บทที่ 312 พิษแห่งหนานเจียง
“ท่านจาง เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก”
เมื่อเห็นว่าจางผู้เฒ่ากังวลเพราะเป็นห่วงตน ซูเล่ออวิ๋นรู้สึกทั้งหนักใจและซาบซึ้งอยู่ในใจ แม้ว่าความห่วงใยนี้อาจเกิดจากความสัมพันธ์กับอาจารย์ของนาง แต่สุดท้ายก็ทำให้นางได้รับประโยชน์มากมายจากความเมตตาของเขา
จางผู้เฒ่ามองสำรวจซูเล่ออวิ๋น และเมื่อเห็นท่าทางของหลิวเฟิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นการข่มขู่อย่างที่เขาคิด
“พวกเจ้า…รู้จักกันหรือ”
จางผู้เฒ่าสังเกตเห็นว่าหลิวเฟิงแสดงท่าทีเคารพต่อซูเล่ออวิ๋น จึงนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง
ซูเล่ออวิ๋นเดินเข้าไปใกล้จางผู้เฒ่า สังเกตเห็นริมฝีปากของเขาซีดขาวและบาดแผลหลายแห่ง นางพลันมีแววโกรธขึ้นในดวงตา
“พวกเขาทรมานท่านหรือ”
“ไม่เป็นไรหรอก” จางผู้เฒ่ายิ้มบางๆ น้ำเสียงแฝงความอ่อนโยนราวกับจะปลอบใจนาง
ซูเล่ออวิ๋นกลั้นโทสะไว้ในใจ ก่อนจะตอบคำถามของจางผู้เฒ่า “ที่พวกเขาเชิญข้ามานี้ ก็เพราะหวังให้ข้าช่วยพูดให้ท่านรักษาชีวิตผู้คน”
“ถ้าข้าบอกว่า ข้าไม่อยากรักษาล่ะ”
แม้ใจจะเอนเอียง เพราะซูเล่ออวิ๋นเป็นศิษย์ของคนคุ้นเคย แต่จางผู้เฒ่าก็ยังลังเล
ซูเล่ออวิ๋นไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำให้จางผู้เฒ่าไม่ยอมช่วย แต่ก็พอจะเห็นว่าเขาไม่ได้พูดเล่น นางขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ
ครู่หนึ่ง จางผู้เฒ่าก็ถอนหายใจยาว ราวกับยอมจำนน “ข้าจะลองดูอาการเบื้องต้นก่อน เผื่อว่าอาการของเขาจะไม่ถึงขั้นที่ต้องให้ข้าลงมือเอง”
ซูเล่ออวิ๋นตะลึงไปชั่วครู่ นางไม่เข้าใจว่าทำไมจางผู้เฒ่าถึงเปลี่ยนใจยอมรับ
“เยี่ยมมาก!”
ไป๋หรงยิ้มอย่างโล่งใจทันที และรีบให้หลิวเฟิงเตรียมการในทันที
ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือนั้นคือเซียวเฉิงอวี้ ซึ่งไม่อาจให้จางผู้เฒ่ารู้ตัวตนได้โดยตรง
เมื่อเตรียมการเรียบร้อย ภายในห้องมืดสลัวไร้แสงไฟ มีผ้าม่านกั้นอยู่ตรงเตียง และวางเพียงแขนของผู้ป่วยยื่นออกมาจากเตียงให้จางผู้เฒ่าได้จับชีพจร
จางผู้เฒ่ามองสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างสงบก่อนจะวางมือบนข้อมือของผู้ป่วย ใบหน้าของเขาค่อยๆ ขรึมขึ้นเมื่อสัมผัสชีพจร
คนในห้องรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของจางผู้เฒ่า
ซูเล่ออวิ๋นเองก็มีสัมผัสไว นางไม่รู้สถานการณ์ของเซียวเฉิงอวี้เป็นอย่างไร แต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นยาสมุนไพรหลายชนิดในอากาศ และล้วนเป็นสมุนไพรสำหรับประคองชีวิต
นั่นหมายความว่า เซียวเฉิงอวี้ในตอนนี้แทบจะอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่เท่านั้น จึงไม่แปลกที่หลิวเฟิงจะร้อนใจถึงเพียงนี้
เวลาผ่านไปสักพัก จางผู้เฒ่าจึงปล่อยมือออกแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องตรวจดูอาการโดยละเอียดมากกว่านี้”
การวินิจฉัยตามหลักแพทย์นั้นจำเป็นต้องดูอาการโดยละเอียด ทั้งการสังเกต ฟัง และซักถามให้ครบถ้วน
ไป๋หรงเข้าใจความหมาย แต่ก็ดูจะลังเลเล็กน้อย เขาจึงพูดกับจางผู้เฒ่าว่า “เรื่องนี้ ข้าคงต้องขอไปปรึกษาก่อน”
“เชิญตามสบาย”
จางผู้เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง ซูเล่ออวิ๋นเองก็ตามออกไป เพราะเรื่องนี้นางไม่อาจก้าวก่ายการตัดสินใจได้
“ท่านจาง ท่านคิดว่าอาการของเขาเป็นอย่างไร”
“เลวร้ายมาก”
“ท่านจาง ไม่ว่าอีกสักครู่ท่านจะเห็นสิ่งใด ขอท่านโปรดปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ไป๋หรงออกมาจากห้องด้วยท่าทีสุภาพต่อจางผู้เฒ่า เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของนายท่านจึงต้องระมัดระวังยิ่งนัก
จางผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามไป๋หรงเข้าไปในห้อง ตอนนั้นเองม่านที่ปิดบังเตียงไว้อยู่ก็ถูกดึงออก เผยให้เห็นร่างของเซียวเฉิงอวี้ที่นอนอยู่ จางผู้เฒ่ากะพริบตาแล้วมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวที่ไร้เลือดฝาดนั้น แสดงว่าเขาจำเซียวเฉิงอวี้ได้
“พิษนี้ท่านได้รับมาอย่างไร ช่วยบอกข้าให้ละเอียดด้วย”
จางผู้เฒ่าพูดพลางตรวจดูอาการของเซียวเฉิงอวี้พร้อมทั้งสอบถามไป๋หรงและหลิวเฟิง มือของเขาขยับอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
ซูเล่ออวิ๋นที่ก้าวเข้ามาสังเกตเห็นเซียวเฉิงอวี้บนเตียง ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด ราวกับคนที่ไร้ชีวิต หากไม่มีลมหายใจแผ่วเบาก็แทบไม่ต่างจากผู้ที่เสียชีวิตแล้วจริงๆ
หลังจากจางผู้เฒ่าตรวจอาการเสร็จ ไป๋หรงและหลิวเฟิงก็อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด
พิษนี้เกี่ยวข้องกับชนเผ่าทางตะวันตกเฉียงเหนือ องค์ชายรองถูกเซียวเฉิงอวี้จับกุม แม้จะได้รับการไถ่ตัวโดยผู้ปกครองอาณาจักรอวี๋ข่าน แต่ก็เป็นการสร้างความอับอายอย่างใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้อวี๋ข่านวางแผนและส่งมือสังหารไปหมายปลิดชีพเซียวเฉิงอวี้
พวกเขาส่งนักฆ่ามือสังหารซึ่งยอมตายได้มาไม่หยุดจนกว่าจะสำเร็จ ตอนนั้นมีเพียงเซียวเฉิงอวี้และซูเยี่เพียงสองคน การจะรับมือกับนักฆ่าหลายคนจึงเป็นไปได้ยาก และทั้งสองก็พลาดท่าให้กับพิษอันแยบยลนี้
เมื่อซูเล่ออวิ๋นนึกถึงพี่ชายของนางที่กลับมาพร้อมบาดแผลและเลือดอาบทั่วร่าง นางรู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ถูกพิษเช่นกัน
“พิษนี้ไม่น่าจะใช่พิษที่ชนเผ่าตะวันตกเฉียงเหนือใช้กัน”
จางผู้เฒ่าสรุป “กลับคล้ายกับพิษจากหนานเจียงมากกว่า”
หนานเจียงหรือ
แม้ซูเล่ออวิ๋นจะรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก แต่นางนึกถึงผู้หนึ่ง ผู้ติดตามแปลกประหลาดของซูหว่านเอ๋อร์คือหลานมามา ซึ่งดูเหมือนจะมีความเกี่ยวพันกับหนานเจียง
“ข้าคงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดกว่านี้ว่าเป็นพิษชนิดใด เล่ออวิ๋น ช่วยข้าด้วย”
จางผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น
ซูเล่ออวิ๋นไม่ปฏิเสธ ส่วนไป๋หรงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
หลิวเฟิงให้จัดห้องอีกห้องข้างห้องพักของเซียวเฉิงอวี้สำหรับให้จางผู้เฒ่าและซูเล่ออวิ๋นทำงานได้สะดวก และไป๋หรงก็ติดตามไปด้วย แม้ซูเล่ออวิ๋นจะไม่รู้จักไป๋หรงมาก่อน แต่นางก็ดูออกว่าเขาเป็นหมอผู้มีความสามารถ
จางผู้เฒ่านำเลือดพิษและเนื้อจากบาดแผลของเซียวเฉิงอวี้มาผสมแล้วให้ซูเล่ออวิ๋นตรวจสอบ เขารู้ดีว่านางมีประสาทรับกลิ่นที่ไวต่อสารพิษ บางทีอาจช่วยระบุสารพิษได้บ้าง
ซูเล่ออวิ๋นรับถ้วยที่จางผู้เฒ่ายื่นมา ก่อนจะสูดดมอย่างละเอียดแล้วพูดขึ้น “กลิ่นเลือดและกลิ่นเนื้อแตกต่างกันเล็กน้อย”
ไป๋หรงที่ได้ยินดังนั้นก็เบิกตาขึ้นด้วยความประหลาดใจและก้มลงดมเช่นกัน แต่สำหรับเขากลิ่นทั้งสองเหมือนกันหมด คือ กลิ่นเหม็นของพิษที่น่าขยะแขยง เขาจึงหันมามองซูเล่ออวิ๋นอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณหนูซู กลิ่นทั้งสองต่างกันอย่างไรหรือ”