ตอนที่แล้วบทที่ 307 : ฤดูใบไม้ร่วง (8)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 309 : ฤดูใบไม้ร่วง (10)

บทที่ 308 : ฤดูใบไม้ร่วง (9)


[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]

บทที่ 308 : ฤดูใบไม้ร่วง (9)

ที่สำนักงานสาขาต่างประเทศของบริษัทบันเทิง Bw ใน LA คังวูจินกวาดตามองไปรอบ ๆ ออฟฟิศที่ยังจัดการไม่เรียบร้อยนัก สีหน้าเคร่งขรึมยังคงนิ่งเฉยราวกับรูปสลัก

ทว่าภายในใจกลับปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งกว่าพายุ

‘นี่มันบ้าไปแล้ว! นี่เหรอสำนักงานสาขาต่างประเทศของเรา?!’

ความตกตะลึงแล่นริ้วผ่านความคิด ถึงจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นเร็วถึงเพียงนี้ แถมยังเป็นออฟฟิศที่ดูโอ่อ่า ทันสมัย แล้วยังมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่รูปเขาติดเด่นเป็นสง่าอยู่บนผนังอีก

‘นี่มัน... ทำไมต้องติดรูปฉันแบบนี้ด้วย? น่าอายเป็นบ้า’

เขายังแทบไม่มีชื่อเสียงอะไรในฮอลลีวูด การเห็นโปสเตอร์ตัวเองขนาดใหญ่โตกลาง LA แบบนี้ยิ่งทำให้ความรู้สึกขายหน้าทวีคูณขึ้นเป็นเท่าตัว ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์เข้ม ๆ ดุดันจะช่วยกลบเกลื่อนความรู้สึกกระดากอายนั้นไปได้บ้างก็ตาม แต่การที่ต้องเป็นรูปเขาเด่นหราขนาดนี้ก็ยังทำให้รู้สึกเคอะเขินอยู่ดี

ในขณะนั้น ชเวซองกุนผู้ไว้ผมหางม้ายาวสยายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ วูจินก็ยิ้มกริ่มเอ่ยถามขึ้น

“เป็นไงบ้าง?”

จะเป็นยังไงได้เล่า นอกจากประหลาดใจ! ความจริงแล้วหัวใจของวูจินเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องราวจะมาไกลถึงเพียงนี้ เมื่อไม่นานมานี้ คังวูจินยังไม่เคยแม้แต่จะนึกถึง LA ด้วยซ้ำ แต่บัดนี้เขากลับยืนอยู่หน้าสำนักงานสาขาต่างประเทศที่มีรูปเขาเป็นจุดสนใจ ความรู้สึกถึงภาระรับผิดชอบบางเบาเริ่มก่อตัวขึ้นในอก

ชเวซองกุนผายมือไปทางโปสเตอร์คังวูจินบนผนัง ก่อนจะกล่าวต่อ

“ฉันรู้ว่านายคงไม่รู้สึกกดดันหรอก แต่จะบอกไว้ก่อนก็แล้วกันว่าโปสเตอร์นี้เปรียบเสมือนเครื่องรางของเรา เป็นสัญลักษณ์ว่าเราจะเริ่มบุกตลาดฮอลลีวูดโดยมีนายเป็นผู้นำ! ประมาณนั้น โอเคไหม?”

วูจินผู้มีสีหน้าเรียบเฉยราวกับนักโป๊กเกอร์มืออาชีพพยักหน้ารับเบา ๆ

“ไม่เลวเลยครับ”

“ฮึ ๆ ใช่ ถ้าดูแคบไปหน่อยก็เพราะที่นี่ใช้ร่วมกับออฟฟิศข้าง ๆ ด้วย พอเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้วก็จะใช้ได้สะดวกเลยล่ะ เอาเป็นว่าเริ่มจากที่นี่ก่อน แล้วพอนายยิ่งใหญ่กว่านี้ เราค่อยย้ายไปที่กว้างกว่านี้อีกนะ”

ชเวซองกุนตื่นเต้นจนแทบหยุดมือไม่ได้ เขาตบไหล่วูจินเบา ๆ วูจินพึมพำในใจ 'นี่มันกดดันชัด ๆ ' แต่กลับตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ

“คงไม่นานเกินรอนะครับ”

แม้ในใจจะคิดอีกอย่าง แต่เขาก็แถมคำพูดโอ้อวดและเก๋าเกมเข้าไปด้วย รอยยิ้มของชเวซองกุนดูเจิดจ้ายิ่งขึ้นราวกับซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง

“รู้อยู่แล้วน่า ฮึ ๆ ฉันฝันเห็นนายครองฮอลลีวูดบ่อยจะตายไป มาเลย! ไปสู้กันเลย!”

ชเวซองกุนดูฮึกเหิมผิดหูผิดตา ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะเดิมทีเขาก็ก่อตั้งบริษัทบันเทิง Bw ขึ้นมาโดยหวังจะบุกฮอลลีวูดอยู่แล้ว เพียงแต่เป้าหมายแรกเริ่มคือฮงฮเยยอน ไม่ว่าจะใช้เวลา 5 ปี หรือ 10 ปี เขาก็มุ่งมั่นจะไปให้ถึงฮอลลีวูดให้จงได้

แต่การปรากฏตัวของคังวูจินกลับพลิกโผไปโดยสิ้นเชิง

แถมยังใช้เวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น บริษัทบันเทิง Bw ก็กลายเป็นที่เลื่องลือในวงการบันเทิงเกาหลีด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยประธานฮิเดกิเป็นแบ็คอัพที่แข็งแกร่ง พวกเขาจึงสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคังวูจินเป็นรากฐาน

“ทั้งเรื่องไมลีย์ คาร่า ‘คนแปลกหน้า’ ‘มารร้ายผู้แสนดี’ อีกไม่นานหรอก แค่นึกถึงวันนั้นฉันก็อยากจะ...”

วูจินถามกลับ

“ที่นี่จะเริ่มใช้งานได้เมื่อไหร่ครับ?”

“อ้อ? ภายในเดือนกันยายนต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยสินะ ตอนนี้ทางสำนักงานใหญ่กำลังคัดเลือกคนที่จะย้ายไปประจำสาขาต่างประเทศ และกำลังเปิดรับพนักงานใหม่ด้วย”

“อย่างนั้นเหรอครับ?”

คังวูจินเหลือบมองความพลุกพล่านภายในสำนักงานด้านหลัง ก่อนจะก้าวขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ริมถนน จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือโรงแรมที่ไมลีย์ คาร่าจัดเตรียมไว้ให้

-บูม!

รถตู้สองคันเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนใจกลางลอสแอนเจลิสยามราตรี วูจินที่นั่งอยู่ในรถคันหน้ามองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งมนต์เสน่ห์ของแสงสีลอสแอนเจลิสที่แตกต่างจากเกาหลีโดยสิ้นเชิง ภาพอนาคตของตนเองที่กำลังจะได้ทำงานในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ผุดขึ้นในมโนสำนึก จนเผลอปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล

‘ลอสแอนเจลิสอย่างนั้นเหรอ... นี่เราอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอเนี่ย?’

ฮอลลีวูด ดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ ฉันจะได้มาแสดงที่นี่จริง ๆ งั้นเหรอ? เอาเข้าจริง แค่เรื่องการแสดงนั้นเขาไม่ได้กังวลมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหวั่นใจเล็ก ๆ คือ เขาจะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด ความสับสนระหว่างชเวซองกุนและคนอื่น ๆ แต่ในเมื่อเขาได้ก้าวเข้ามาในเส้นทางนักแสดงแล้ว ก็ต้องมุ่งสู่จุดสูงสุดให้ได้สิ

และจุดหมายนั้น คงจะหนีไม่พ้นฮอลลีวูดอย่างแน่นอน

‘เฮ้อ... แต่พอนึกดูอีกที มันก็ยังเหมือนความฝันอยู่เลย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ที่นี่ที่ไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?’

ชีวิตของคังวูจินตัวจริงต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ โลกที่เขามองเห็นพลันแปรเปลี่ยนไป ราวกับได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดที่กำลังประสบอยู่นี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร

แต่ถึงกระนั้น...

‘มันช่างน่าขันสิ้นดี’

คังวูจินอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาประหลาดใจ

-กี๊ก!

รถตู้ขนาดใหญ่ทั้งสองคันมาถึงโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย ภาพโรงแรมที่โอ่อ่าอลังการเกินกว่าจะจินตนาการปรากฏแก่สายตาของคังวูจิน

ความคิดตีรวนในหัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ‘บ้าไปแล้ว!!’

โรงแรมเบเวอร์ลี่ฮิลส์ หนึ่งในโรงแรมห้าดาวแห่งนครลอสแอนเจลิส ตั้งแต่ทางเข้าที่เรียงรายไปด้วยต้นปาล์มสูงตระหง่าน ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมอันโอ่อ่าที่ทอดยาวทั้งแนวตั้งและแนวนอน พนักงานต้อนรับก็ยืนรอคณะของคังวูจินอยู่แล้ว พรมแดงผืนยาวทอดตัวจากทางเข้าสู่ล็อบบี้กว้างใหญ่ บรรยากาศราวกับพระราชวังกลางป่าดงดิบ

ความอลังการของสถานที่เบื้องหน้าทำให้คังวูจินอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจอีกครั้ง ‘······โว้- ชิบหาย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย’ ความรู้สึกตื่นตะลึงปนความไม่อยากจะเชื่อแล่นริ้วไปทั่วอก

ชเวซองกุนที่เดินเคียงข้างวูจินยกนิ้วโป้งขึ้น “ไมลีย์ คาร่า จองห้องสวีทให้ทีมเราทั้งหมดเลย ส่วนนายได้ห้องเดี่ยว สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ?”

‘สุดยอดไปเลย!’ คังวูจินอุทานในใจด้วยความตื่นเต้น แต่ภายนอกยังคงรักษาสีหน้านิ่งเฉย

“ก็ไม่เลวครับ” เขาตอบรับสั้น ๆ

“คืนละห้าร้อยเหรียญ สมกับเป็นไมลีย์ คาร่า จริง ๆ” ชเวซองกุนพึมพำพลางถือกระเป๋าเดินทาง ทีมของคังวูจินมีสมาชิกมากกว่าสิบห้าคน อย่างน้อยก็ต้องจองสามห้อง

[ประมาณ 15,000 – 20,000 บาท]

และทริปนี้ก็กินเวลาราวหนึ่งสัปดาห์ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วเป็นเงินมหาศาล

“แต่ก็นะ สำหรับเธอคงเป็นเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ เราก็แค่ขอบคุณ แล้วก็สนุกให้เต็มที่ นั่นแหละมารยาท ไปกันเถอะ วูจิน”

ใบหน้าเรียบนิ่งของคังวูจินซ่อนความตั้งใจมั่นไว้ภายใน ‘ต้องทำให้ได้ ฉันก็จะต้องขึ้นไปถึงจุดที่ใช้เงินระดับนี้ได้แบบจิ๊บ ๆ เหมือนเธอให้ได้’

เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ร้านกาแฟขนาดใหญ่ใจกลางเมืองลอสแอนเจลิส

เวลาประมาณแปดโมงเช้า ร้านกาแฟที่จำหน่ายเบเกิล แซนด์วิช และกาแฟหลากหลายชนิด คลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติที่แวะเวียนมาในยามเช้าก่อนเริ่มงาน ร้านแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ต้องการหาอะไรง่าย ๆ รับประทานเป็นมื้อเช้า และผู้คนที่แวะซื้อกาแฟก่อนเข้างาน

ภายในห้องโถงกว้างที่โต๊ะกลมเรียงรายเต็มพื้นที่ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจากทั่วทุกมุมโลก แทบไม่มีที่ว่างเหลือให้เหยียบย่าง หากมีช่องว่างปรากฏขึ้นแม้เพียงน้อยนิด ก็จะมีใครสักคนเข้าไปขอร่วมโต๊ะด้วยในทันที ภาพคนแปลกหน้ามานั่งพูดคุยกันอย่างออกรสจึงเป็นภาพชินตาในแอลเอ

ณ มุมหนึ่งของห้องโถงอันคึกคัก ปรากฏร่างคุ้นเคยของชายผิวสีร่างยักษ์นั่งจิบกาแฟเงียบ ๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์มือถือในมือ เขาคือโจเซฟ เฟลตัน PDชื่อดังแห่งฮอลลีวูด รูปร่างกำยำสง่างามในเสื้อแขนยาวสีดำที่พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก บนโต๊ะของโจเซฟมีชาวต่างชาติสองคนที่เขาไม่คุ้นหน้าคุ้นตากำลังสนทนากันอย่างออกรส ทันใดนั้น หญิงสาวชาวต่างชาติผมบ็อบสีน้ำตาลที่มัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยก็เดินเข้ามาหา เธอคือเมแกน สโตน ผู้ดูแลฝ่ายคัดตัวนักแสดง

เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของเมแกน โจเซฟเงยหน้าขึ้น มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ

“มาสายนะ”

เมแกนทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ร่างสูงใหญ่ของโจเซฟ วางแก้วกาแฟที่เพิ่งไปรับมาลงบนโต๊ะเบา ๆ

“ฉันมาตรงเวลาค่ะ มองไม่เห็นเหรอคะว่าคนต่อแถวยาวยืดขนาดไหน? ฉันว่าฉันมารอตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ” เธอพึมพำพลางจัดทรงผมบ็อบสีน้ำตาลให้เข้าที่

“ทำไมต้องนัดเจอกันในที่วุ่นวายแบบนี้ด้วยคะ?”

“ก็ฉันเป็นลูกค้าประจำที่นี่” โจเซฟตอบเรียบ ๆ

เมแกนถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋าถือ

“ฉันคัดเลือกนักแสดงจากรูปถ่ายมาให้ดูแล้วค่ะ”

“อืม” โจเซฟพยักหน้ารับพลางรับแท็บเล็ตมาจากมือของเมแกน

“เธอได้ยินข่าวที่คังวูจินจะมาแอลเอไหม? อ่า… ตอนนี้น่าจะมาถึงแล้วมั้ง”

"ฉันก็เช็คอินสตาแกรมของไมลีย์แล้ว เหมือนเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่"

โจเซฟพยักหน้าช้า ๆ รอยยิ้มแปลก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เมแกนมองเขาพลางไขว่ห้างถามขึ้น

"คิดจะไปพบกับคังวูจินสินะ"

"ถ้าเขาตกลงก็ดีไป มันไม่ใช่โอกาสที่จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เสียหน่อย แถมช่วงนี้ฉันก็อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง?"

โจเซฟ เฟลตันก้มลงมองแท็บเล็ตอีกครั้ง

"อีกสองเดือนก็ถึงเทศกาลหนังเมืองคานส์แล้ว ก่อนหน้านั้นเราต้องแอบบอกคังวูจินเกี่ยวกับงานของเรา จำตอน 'ปิดบัญชีเลือด 3' ไหม?"

"...เขาปฏิเสธบทในกองถ่าย"

"แถมยังปฏิเสธต่อหน้าผู้กำกับอย่างเด็ดขาดด้วย ไม่มีอะไรการันตีว่าอนาคตของเราจะไม่เป็นแบบนั้น"

"หมายความว่าจะให้คำใบ้ล่วงหน้า?"

"ประมาณนั้น"

โจเซฟวางแท็บเล็ตลง หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาแล้วพูดต่อ

"สองปี ภายในสองปีนักแสดงชาวเกาหลีคนนี้ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่หมายตาฮอลลีวูด ในหัวของเขาต้องมีแผนการที่แน่นอน ก่อนที่จะปรากฏตัวที่คานส์ เขาทํางานเพลงกับไมลีย์ คาร่า มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ"

"...ได้ยินเรื่องที่คังวูจินเคยเป็นหน่วยรบพิเศษหรือเปล่า"

โจเซฟชะงักไปขณะกำลังจิบกาแฟ

"หน่วยรบพิเศษ? นั่นมันเรื่องอะไร?"

ประมาณ 30 นาทีต่อมา ที่โรงแรมเบเวอร์ลี่ฮิลส์ แอลเอ

คังวูจินลืมตาตื่นขึ้นในห้องสวีทกว้างใหญ่ของโรงแรม เขามองเพดานอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ผมเผ้ายุ่งเหยิง สายตาเหลือบไปมองวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของแอลเอที่มองเห็นได้จากหน้าต่างบานใหญ่ข้าง ๆ

“สวยชะมัด”

วิวจากห้องสวีทงดงามสมคำร่ำลือ เขาต้องเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ แม้จะถ่ายรูปวิวกลางคืนไปหลายสิบรูปเมื่อคืนนี้แล้ว แต่วิวตอนเช้าก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง วูจินยกโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพเบื้องหน้าไปอีกหลายรูป ทันทีที่ตื่นนอน ก่อนจะยืดเส้นยืดสายแล้วเดินออกจากห้อง

ห้องนั่งเล่นขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

ขนาดของห้องสวีทใหญ่กว่าบ้านของคังวูจินถึงสามเท่าได้อย่างสบาย ๆ ภายในห้องนั่งเล่นตกแต่งด้วยโซฟาและเฟอร์นิเจอร์หรูหราต่าง ๆ ครัวก็กว้างขวาง ด้านหน้าเป็นหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นระเบียงพร้อมโต๊ะและเก้าอี้ ถัดลงไปเป็นสระว่ายน้ำกว้างใหญ่รายล้อมด้วยต้นปาล์ม

คังวูจินใช้ห้องสวีทสุดอลังการนี้เพียงลำพัง

“นี่แหละชีวิตเศรษฐีตัวจริง”

วูจินยิ้มกริ่มเมื่อเลิกเสแสร้ง เขากดสั่งกาแฟสดที่เป็นหนึ่งในบริการเสริมของห้องพัก แล้วมานั่งจิบที่โซฟา เบื้องหน้าคือวิวเมืองแอลเอที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา

-ซู้ด

คังวูจินดื่มด่ำกับสถานการณ์เหลือเชื่อนี้ได้เพียงชั่วครู่

-ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูที่เป็นจังหวะดังขึ้น วูจินเปลี่ยนสีหน้าในทันที แล้วเดินไปเปิดประตู ชเวซองกุนที่มัดผมยาวประบ่าแน่นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับโบกมือทักทาย

“ตื่นแล้วเหรอ?”

“ครับ ท่านประธาน”

ชเวซองกุนก้าวเข้ามาในห้องแล้วทรุดกายลงบนโซฟาอย่างอ่อนล้า คังวูจินรินกาแฟส่งให้ หลังจากยกขึ้นจิบเพียงคำเดียว ชเวซองกุนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพลางเอ่ยว่า

“เมื่อครู่นี้ ผู้ดูแลฝ่ายคัดตัวนักแสดง เมแกน สโตน โทรมา จำได้ไหม?”

เป็นชื่อที่คุ้นหูอย่างยิ่ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้จัก ผู้ดูแลฝ่ายคัดตัวนักแสดง เมแกน สโตน ผู้โด่งดัง ทั้งเคยพบกันคราวถ่ายทำภาพยนตร์ “ปิดบัญชีเลือด 3” แล้วยังเคยมาหาคังวูจินถึงกองถ่าย “บุปผาเร้น” อีกด้วย

“จำได้ครับ” คังวูจินตอบรับเสียงเรียบ

“เธอถามว่านายมาแอลเอแล้วพอจะมีเวลาเจอกันบ้างไหม ฉันว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล ว่าไงล่ะ?”

“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าไม่ตรงกับตารางงาน”

“โอเค เดี๋ยวฉันบอกเธอให้” ชเวซองกุนรับคำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“วันนี้ตารางงานไม่มีอะไรมาก ไมลีย์ คาร่า จะมาที่โรงแรมช่วงบ่าย”

นั่นหมายความว่าเขามีเวลาว่างจนถึงบ่าย แน่นอนว่าตารางงานของคังวูจินยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นงานที่ชเวซองกุนและทีมงานจัดการ ส่วนตัววูจินเองไม่ได้มีภารกิจอะไรเป็นพิเศษ

ชเวซองกุนวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

“มีเวลาว่างสักหน่อย นาน ๆ ทีมาแอลเอ อยากทำอะไรเป็นพิเศษไหม? หรือจะพักผ่อนจนถึงบ่ายก็ได้ เห็นสระว่ายน้ำข้างหน้าไหม? คุณภาพเยี่ยมยอดเลยทีเดียว”

คังวูจินนิ่งคิดครู่หนึ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นสั้น ๆ

“ไปยิงปืนกันไหมครับ?”

หลายชั่วโมงต่อมา ใกล้เวลาอาหารกลางวัน

สถานที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงแรมไปราวหนึ่งชั่วโมง เป็นสนามยิงปืน อาคารมีลักษณะกว้างขวาง ป้ายและหน้าต่างประดับประดาไปด้วยรูปภาพปืนหลากหลายชนิด รถตู้คันใหญ่จอดสนิทอยู่หน้าลานจอดรถกว้างขวางของสนามยิงปืน

คังวูจินกับชเวซองกุนและคนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งก้าวลงมาจากรถตู้

วูจินสวมฮู้ดสบาย ๆ สวมหมวกปิดบังใบหน้า แต่ก็ไม่ได้ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะแทบไม่มีใครในแอลเอรู้จักเขา ยกเว้นว่าเขาจะไปในย่านเกาหลี

วูจินมองไปยังสนามยิงปืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“······”

ภายนอกดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง

‘น่าจะสนุกสุด ๆ ไปเลย’

เหตุผลที่เขาต้องการยิงปืนนั้นเรียบง่าย ถึงแม้จะผ่านประสบการณ์ยิงปืนมานับครั้งไม่ถ้วนในมิติว่างเปล่า แต่คังวูจินในโลกแห่งความจริงกลับไม่เคยสัมผัสปืนอีกเลยนับตั้งแต่ปลดประจำการจากกองทัพ

มันเป็นความกระหายใคร่รู้ล้วน ๆ

คังวูจิน ชเวซองกุน และคนอื่น ๆ เดินตามหลังไปยังสนามยิงปืนตามที่จองไว้ พวกเขาเข้าไปข้างในและฟังคำอธิบายจากเจ้าของร่างท้วมอยู่ราวสิบนาที ผนังภายในสนามยิงปืนประดับประดาไปด้วยปืนและอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย

หลังจากนั้นเจ้าของสนามก็เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษว่า

“จะใช้ปืนอะไรครับ?”

ชเวซองกุนผู้ไว้ผมทรงหางม้าหันไปมองคังวูจิน เป็นเชิงให้เขาเป็นคนตัดสินใจ วูจินตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เขาตัดสินใจไว้แล้วก่อนจะมาถึง

“Glock17”

“โอ้- เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม”

ปืนกระบอกแรกที่จังยอนอูตัวเอกของ 'มารร้ายผู้แสนดี' ได้ใช้นั้นคือ Glock 17

ไม่นานนัก คังวูจินก็ได้รับ Glock 17 พร้อมกล่องกระสุนมาไว้ในครอบครอง เขาและทีมงานถูกนำตัวเข้าไปยังสนามยิงปืนด้านใน ภายในนั้นมีห้องเล็ก ๆ ประมาณสิบห้องเรียงรายกัน ด้านหน้าของแต่ละห้องมีลักษณะคล้ายกับลานโบว์ลิ่ง ส่วนปลายสุดของแต่ละห้องมีเป้าหมายรูปคนติดตั้งเอาไว้

'นี่มันสนามยิงปืนจริง ๆ นี่นา'

ห้องของคังวูจินคือห้องที่สาม เขายังได้รับที่อุดหูสำหรับใช้ยิงปืนด้วย พนักงานเดินตามเข้ามาอธิบายเพิ่มเติมคร่าว ๆ พร้อมกับควบคุมแผ่นเป้าหมายให้เลื่อนไปจนสุดทาง

ณ จุดนั้น วูจิน

“······”

สัมผัส Glock 17 อย่างเงียบเชียบ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น Glock 17 แต่เขากลับไม่รู้สึกแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย คงเป็นพลังของมิติว่างเปล่า 100% อย่างไม่ต้องสงสัย ราวกับว่าเขาสามารถคว้าปืนแล้วออกไปอาละวาดได้ในทันที ทว่าวูจินผู้เป็นเจ้าของร่างกลับเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ภายใน

พนักงานแปลภาษาของบริษัทบันเทิง Bw เอ่ยถามชเวซองกุนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ทำไมถึงมาซ้อมยิงปืนกะทันหันแบบนี้คะ-”

“ไม่รู้สิ วูจินบอกว่าอยากลองน่ะ คงอยากลองเพื่อ 'มารร้ายผู้แสนดี' มั้ง ทั้งเราทั้งเขาก็เคยยิงตอนได้ลาพักร้อนสมัยเป็นทหารนั่นแหละ”

“อ้อ······”

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว เรามาลองยิงกันเถอะ จะมีโอกาสได้ยิงปืนอีกเมื่อไหร่กัน”

ในขณะนั้น คังวูจินที่สวมที่อุดหูเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมพร้อม พนักงานก็เดินออกไปเช่นกัน ทันทีที่วูจินยก Glock 17 ขึ้นด้วยสองมือ

“คนจีนเหรอ?”

เสียงภาษาอังกฤษลอยมาจากกลุ่มชายผิวขาวและผิวสีสามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คังวูจิน พวกเขาดูราวอายุสามสิบต้น ๆ กำลังหัวเราะกันอย่างออกรส ดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับการยิงปืน ท่าทางคล่องแคล่วราวกับลูกค้าประจำ สายตาของพวกเขามองมาที่วูจินอย่างเยาะหยัน

“นั่นคนญี่ปุ่นหรือเปล่านะ?”

“หน้าตาดีใช้ได้ ไม่น่าจะใช่คนจีน”

“มาเที่ยวแอลเอแล้วอยากลองของสินะ ดูสิ ตื่นเต้นเชียว”

“ดีเหมือนกัน พักดูคนอื่นเล่นบ้างก็ไม่เลว”

“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่นเกมกันไหม? ทายกันว่าหนุ่มญี่ปุ่นนั่นจะยิงได้กี่แต้ม แพ้เลี้ยงเบียร์เป็นไง?”

“เอาสิ”

เสียงพูดคุยเบา ๆ ของพวกเขา คงคิดว่าคังวูจินฟังไม่ออกล่ะมั้ง ทว่าทันใดนั้น เสียงทุ้มหนักแน่นก็ดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ทำลายความคิดของพวกเขา

“ผมเป็นคนเกาหลี”

ทั้งสามชะงักไป ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ ขณะที่วูจินยังคงยืนนิ่ง กล่าวต่อด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว

“เล่นเกมกับผมสิ ดูว่าระหว่างพวกคุณกับผม ใครจะได้คะแนนมากกว่ากัน”

“······อ้อ คนเกาหลี”

“ถ้าผมแพ้ ผมจะให้พวกคุณห้าร้อยดอลลาร์ แต่ถ้าผมชนะ ผมเอาเงินคุณ”

ทั้งสามคนซุบซิบกัน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ราวกับเจอเหยื่อรายใหญ่ ชายคนหนึ่งที่สวมแว่นกันแดดเอ่ยขึ้น

“ตกลง ห้าร้อยดอลลาร์ แถมด้วยเบียร์ที่บาร์ข้างหน้านั่นด้วย”

คังวูจินพยักหน้ารับ

“ผมยิงก่อน”

ไม่รอช้า วูจินสวมที่อุดหู เหนี่ยวไก Glock 17 ทันที

ปัง!

ปัง! ปัง! ปัง!

รอยยิ้มบนใบหน้าของชาวต่างชาติเริ่มจางหาย

“ยิงมั่วซั่วเหมือนเล่นเกมคอมพิวเตอร์เลยว่ะ”

“นี่ ดู-”

“อะไร? มีอะไร?”

“!!!”

รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปจนหมดสิ้น

วูจินยังคงนิ่งเฉย สีหน้าเรียบไร้อารมณ์ มือเล็ง Glock 17 ไปยังเป้าหมาย ก่อนจะเหนี่ยวไกปลดปล่อยกระสุนห้านัดรวดออกไป แล้วจึงเอียงปืนเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดเสียงปืนต่อเนื่องอีกหลายนัด

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังสนั่นก้องสะท้อนในสนามยิงปืน ราวกับจะฉีกกระชากแก้วหู สิบนัดดังขึ้นติดต่อกันไม่เว้นวรรค วูจินลด Glock 17 ลง เป้าหมายที่อยู่ไกลลิบเคลื่อนเข้ามาใกล้โดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกัน รอยยิ้มที่เคยประดับบนใบหน้าของชาวต่างชาติทั้งสามก็พลันเลือนหายไปราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นลบออก

“······?”

“???”

เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย

“พระเจ้า!” ชาวต่างชาติคนหนึ่งอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

จุดสีแดงขนาดใหญ่ที่เคยเด่นชัดบนหัวและหน้าอกของเป้ารูปคน บัดนี้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย กระสุนทั้งหมดที่วูจินยิงออกไป ได้ลบจุดสีแดงเหล่านั้นออกไปจนหมดสิ้น ห้านัดที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวและหน้าอก ไม่มีแม้แต่นัดเดียวที่หลุดเป้า ทั้งหมดล้วนฝังแน่นในตำแหน่งสำคัญ พนักงานในสนามยิงปืนเบิกตากว้าง ความตกตะลึงฉายชัดในดวงตา

จากนั้น วูจินหันไปเผชิญหน้ากับชาวต่างชาติทั้งสาม น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด

“ถึงตาพวกคุณแล้ว”

ทันใดนั้น เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางเข้าสนามยิงปืนด้านหลัง

“โอ้ พระเจ้า!”

โจเซฟ เฟลตัน PDร่างยักษ์ถึงกับอ้าปากค้าง ความตกตะลึงประดังเข้ามาจนแทบหยุดหายใจ

-จบ-

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด