บทที่ 311 ‘การข่มขู่’
ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ภายในห้องมีเสียงครางแผ่วเบาดังขึ้น
หลิวเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไป เขาผลักประตูเข้าไป และก็เห็นว่าจางผู้เฒ่าฟื้นขึ้นมาแล้ว เขายังคงมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน
เมื่อความสับสนในแววตาค่อยๆจางลง เขาก็สังเกตเห็นหลิวเฟิง
“เจ้าเป็นใคร”
“จางโหย่วเลี่ยง” หลิวเฟิงเอ่ยเรียกชื่อเสียงเรียงนามของเขา
ร่างของจางผู้เฒ่าสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดหรืออย่างอื่น
“ข้าไม่ได้ยินชื่อนี้มานานมากแล้ว” เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ค่อยๆพยุงตัวขึ้นนั่งบนเตียง
หลิวเฟิงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาไป ตอนนั้นเองที่ไป๋หรงเดินเข้ามาพอดี
“หมอเทวดาจาง” ไป๋หรงเผยความยินดีเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจางผู้เฒ่าฟื้นแล้ว
จางผู้เฒ่ามองไปที่หลิวเฟิงและไป๋หรงสลับกัน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ “ข้าเลิกช่วยชีวิตผู้คนมานานแล้ว”
“อะไรนะ” ไป๋หรงอึ้งไป เพราะทราบมาว่าจางผู้เฒ่ายังคงเป็นหมออยู่ที่ร้านไป่เฉ่าถัง เขาถึงกับถามอย่างฉงนใจ
จางผู้เฒ่าเห็นท่าทางสงสัยของไป๋หรง แต่ไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม
แม้เขาจะอยู่ที่ร้านไป่เฉ่าถัง แต่ก็แทบไม่ได้รักษาผู้ใดมานานแล้ว ส่วนทาโนนั้นถือเป็นข้อยกเว้น
หลิวเฟิงยิ้มน้อยๆ “แม้จะไม่ได้รักษามานาน ก็ใช่ว่าจะเลิกตลอดไปไม่ใช่หรือ?”
ไป๋หรงส่งสายตาเตือนหลิวเฟิง เขารู้ดีว่าชายผู้นี้คือหมอเทวดาผู้โด่งดังในอดีต แม้จะเงียบหายไปหลายปี แต่จางโหย่วเลี่ยงก็ยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่อาจรักษานายท่านได้
ไป๋หรงจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หมอเทวดาจาง หากเราไม่จนปัญญาจริงๆ ก็คงไม่คิดจะบังคับท่าน”
จางผู้เฒ่ากลับไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
“ท่านมีหลานชายอยู่มิใช่หรือ ท่านเองก็คงไม่อยากให้เขาเดือดร้อน” หลิวเฟิงเอ่ยเสียงหนัก แน่นอนว่าเขาช่วยจางผู้เฒ่ามาเพื่อให้เขาช่วยรักษานายท่าน ไม่ใช่เพื่อให้เขามาปฏิเสธแบบนี้
เมื่อจางผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น เขากลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าวางใจในตัวเสี่ยวหยาง”
บรรยากาศรอบตัวพลันเงียบลงในทันที สีหน้าของหลิวเฟิงแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ไป๋หรงส่งสายตาให้ลิ่วเฟิงออกไปก่อน จากนั้นจึงหันมาพูดกับจางผู้เฒ่าอย่างใจเย็น
“หมอเทวดาจาง ข้าไม่รู้ว่าท่านกังวลสิ่งใด แต่ท่านเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเราแล้ว”
แม้ใบหน้าของไป๋หรงจะดูละม้ายคล้ายสตรี แต่ด้วยท่าทางอบอุ่นและรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกราวกับได้สัมผัสลมอ่อนแห่งฤดูใบไม้ผลิ จางผู้เฒ่าจึงมีทัศนคติที่ดีต่อเขาตั้งแต่แรกพบ
อย่างไรก็ตาม จางผู้เฒ่าก็ไม่ได้ไว้หน้าพวกเขา เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าคิดว่าเสียเปรียบ ก็ส่งข้ากลับไปเถิด”
กลับไปไหน ทุกคนต่างก็รู้ดี
พูดจบ จางผู้เฒ่าก็ไอโขลกจนบาดแผลสะเทือนขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดไปอีกครั้ง ไป๋หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดโน้มน้าวอีก
เขาเพียงลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง
ด้านนอก หลิวเฟิงยืนรอด้วยสีหน้าบึ้งตึง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันไปมองและแค่นเสียงออกมา “ดูท่าทางเจ้าก็ไม่สำเร็จสินะ”
เขาพูดพลางเตรียมตัวจะเข้าไปในห้องท่าทางดุดันราวกับตั้งใจจะบีบบังคับไปถึงที่สุด
ไป๋หรงรีบขวางไว้
“เจ้าจะทำอะไร”
“เจ้าต้องใจเย็น เจ้าเข้าไปตอนนี้จะทำอะไรได้” ไป๋หรงดึงหลิวเฟิงถอยออกมาเล็กน้อยและพูดเตือนเบาๆ
หลิ่เฟิงรู้ดีว่าต่อให้บีบคั้นก็คงไม่เป็นผลกับจางผู้เฒ่าอยู่ดี เขาถึงยอมให้ไป๋หรงฉุดตัวออกมา
“ข้าน่ะทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก เลยอยากลองสักตั้ง” หลิวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
ไป๋หรงถอนใจ เขาเองก็เป็นห่วงนายท่านไม่แพ้กัน นายท่านนอนหมดสติอยู่หลายวันแล้ว พิษได้แผ่กระจายไปทั่วร่าง หากปล่อยนานกว่านี้พิษจะกัดกินถึงอวัยวะภายใน และต่อให้ฟื้นขึ้นมาได้ นายท่านก็คงมีชีวิตเหลืออยู่ไม่มากนัก
“ข้าจะลองคุยกับหมอเทวดาจางดูอีกที” ไป๋หรงกล่าว แล้วหยุดคิด
“เจ้าลองส่งคนไปตามหาหลานชายของจางผู้เฒ่าดู อาจจะเริ่มจากเขาหรือจากคนในร้านไป่เฉ่าถังก็ได้”
“คนอื่นในร้านหรือ” หลิวเฟิงนึกถึงซูเล่ออวิ๋น หญิงสาวที่มาช่วยขอร้องแทนจางผู้เฒ่าก่อนหน้านี้ อาจจะลองให้คุณหนูซูช่วยโน้มน้าวเขาดูอีกทาง
เมื่อคิดได้เขาก็รีบตรงไปยังจวนสกุลซุน แต่ระหว่างปีนข้ามกำแพงเข้าไป เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เป็นเพียงยามเช้าตรู่ เกรงว่าคุณหนูซูอาจจะยังไม่ตื่น
ซุนเหวินที่เห็นท่าทางหลิวเฟิงยืนนิ่งอยู่ริมกำแพง ก็ถอนใจและเดินเข้าไปถาม “หลิวเฟิง ท่านมีธุระอะไรรึ?”
ตั้งแต่องค์ชายเกิดเรื่อง หลิวเฟิงมาหาที่จวนนี้บ่อยขึ้นมาก
“ข้าต้องขอโทษจริงๆ ข้ามาอย่างรีบร้อนจนลืมเวลา”
หลิวเฟิงเกรงใจที่จะรบกวนซูเล่ออวิ๋น เขากับซุนเหวินจึงยืนรออยู่ด้านนอกจนถึงยามสาย
เมื่อเห็นว่ามีคนในเรือนเริ่มเดินขวักไขว่อยู่ในลาน ซุนเหวินจึงเข้าไปแจ้งเรื่อง
ซูเล่ออวิ๋นที่ได้รับรายงานจากซุนเหวินรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยและเชิญหลิวเฟิงเข้ามา
“ช่วยจางผู้เฒ่าออกมาได้แล้วหรือ” ซูเล่ออวิ๋นถาม
“พาตัวออกมาได้แล้วขอรับ” หลิวเฟิงตอบ นางรู้สึกโล่งใจขึ้น แต่ก่อนที่จะได้ถามต่อ หลิวเฟิงก็พูดขึ้นว่า “คุณหนูซู แต่เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านช่วยอีกครั้ง”
“ข้าหรือ” ซูเล่ออวิ๋นชี้นิ้วมาที่ตัวเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อจางผู้เฒ่าถูกช่วยออกมาแล้ว ยังจะต้องให้นางทำอะไรอีก
เมื่อฟังเรื่องราวจบ ซูเล่ออวิ๋นจึงได้เข้าใจ เหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาดูเหมือนจะค่อยๆ เผยคำตอบทีละน้อย ช่วงที่นางอยู่ที่ไป่เฉ่าถัง
จางผู้เฒ่าแทบไม่ได้รักษาผู้ใดเลย เขาเพียงยืนให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น หากจางผู้เฒ่าเป็นถึงหมอเทวดา เหตุใดเขาถึงต้องปิดบังตัวตนไว้
“ข้าจะลองดู” ซูเล่ออวิ๋นตอบรับการร้องขอของหลิวเฟิง การช่วยจิ้นอ๋องครั้งนี้สำหรับนางเองก็นับว่าสำคัญ
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ซูเล่ออวิ๋นที่แต่งตัวปลอมเป็นชายก็เดินทางไปจวนจิ้นอ๋องพร้อมกับหลิวเฟิง นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนางมาเยือนจวนนี้ด้วยตนเองแล้ว ยังพอหาทางอธิบายได้ แต่หากจะมาอีกวันติดๆ กันก็คงอธิบายยาก อีกทั้งในสายตาคนนอก จิ้นอ๋องมิได้อยู่ในจวนแล้ว นางเป็นหญิงยังไม่แต่งงาน แต่กลับไปมาหาชายหนุ่มบ่อยๆ คงจะยิ่งผิดสังเกต
ภายในห้อง ไป๋หรงยังคงพูดโน้มน้าวจางผู้เฒ่า ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแม้แต่จะฟัง จนกระทั่งไป๋หรงเองก็ชักจะหมดความอดทน
“เจ้าอย่าเสียเวลาพูดเลย เสียเวลามากมายเปล่าๆ เช่นนี้ ไปลองหาวิธีอื่นดูจะไม่ดีกว่าหรือ”
จางผู้เฒ่าหลับตาลง ไม่สนใจฟังคำพูดของไป๋หรงอีก ตอนนี้เขาเป็นห่วงเพียงแค่หลานชายของเขาคือจางหยางและทาโนเท่านั้น
เสียงประตูห้องเปิดขึ้น มีเสียงฝีเท้าหลายคนดังขึ้น
“จะให้ใครมาเกลี้ยกล่อมข้าก็เสียเวลาเปล่า…”
“จางผู้เฒ่า ข้าเอง”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จางผู้เฒ่าจึงลืมตาขึ้นมอง “เล่ออวิ๋น เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เขาหันไปมองหลิวเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าขึงขัง “เป็นเจ้าที่พาตัวเล่ออวิ๋นมาขู่ข้าอย่างนั้นหรือ”