกมาสู่สาธารณะ
สาเหตุที่เขาท้าทายภารกิจของราชาตัวตลกและยอมใช้เวลานานกว่า 10 ชั่วโมงเพื่อพาผู้พิทักษ์ป่าบาปนิรันดร์ไปเก็บเลเวล นั่นก็เพราะเขาต้องการจะมาเอาดีวายไฟร์สตาฟชิ้นนี้นี่เอง
ลู่หยางพักผ่อนในหมู่บ้านชาวประมงสักครู่เพื่อรอให้ผู้พิทักษ์ป่าบาปนิรันดร์ก่อกบฏเป็นครั้งที่ 4 ก่อนจะใช้แหวนแห่งความฝันเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพรรคพวกของเขาอีกครั้งและทำการเดินทางต่อไป
หลังเดินผ่านป่าฝนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับซากปรักหักพังโบราณแห่งหนึ่ง
กำแพงเมืองสีเขียวที่เคยยิ่งใหญ่ถูกลมฝนกัดกร่อนจนพังทลาย ทั่วทั้งกำแพงเมืองจึงปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวหนา ขณะที่ตรงกลางเมืองมีพระราชวังขนาดมหึมา
ตามเนื้อเรื่องของเกมสถานที่แห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของเผ่านีล ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอัจฉริยะคล้ายมนุษย์ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเผ่านีลจึงสาบสูญไปเหลือทิ้งเอาไว้เพียงแค่เมืองร้างและกษัตริย์ที่ถูกสังหารอยู่ท่ามกลางกองเลือด