บทที่ 313 ท่านอา
ความสามารถในการรับกลิ่นที่ละเอียดอ่อนเช่นซูเล่ออวิ๋นหาได้ยากนัก ไป๋หรงเพิ่งเคยเห็นคนที่แยกแยะกลิ่นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก
“พิษน่าจะถูกเคลือบไว้บนอาวุธมีคมแล้วเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผล” ซูเล่ออวิ๋นอธิบายตามความคิดของตน
“บาดแผลอื่นๆ บนร่างท่านอ๋องนั้นเริ่มฟื้นตัวแล้ว มีเพียงแผลที่โดนพิษนี้เท่านั้นที่ไม่อาจสมานได้ เกรงว่าพิษนี้มีฤทธิ์ขัดขวางการสมานแผลด้วย”
ไป๋หรงพยักหน้า เพราะเขาเป็นผู้ดูแลบาดแผลของเซียวเฉิงอวี้มาโดยตลอด ซูเล่ออวิ๋นวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
จางผู้เฒ่านิ่งฟังไปพลาง ตรวจดูพิษในเลือดและเนื้อที่เน่าเสียในขณะเดียวกัน เพื่อหาทางรักษาก็ต้องเริ่มจากการรู้จักพิษนั้น
“พิษบนเนื้อเน่าคงเป็นพิษดั้งเดิมที่ถูกเคลือบไว้อย่างเข้มข้น ส่วนพิษในเลือดนั้นผ่านการไหลเวียน จึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย”
เมื่อเห็นว่าจางผู้เฒ่าไม่โต้แย้ง ซูเล่ออวิ๋นก็มั่นใจว่าสิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้อง จึงยิ่งกล่าวด้วยความมั่นใจ
คำอธิบายของนางไม่ซับซ้อนนัก ไป๋หรงซึ่งมีพื้นฐานทางการแพทย์ดีอยู่แล้วจึงเข้าใจได้ทันที และยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าทักษะการแพทย์ของนางคล้ายกับใครบางคนที่เขาเคยรู้จัก
“เสร็จแล้ว”
จางผู้เฒ่าเทสารที่สกัดออกมา ซึ่งเป็นพิษจากเลือดและเนื้อที่ผ่านการรวมความเข้มข้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบ
จากนั้นจางผู้เฒ่าจึงเริ่มมอบหมายให้ไป๋หรงและซูเล่ออวิ๋นช่วยจัดการยา พวกเขาต้องใช้สมุนไพรหลากหลายชนิดที่ต้องปรุงในวิธีต่างกัน แม้ตอนแรกไป๋หรงจะกังวลว่าซูเล่ออวิ๋นจะไม่สามารถทำได้ แต่นางกลับทำได้อย่างเชี่ยวชาญไม่ต่างจากเขา ไป๋หรงถึงกับตกใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าคุณหนูซูจะเก่งถึงเพียงนี้
เมื่อมัวแต่ยุ่งทั้งวัน เวลาก็ผ่านไปจนพลบค่ำ ซูเล่ออวิ๋นไม่สะดวกจะอยู่นานจึงขอตัวกลับ เหลือเพียงไป๋หรงที่คอยช่วยงานจางผู้เฒ่าต่อ
“ท่านจาง คุณหนูซูเป็นศิษย์ของท่านหรือ”
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ไป๋หรงสังเกตเห็นว่าจางผู้เฒ่าให้ความเอาใจใส่ดูแลซูเล่ออวิ๋นเป็นพิเศษ ประกอบกับทักษะทางการแพทย์ของนางจึงทำให้ไป๋หรงคิดว่านางคงเป็นศิษย์ของจางผู้เฒ่า
ทว่าจางผู้เฒ่ากลับส่ายหน้า “นางมีอาจารย์ของนางอยู่แล้ว”
“อาจารย์ของนางอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่”
ถ้าอาจารย์ของซูเล่ออวิ๋นอยู่ในเมืองหลวง บางทีอาจช่วยกันรักษาพิษในตัวนายท่านให้หายได้เร็วขึ้น
จางผู้เฒ่าส่ายหน้าอีกครั้ง “อาจารย์ของนางไม่ได้อยู่ที่นี่ ส่วนอยู่ที่ไหนนั้น ข้าเองก็ไม่รู้”
หากรู้ เขาคงตามไปพบแล้ว
ไป๋หรงรู้สึกเสียดาย แต่ก็ทำใจได้และกลับไปทำงานต่ออย่างเงียบๆ
...
ที่จวนสกุลซุน
ซูเล่ออวิ๋นแอบย่องกลับเข้ามาในเรือน เหลียนซินและชุ่ยหลิ่วที่รอคอยอยู่นานก็รีบเข้ามารับหน้า
เพราะการพาคนไปด้วยนั้นไม่สะดวกนัก ซูเล่ออวิ๋นจึงไปเพียงลำพัง มีเพียงซุนเหวินที่คอยเฝ้าระวังอยู่ในมุมมืด
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
เหลียนซินช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ซูเล่ออวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านหญิงให้คนมาตามคุณหนู ท่านรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากซูเล่ออวิ๋นเปลี่ยนชุดเสร็จ นางก็ตรงไปยังเรือนเจีย
ทันทีที่เข้ามาในห้อง นางก็เห็นซุนเจียงหรูกำลังยิ้มต้อนรับพร้อมกับโบกมือเรียก “ลูก แม่มีเรื่องจะบอก”
“แม่ มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“อาของแม่ส่งจดหมายมาบอกว่าจะมาถึงเมืองหลวงพรุ่งนี้”
เนื่องจากเป็นงานแต่งของซุนฉางผิง พี่ชายคนโตของนาง ซุนเจียงหรูวจึงแจ้งข่าวให้ญาติๆ ทางฝั่งมารดาทราบ
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าท่านอาผู้ยิ่งใหญ่จะมาเยือนด้วยตนเอง หลังจากที่ท่านยายเสียชีวิต ท่านก็ไม่เคยกลับมาที่เมืองหลวงอีกเลย คราวนี้จึงเป็นครั้งแรก ทำให้ซุนเจียงหรูรู้สึกดีใจมาก
ซูเล่ออวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่านแม่เพื่อรับท่านอาที่ประตูเมืองเจ้าค่ะ”
“แม่ก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดี พรุ่งนี้จะมีสะใภ้รองและเสี่ยวเซวียนไปด้วยกัน”
ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้ารับ
ซุนเจียงหรูถามอีกว่า “ลูกกินข้าวเย็นแล้วหรือยัง”
“ยังเลยเจ้าค่ะ” ซูเล่ออวิ๋นตอบพร้อมส่ายหน้า
“งั้นก็มากินเป็นเพื่อนแม่เถอะ” ซุนเจียงหรูหันไปหาหลี่มามา และอีกฝ่ายก็รีบสั่งให้สาวใช้ยกอาหารเย็นมา
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ซูเล่ออวิ๋นก็ขอตัวออกมา ระหว่างทางกลับเรือนของตน นางตกอยู่ในห้วงความคิด
ในชาติก่อน ท่านอาก็เคยกลับมาเยือนเมืองหลวง แต่เป็นหลังจากที่ท่านแม่ของนางจากไปแล้ว งานแต่งของพี่ชายคนโตในชาติก่อนนั้น ท่านอาก็ไม่ได้มาเยือน คราวนี้ที่ท่านบอกว่าตั้งใจมาเพื่อร่วมงานแต่ง พอคิดดูแล้วก็ชวนให้รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ
...
บ่ายวันถัดมา ในยามเว่ยสามเค่อ (ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง) ซูเล่ออวิ๋นและซุนเจียงหรูนั่งอยู่ในรถม้ารอที่ประตูเมือง ในขณะที่รถม้าคันหลังมีฉินจื่อเหยียนและซุนอวี้เซวียนนั่งอยู่
ไม่นานนัก ก็มีขบวนรถม้าหลายคันแล่นตรงมาและหยุดลงที่ข้างรถม้าของตระกูลซุน
บ่าวชายที่เดินตามข้างรถม้าเข้ามาถามว่า “ขอถามหน่อย นี่คือรถม้าของตระกูลซุนใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” ซุนอู่ที่นั่งหน้ารถในฐานะสารถีตอบกลับอย่างหนักแน่น ตอนนี้ซุนอู่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเงามืด จึงใช้สถานะเป็นสารถีซึ่งสะดวกที่สุด
เหลียนซินเปิดม่านออกมาเล็กน้อย เพื่อให้ซูเล่ออวิ๋นและซุนเจียงหรูเห็นสถานการณ์ข้างนอกได้ชัดเจน
ทันใดนั้น ม่านของรถม้าคันหน้าสุดก็เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าสาวน้อยที่ดูน่ารักสดใส
“ท่านน้า! พี่สาว!”
นางโบกมือให้ซุนเจียงหรูและซูเล่ออวิ๋น ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสและดูมีชีวิตชีวา
บริเวณประตูเมืองไม่สะดวกนักที่จะสนทนา ขบวนรถม้าจึงเคลื่อนตัวเข้าเมืองและมุ่งหน้าสู่จวนตระกูลซุนทันที
เมื่อมาถึงจวน ซุนเจียงหรูและซูเล่ออวิ๋นลงจากรถม้าและมองไปยังขบวนรถที่ตามมาข้างหลัง สาวน้อยที่เคยทักทายพวกนางก่อนหน้านี้ลงมาจากรถเป็นคนแรก นางกำลังจะเดินตรงไปหาพวกเขาแต่ก็หยุดเท้าแล้วหันกลับไปยืนข้างรถม้า
ครู่ต่อมา หญิงชราผมขาวก็ลงมาจากรถม้าคันนั้น ซุนเจียงหรูรีบเดินเข้าไปหาโดยมีซูเล่ออวิ๋น ฉินจื่อเหยียน และซุนอวี้เซวียนเดินตามหลัง
“ท่านอาเจ้าคะ”
หญิงชราได้ยินเสียงของซุนเจียงหรู จึงเงยหน้ามองนางครู่หนึ่งก่อนจะเบือนสายตาไป “หลิงหลิง พาข้าเข้าไปเถอะ”
สาวน้อยสดใสร่าเริงรีบรับคำแล้วประคองท่านยายของนางเข้าไปในจวนตระกูลซุน เห็นได้ชัดว่านางดูจะไม่ชอบใจในตัวซุนเจียงหรูนัก
ซูเล่ออวิ๋นได้แต่ครุ่นคิดตามหลังท่านไป
ซุนเจียงหรูยังคงยิ้มอ่อนโยน ราวกับไม่รับรู้ถึงท่าทีของท่านอา
“ที่พักที่จัดไว้สำหรับท่านอยู่ทางนี้ ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านน้า”
สาวน้อยแย้มยิ้มสดใสให้ซุนเจียงหรู เป็นรอยยิ้มที่น่ารักสดใสจนใครเห็นเป็นต้องใจอ่อน
แม้จะเพิ่งได้รับจดหมายเมื่อวาน แต่ที่พักก็ถูกจัดเตรียมทำความสะอาดอย่างเรียบร้อยจนดูไม่ออกว่าจัดเตรียมเพียงข้ามคืน
เมื่อเห็นที่พักที่เตรียมไว้ นางก็มีสีหน้าพึงพอใจขึ้นเล็กน้อย
ซุนเจียงหรูกล่าวว่า “ท่านอา หากมีอะไรเพิ่มเติมที่ต้องการก็บอกได้นะเจ้าคะ ข้าจะให้คนไปจัดหาให้”
“ไม่ต้อง ข้ารอนานจนเหนื่อยแล้ว ไว้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วค่อยเรียกข้าก็แล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”