บทที่ 307 การหายตัวไปของสามีภรรยาตระกูลหลี่
ไป๋หรงถอนหายใจเบาๆ และพูดขึ้นมาอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก
"ถ้าหากเราหาตัวอาจารย์เจอ เรื่องราวคงไม่เลวร้ายมาถึงขนาดนี้"
"ข้ากำลังอ่านตำราแพทย์ที่อาจารย์ทิ้งไว้ อาจจะมีวิธีรักษาอยู่บ้าง แต่ข้าได้ยินมาว่าเพื่อนเก่าของอาจารย์ แซ่จาง ดูเหมือนจะอยู่ในเมืองหลวง หากหาตัวเขาเจอ บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยนายท่านได้"
"แซ่จางหรือ หมอเทวดาคนนั้นรึ"
เรื่องราวของหมอเทวดาจาง เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานานแล้ว หลิวเฟิงเองก็เคยได้ยินอยู่เพียงเล็กน้อย
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า "ข้าจะให้คนของหอเย่วโหลวไปสืบหาดู ระหว่างนี้เจ้าพยายามหาวิธีไปก่อนเถอะ"
"อืม"
สีหน้าของไป๋หรงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง หลิวเฟิงไม่รอช้า รีบเดินทางไปยังหอเย่วโหลวในทันที
"มีคนกำลังสืบเรื่องของคุณหนูซูอย่างนั้นหรือ"
เมื่อได้ฟังจากผู้เฒ่าหวูซินว่า มีคนจ่ายเงินให้สืบเรื่องของซูเล่ออวิ๋นในเขตจิงโจว หลิวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
ช่วงเวลาที่คุณหนูกลับมา แม้จะเกิดเรื่องเล็กน้อยขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าถึงขั้นมีคนจงใจสืบเรื่องราวในอดีตของนางเป็นพิเศษ
"เป็นคนจากตระกูลเสิ่น"
โดยปกติแล้ว หอเย่วโหลวมักจะไม่สนใจที่มาของลูกค้ามากนัก แต่เมื่อรู้ว่าพวกเขามาสืบเรื่องของซูเล่ออวิ๋น ผู้เฒ่าหวูซินจึงให้ความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งฝ่ายนั้นเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรมากนัก ทำให้สืบเจอได้ง่าย
หลิวเฟิงพึมพำอยู่ในใจ ตระกูลเสิ่นหรือ? แต่เขายังคิดอะไรไม่ออกในตอนนี้
"เรื่องนี้ปล่อยให้คุณหนูซูตัดสินใจจัดการเองน่าจะดีกว่า"
ตั้งแต่นายท่านกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก็เหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูซูอีกแล้ว แต่หลิวเฟิงคิดว่าเรื่องที่ช่วยได้ก็ควรช่วย เพราะคุณหนูก็เป็นน้องสาวของซูเยี่ยเช่นกัน ผู้เฒ่าหวูซินก็คิดแบบเดียวกัน
หลังจากแจ้งเรื่องการสืบหาหมอเทวดาจางโหย่วให้ผู้เฒ่าหวูซินทราบแล้ว
หลิวเฟิงก็เตรียมจะกลับ แต่จู่ๆ ก็หยุดคิดครู่หนึ่ง "เรื่องนี้ข้าไปบอกคุณหนูซูเองจะดีกว่า"
ให้หลิ่เฟิงไปด้วยตัวเองย่อมสะดวกกว่าการให้ผู้เฒ่าหวูซินส่งคนไป
เมื่อมาถึงจวนสกุลซุน หลวเฟิงเห็นจวนที่ประดับประดาอย่างงดงาม ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งงานของแม่ทัพซุนฉางผิงแล้ว
ตอนนั้น ซูเยี่ยก็คงจะกลับมาจากหยางโจว
หลิวเฟิงถอนหายใจ นึกถึงนายท่านที่ยังนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ก่อนจะค่อยๆแอบเข้าไปในจวนสกุลซุนอย่างเงียบๆ
ซูเล่ออวิ๋นกำลังพูดคุยกับซุนเจียงหรูและฉินจื่อเหยียนที่เรือนเจียเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงาน โดยไม่รู้ว่าหลิวเฟิงได้มาถึงแล้ว
"คุณหนู"
เหลียนซินเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของซูเล่ออวิ๋นเบาๆว่า
“ซุนเหวินบอกว่ามีคนมาขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ”
ซูเล่ออวิ๋นรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของเหลียนซิน นางจึงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
“ท่านแม่ สะใภ้รอง สายมากแล้ว วันนี้คงต้องจบลงเท่านี้ก่อนนะเจ้าคะ”
ทั้งสองมองออกไปนอกเรือน เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ซุนเจียงหรุอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า
“อวิ๋นเอ๋อร์ แม่ให้คนเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว อยู่ทานที่นี่เถอะลูก”
“ท่านแม่ ข้ามีธุระต้องไปที่เรือนสักครู่ เดี๋ยวข้ากลับมาเจ้าค่ะ” ซูเล่ออวิ๋นตอบ
ซุนเจียงหรูไม่ได้ห้ามอะไร เพราะคิดว่าอีกไม่นานอวิ๋นเอ๋อร์ก็คงจะกลับมา เพียงแต่ยังแปลกใจว่าเรื่องอะไรที่ทำให้บุตรสาวต้องรีบร้อนกลับไปเช่นนี้
เมื่อกลับมาถึงเรือน ซูเล่ออวิ๋นก็พบว่าหลิวเฟิงยืนรออยู่ในลานเรือน
“คุณหนูซู” หลิวเฟิงยกมือคำนับอย่างนอบน้อม
ซูเล่ออวิ๋นกดความแปลกใจไว้แล้วก้าวเข้าไปถาม “มีอะไรให้ข้าช่วยหรือที่ฝั่งท่านจิ้นอ๋องมีอะไรหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ” หลิ่เฟิงส่ายหน้าแล้วเล่าเรื่องที่ทางตระกูลเสิ่นส่งคนมาสืบเรื่องของซูเล่ออวิ๋น
“ตระกูลเสิ่นหรือ เป็นตระกูลของเซินตาน สนมเอกของอ๋องยวี่อย่างนั้นหรือ?” ซูเล่ออวิ๋นถามออกไปตามสัญชาตญาณ
ลิ่วเฟิงอึ้งไปชั่วครู่ ดูเหมือนจะมีตระกูลเสิ่น ตระกูลเดียวที่เกี่ยวข้องเช่นนี้ สนมเอกของอ๋องยวี่หรือ...
“คุณหนูซู รู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร” หลิวเฟิงกล่าวพร้อมสีหน้าจริงจัง
ภายนอกดูเหมือนนายท่านของเขาจะสนิทสนมกับองค์ชายหยู แต่เบื้องหลังนั้นไม่รู้ว่าองค์ชายหยูพยายามทำร้ายนายท่านกี่ครั้งแล้ว การที่ตระกูลเสิ่นมาสืบเรื่องของคุณหนูซู แสดงว่าคงมีแผนการบางอย่างเกี่ยวกับนายท่านเป็นแน่
ซูเล่ออวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรพูดกับหลิวเฟิง สุดท้ายจึงส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก ให้ตระกูลเสิ่นสืบไปเถิด ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว”
เรื่องราวที่นางทำในจิงโจว ต่อให้ใครจะสืบก็เป็นเช่นเดิม ไม่มีอะไรต้องกังวลหรือปิดบัง
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลิวเฟิงพยักหน้า จากนั้นหยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากอกเสื้อส่งให้ซูเล่ออวิ๋น
“นี่เป็นจดหมายที่ท่านแม่ทัพซูเยี่ยฝากข้ามาให้ท่าน”
พูดจบหลิวเฟิงก็เดินจากไป ซูเล่ออวิ๋นเปิดซองจดหมายออก พบว่าข้างในมีแผ่นกระดาษสองแผ่น
แผ่นหนึ่งเขียนโดยซูเยี่ย แจ้งว่าตนเองใกล้จะกลับถึงเมืองหลวงในเร็ววัน
อีกแผ่นบันทึกเรื่องราวของสามีภรรยาตระกูลหลี่
สามีภรรยาตระกูลหลี่หายตัวไปหรือ ซูเล่ออวิ๋นกำกระดาษแน่น เรื่องนี้ช่างแตกต่างจากชาติที่แล้วอีกเรื่องหนึ่ง
ชาติที่แล้ว ซูหว่านเอ๋อร์กลายเป็นพระชายาขององค์ชายหยู ก่อนที่จะนำตัวสามีภรรยาตระกูลหลี่กลับจากชายแดนภาคเหนือ ทั้งสองควรจะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่ที่นั่น เหตุใดจึงมาหายตัวไปเช่นนี้
ซูเล่ออวิ๋นเก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้อย่างระมัดระวัง ส่วนจดหมายของพี่ชายนำไปให้ซุนเจียงหรู
เมื่อรู้ว่าบุตรชายจะกลับมาทันงานแต่งงาน ซุนเจียงหรูก็มีกำลังใจขึ้นมาก
แต่ระหว่างมื้ออาหาร ซุนเจียงหรูก็สังเกตเห็นว่าซูเล่ออวิ๋นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงถามด้วยความเป็นห่วง
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องของเสิ่นปินอยู่หรือ”
“เจ้าคะ” ซูเล่ออวิ๋นมัวแต่คิดเรื่องสามีภรรยาตระกูลหลี่ จึงไม่ได้ฟังคำของซุนเจียงหรูชัดๆ ได้ยินเพียงเสียงของคำว่า ‘เสิ่น’ จึงมองไปที่ท่านแม่ด้วยความงุนงง “ท่านแม่ พูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้าพูดถึงเสิ่นปิน เจ้าจำได้ไหม เขาส่งบัตรเชิญมาให้เราตั้งแต่เช้าน่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางของซูเล่ออวิ๋น ซุนเจียงหรูก็พอจะเดาได้ว่าบุตรสาวไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องของเสิ่นปิน
ซูเล่ออวิ๋นได้ยินคำพูดของซุนเจียงหรูชัดเจนขึ้นแล้ว จึงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเจ้าค่ะ”
ทว่าซูเล่ออวิ๋นก็ไม่ได้บอกกับซุนเจียงหรูว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะถึงแม้จะบอกไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้ท่านแม่วิตกกังวลเปล่าๆ
ข้อมูลที่พี่ชายส่งมาให้คงได้มาจากหอเย่วโหลว แต่ถึงแม้กระทั่งคนของเย่วโหลวยังไม่พบร่องรอยของสามีภรรยาตระกูลหลี่เลย เรื่องนี้ช่างประหลาดยิ่งนัก
สองสามีภรรยาชาวบ้านธรรมดา เหตุใดจึงสามารถหลบเลี่ยงการสืบค้นของหอเย่วโหลวได้อย่างไร้ร่องรอย หรือว่าเป็นฝีมือขององค์ชายหยู
ซูเล่ออวิ๋นขบคิดสักพักก่อนจะปัดความคิดนี้ทิ้งไป เพราะนางรู้ดีว่า นับตั้งแต่ที่ซูหว่านเอ๋อร์แต่งงานเข้าตระกูลหลี่แล้วก็ไม่ได้ติดต่อใดๆกับองค์ชายหยูอีก จึงไม่น่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้
ถ้าเช่นนั้น ไม่ใช่องค์ชายหยู แล้วจะเป็นซูหว่านเอ๋อร์เองหรือ
เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ทิ้งปริศนาให้ซูเล่ออวิ๋นต้องขบคิดไม่หยุด
นางได้แต่ถอนหายใจ หันมองไปรอบๆ ก็พบว่าไม่มีใครที่สามารถพูดคุยหรือปรึกษาเรื่องนี้ได้เลย แม้แต่พี่ชายก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินทางกลับถึงเมืองหลวงเมื่อใด
...
...
ที่เชิงเขาฟงไถ นอกเมืองหลวง
ทาโนซ่อนตัวอยู่ในถ้ำบนเขามานานสองวันแล้ว ข้างกายมีทั้งอาหาร ผ้าห่มกันหนาวและข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ทุกอย่างนี้ล้วนเตรียมพร้อมโดยสมบูรณ์
ถ้ำนี้ซ่อนตัวได้ดีและยากจะมีใครพบเห็น เป็นสถานที่ที่ท่านผู้เฒ่าจางบังเอิญเจอเข้าเมื่อครั้งออกไปเก็บสมุนไพร
ทว่า ณ เวลานั้นกลับมีเสียงดังมาจากด้านนอกถ้ำ
“ท่านพี่ ระวังตัวด้วยนะ”
“เจ้าเพิ่งหายดีแล้ว อยู่รอข้างนอกเถิด”
เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นพี่น้องคู่หนึ่ง
ทาโนกำมีดสั้นในมือแน่น แม้เขาไม่อยากทำร้ายใคร
หากแต่หากอีกฝ่ายบังเอิญพบเห็นเขา เพื่อความปลอดภัย เขาก็จำต้องลงมือ