บทที่ 288 : ประวัติศาสตร์ (3)
[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]
[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]
[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]
บทที่ 288 : ประวัติศาสตร์ (3)
วันจันทร์ล่วงผ่าน วันอังคารมาเยือน แม้ "เกาะแห่งผู้สูญหาย" จะครองตำแหน่งอันดับหนึ่งมาหลายวันแล้ว กระแสความนิยมในสื่อและความคิดเห็นของสาธารณชนก็ยังคงร้อนแรง ยอดผู้ชมที่แม้จะลดลงเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ เพราะ "เกาะแห่งผู้สูญหาย" ยังคงสร้างสถิติใหม่ในทุก ๆ วัน ยอดทะลุ 17 ล้านคนไปแล้ว และกำลังมุ่งหน้าสู่ 18 ล้านคน ขณะนั้นคังวูจินกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับตัวเอง
『[คอลัมน์พิเศษ] คังวูจิน ผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เกาหลีในช่วงเวลาเพียง 2 ปีหลังเดบิวต์ อนาคตอันรุ่งโรจน์ของเขาน่าจับตามอง』
เบื้องหน้าฉากบ้านในกองถ่ายภาพยนตร์ "ปลิง" เหล่าทีมงานกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมฉาก วูจินในคราบปาร์คฮาซองตั้งแต่หัวจรดเท้า แสดงสีหน้าเคร่งขรึม แต่ภายในใจกลับพยักหน้าอย่างพอใจกับบทความที่อ่าน
'แหมพูดได้ดีนิ มีตาและก็มีแววด้วย ชมฉันเข้าไปอีกสิ '
ระหว่างรอถ่ายทำ ปกติเขาควรจะทำสมาธิกับบทภาพยนตร์ แต่หลายวันที่ผ่านมาวูจินกลับจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความสุข แม้พยายามเก็บอาการด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพียงใดก็ตาม
'เฮ้อ... ต้องสลัดความรู้สึกแบบนี้ออกไปเสียแล้ว'
ทันใดนั้น
"คุณวูจิน! สแตนด์บายครับ!"
เสียงทีมงานฝ่ายกำกับดังขึ้น วูจินสะบัดความรู้สึกตื่นเต้นในใจ ก้าวเท้าลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะนึกขึ้นได้
'อ้อจริงสิ "ปลิง" ก็ใกล้จะถ่ายทำเสร็จแล้วนี่'
ความทรงจำผุดขึ้นในห้วงคิดของเขา เหลือเวลาอีกไม่นานนักแล้วที่ภาพยนตร์ 'เกาะแห่งผู้สูญหาย' จะออกฉาย พอถึงตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ราวกับเร่งความเร็วขึ้น ไม่เว้นแม้แต่กาลเวลา
'ผ่านไปปีครึ่งแล้วสินะ'
คังวูจินสัมผัสได้ถึงวันเวลาที่โบยบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่เขาก้าวเท้าไปยังจุดถ่ายทำซึ่งมีกล้องจ้องมองอยู่
'ก็คงเป็นเรื่องปกติ งานเยอะขนาดนี้'
ผู้กำกับอันกาบกทอดสายตามองคังวูจินที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ ใบหน้าคมคายนั้นบัดนี้มีรอยคล้ำใต้ตาและริ้วรอยแห่งวัยเพิ่มขึ้นมากมาย แต่ประกายตาคมกล้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันเขาก็กำลังสนทนากับตัวแทนบริษัทภาพยนตร์ที่แวะเวียนมาดูความคืบหน้าของงาน
“ผู้กำกับ สบายดีไหมครับ?”
“ทำไม? เป็นห่วงสุขภาพคนแก่หรือไง?” ผู้กำกับอันกาบกถามกลับ น้ำเสียงติดตลก
“อ่า- เปล่าครับ แค่เห็นว่าผู้กำกับดูอ่อนล้า” ตัวแทนบริษัทภาพยนตร์แก้ตัวอย่างสุภาพ
“จะไม่อ่อนล้าได้อย่างไรเล่า ก็เร่งถ่ายทำเร็วกว่าปกติหลายเท่าตัว ลองดูพวกทีมงานสิ แต่ละคนดูทรุดโทรมกันหมด ที่ยังดูสดใสอยู่ก็มีแต่วูจินคนนั้นแหละ”
ผู้กำกับอันกาบกชี้นิ้วไปทางคังวูจินที่กำลังสนทนากับซิมฮันโฮ นักแสดงชื่อดังกลางกองถ่าย ตัวแทนบริษัทภาพยนตร์ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
“คุณวูจินนี่น่าทึ่งจริง ๆ นะครับ คราวก่อนผมแอบถามตารางงานคุณวูจินจาก ประธาน ชเวมา ดูแล้วแทบจะเป็นนรกตั้งแต่เช้ายันค่ำ แถมช่วงนี้ยังต้องบินไปญี่ปุ่นอีก แต่เขากลับทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ก็คงเป็นเพราะยังหนุ่มแน่นด้วยล่ะมั้ง แต่ถ้าเหนื่อยขนาดนี้ได้ก็แสดงว่ามีพละกำลังมากเป็นทุนเดิม”
“······ไม่ใช่ระดับที่แค่การออกกำลังกายจะช่วยได้แน่ ๆ” ตัวแทนบริษัทภาพยนตร์พึมพำเบา ๆ
“ร่างกายเขาดีขนาดนั้น คงแทบไม่ต้องห่วงสุขภาพเลยล่ะมั้ง เพราะงั้นเขาเลยอยากวิ่งในวงการให้มากกว่านี้อีกแหละนะ”
ประธานบริษัทภาพยนตร์มองผู้กำกับอันกาบกด้วยแววตาห่วงใย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ขออภัยนะครับ ผู้กำกับอันกาบก เรื่องกำหนดปิดกล้องวางไว้เมื่อไหร่ครับ?”
ผู้กำกับอันกาบกหยิบบทภาพยนตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลางเอ่ยเสียงแหบพร่า
“ถ้ายังคงความเร็วแบบนี้ สัปดาห์หน้าก็น่าจะเก็บฉากได้ครบถ้วน”
“แล้วงานหลังการถ่ายทำล่ะครับ”
“การตัดต่อต้องเริ่มทันทีที่ปิดกล้องน่ะสิ ระหว่างถ่ายทำเราก็ตัดต่อเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ก่อนวันที่ 30 กันยายนน่าจะเรียบร้อยทั้งหมด”
นั่นหมายความว่าใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ประธานบริษัทภาพยนตร์จึงพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะเริ่มเตรียมงานที่เมืองคานปลายเดือนกันยายนนี้เลย”
เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบินก่อนเป็นอันดับแรก
ณ ลอสแอนเจลิส
ขณะที่เกาหลีอยู่ในช่วงเช้า ลอสแอนเจลิสกลับเป็นเวลาบ่ายโมงตรงกับเวลาเลิกงานพอดี ผู้คนและรถราจึงหนาแน่นเต็มท้องถนน แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีบางคนที่ยังคงทำงานอย่างขะมักเขม้น เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
หนึ่งในนั้นคือซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ไมลีย์ คาร่า
ภาพยนตร์ที่เพิ่งเข้าฉายของเธอก็ทำรายได้อย่างงดงาม แถมยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงจากข่าวคราวความสัมพันธ์กับนักแสดงชาวเกาหลี ไมลีย์ คาร่าเพิ่งโพสต์ความคืบหน้าของตัวเองลงในอินสตาแกรมส่วนตัวที่มีผู้ติดตามกว่าร้อยล้านคนเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยสรุปก็เกี่ยวกับความคืบหน้าของอัลบั้มใหม่
-[······คังวูจิน! ยินดีด้วยกับภาพยนตร์ที่ทำลายสถิติใหม่!]
เธอแท็กถึงคังวูจิน เธอเองก็ได้รับรู้เรื่องราวความสำเร็จของ "เกาะแห่งผู้สูญหาย" เช่นกัน การที่คังวูจินจะมาร่วมงานในอัลบั้มใหม่ของเธอนั้นดูเหมือนจะแน่นอนแล้ว และโพสต์ของคาร่าก็ทำให้โซเชียลมีเดียของวูจินมีผู้ติดตามจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากมาย
เธอตอนนี้อยู่ในอาคารเอเจนซี่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในแอลเอ
ถ้าจะให้เจาะจงลงไป ก็คือภายในสตูดิโอที่ถูกใช้เป็นห้องประชุมด้วย
มีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่และอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงโต๊ะรูปตัวยูที่ดูเหมือนจะรองรับผู้คนได้หลายสิบคน คาร่านั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ผมบลอนด์ยาวสลวยถูกมัดรวบไว้หลวม ๆ เธอสวมฮู้ดดี้ตัวโคร่ง ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางเพียงบางเบา ดวงตาสีฟ้าคู่สวยจับจ้องไปยังจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“······อืมมม.”
แน่นอนว่ามีทีมงานชาวต่างชาติอีกกว่าสิบคนนั่งอยู่รายล้อมคาร่า พวกเขาทุกคนต่างจดจ้องไปยังจุดเดียวกับเธอ บนจอมอนิเตอร์แสดงข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอัลบั้มใหม่ของคาร่าที่ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันว่าโอเคเลยนะ ทุกคนคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
คอนเซ็ปต์โดยรวมของอัลบั้มนี้คืออะไร? คอนเซ็ปต์เสื้อผ้าเป็นแบบไหน? เพลงไตเติลคือเพลงอะไร? คอนเซ็ปต์มิวสิกวิดีโอจะเป็นอย่างไร? กำหนดการตั้งแต่การผลิตอัลบั้ม การวางจำหน่าย และการโปรโมตเป็นอย่างไร? การตลาดและการประชาสัมพันธ์ล่ะ? ข้อมูลและเอกสารมากมายถูกนำเสนอและวิเคราะห์อย่างละเอียด แต่คาร่าก็คือมืออาชีพ เธอพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทีมงานอย่างใจเย็นและสุขุม
การเลือกเพลงที่จะบรรจุลงในอัลบั้มใหม่ของเธอเสร็จสิ้นลงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการเข้าห้องอัด
ในเวลาไม่นาน ขณะที่กำลังฟังกำหนดการอัดเสียง คาร่าก็ปล่อยผมบลอนด์ที่มัดรวบไว้ออก พลางเอ่ยถามผู้จัดการที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเคย
“คิดว่าน่าจะเริ่มประมาณเดือนกรกฎาคมนะ แล้วทางคุณคังวูจินล่ะ?”
“ต้องแจ้งให้ทราบก่อนแหละครับ ครั้งก่อนที่ติดต่อกัน เขาบอกว่าช่วงเดือนกรกฎาคมก็ได้”
“แล้วงานนี้จะใช้เวลาสักกี่วันกันนะ?”
“3-5 วันเห็นจะได้มั้ง ทั้งอัดเสียง ถ่าย MV”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นผมจะแจ้งรายละเอียดและส่งไกด์เพลงไปให้คังวูจินก่อน”
สำหรับขั้นตอนการทำงาน คาร่าจะเริ่มอัดเสียงอย่างเป็นทางการก่อน จากนั้นคังวูจินจึงจะเข้าร่วมในภายหลัง ถึงแม้จะอัดเสียงแยกกัน แต่เสียงของทั้งสองจะถูกผสานรวมกันอย่างกลมกลืนในขั้นตอนมิกซ์เสียง
บทสนทนาเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าสู่การพูดคุยเกี่ยวกับมิวสิกวิดีโอ
เนื่องจากได้ตกลงเรื่องผู้กำกับและสตอรี่บอร์ดไว้แล้ว คาร่า แม่สาวผมบลอนด์จึงเปิดดูสตอรี่บอร์ดที่บันทึกไว้ในแท็บเล็ต นิ้วเรียวสวยเม้มริมฝีปากเบา ๆ เป็นกิริยาที่มักปรากฏขึ้นเสมอเมื่อเธอกำลังครุ่นคิด
“รู้สึกว่ายังไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ บรรยากาศแบบนี้เราเคยใช้ในอัลบั้มที่แล้วไปแล้ว”
“อยากจะแก้ไขใช่ไหมครับ?”
“อยากให้มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจนขึ้น และเพิ่มฉากแสดงเข้าไปอีกหน่อย ในระดับที่ฉันกับคุณวูจินสามารถถ่ายทอดออกมาได้”
“ได้เลยครับ”
คาร่าหันไปกล่าวเพิ่มเติมกับทีมงานที่พยักหน้ารับคำอย่างพร้อมเพรียง
“แล้วช่วยใส่ฉากเล่นเปียโนลงไปใน MV ด้วยนะ แน่นอนว่าคุณวูจินจะเป็นคนบรรเลง”
วันศุกร์ที่ 18 กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
สำนักหมอดูแห่งหนึ่งใกล้สถานีชินชอน ตั้งตระหง่านอย่างโอ่งโอ่ การตกแต่งภายในหรูหราอลังการตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้าไป ดูเหมือนจะมีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในย่านนั้น เพราะมีลูกค้ารออยู่หลายคน ภายในห้องโถงหลัก ภาพวาดลึกลับแขวนอยู่บนเพดาน เทียนไขส่องแสงริบหรี่บนแท่นบูชา ด้านหลังมีตุ๊กตาขนาดเล็กวางเรียงราย ทุกองค์ประกอบล้วนเสริมสร้างบรรยากาศอันน่าพิศวง ราวกับหลุดเข้าไปในโลกแห่งเวทมนตร์ ชวนให้รู้สึกว่าที่นี่คือสำนักหมอดูอย่างแท้จริง
ทว่าร่างของหมอดูเจ้าของบ้านกลับเลือนหายไปราวกับสายหมอก เธอพบหมอดูผู้นั้นในห้องด้านหลัง เป็นสตรีวัยกลางคน อายุราวหกสิบปี ใบหน้าแต่งแต้มสีสันจัดจ้าน สวมชุดฮันบกประหนึ่งเตรียมต้อนรับแขกคนสำคัญ
หมอดูเตรียมตัวเสร็จสลัด จึงเคลื่อนกายไปเปิดประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่
เอี๊ยด!
ภายในห้องต่างจากภายนอกบ้านราวฟ้ากับเหว บรรยากาศเรียบง่าย ไร้ซึ่งเครื่องตกแต่งใด ๆ มีเพียงผ้าห่มสีเทาวางคลุมเตียง และหญิงสาวร่างเล็กผมบ๊อบนอนคว่ำหน้าอยู่ เมื่อเพ่งมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าหญิงสาวกำลังอ่านบางสิ่งบางอย่างอย่างใคร่ครวญ
หมอดูผู้แต่งหน้าจัดเอ่ยกับหญิงสาวผมบ๊อบ
“ลูกแม่ สนุกไหม?”
หญิงสาวผมบ๊อบ ซึ่งน่าจะเป็นลูกสาวของหมอดู ยังคงจ้องมองสิ่งที่อ่านอยู่ในมือ พยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนตอบสั้น ๆ เสียงแผ่ว
“อืม สนุกดี”
น้ำเสียงแฝงแววหม่นหมอง ลูกสาวที่ตอบคำถามเสร็จสิ้น ลุกขึ้นนั่ง แต่ในมือยังคงกุมสิ่งที่กำลังอ่านค้างไว้ มันคือหนังสือปกสีเทา และบนปกมีตัวอักษรเรียงร้อยเป็นชื่อเรื่อง
มารร้ายผู้แสนดี/ ตอนที่ 1
มันคือบทของ "มารร้ายผู้แสนดี" เหตุผลที่ลูกสาวยังคงอ่านบท "มารร้ายผู้แสนดี" อยู่นั้นแสนเรียบง่าย เธอคืออิมแฮอึน ผู้ผ่านการออดิชั่นครั้งใหญ่และผ่านเข้ารอบสุดท้ายของ "มารร้ายผู้แสนดี" อิมแฮอึนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มราวลูกสุนัข แกว่งบทไปมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นักเขียนเขียนบทได้ดี”
หมอดูมองอิมแฮอึน ลูกสาวของตนอย่างเงียบงัน ก่อนจะถอนหายใจยาว
“ลูกต้องรับงานนี้จริง ๆ เหรอ? ทำไมต้องรับบทที่ตัวเอกโดนผีสิงด้วย”
“คังวูจินไม่เกี่ยว หนูแค่คว้าโอกาสที่หายากก็เท่านั้น”
“······แล้วเคยพบกับคังวูจินตัวจริงบ้างหรือยัง?”
“ยังเลยค่ะ แต่เร็ว ๆ นี้จะมีการอ่านบทก่อนถ่ายทำ นักแสดงจะมารวมตัวกันหมด คงได้เจอเขาตอนนั้นแหละค่ะ”
หมอดูผู้กุมขมับเอ่ยพึมพำกับลูกสาวราวกับโยนภาระทั้งหมดให้เธอรับผิดชอบ
“ยังไงก็ระวังตัวไว้ด้วยนะ คังวูจินคนนั้นดูอันตราย”
ณ ย่านฮงแดในเวลานี้
เบื้องล่างของตึกขนาดกลาง บนเวทีของโรงละครเล็ก ๆ ที่ดูทรุดโทรม ชายหนุ่มใบหน้าสะอาดสะอ้านราวกับเทพบุตร กำลังทุ่มเทแสดงละครเพียงลำพัง ภายในโรงละครที่เงียบสงัดไร้ผู้ชม มีเพียงร่างของเขาเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอยู่บนนั้น
ชายผู้นั้นคือโจมูชาน ผู้ได้รับเลือกให้แสดงในละครเรื่อง “ปีศาจแสนดี”
ย้อนกลับไปในช่วงการออดิชั่นครั้งใหญ่ โจมูชานคือผู้ที่ฉายแววโดดเด่น แตกต่างจากคังวูจินอย่างสิ้นเชิง และสามารถดึงดูดความสนใจจากPDซงมันวูได้อย่างอยู่หมัด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะละครของชอนมุนกุก นักแสดงอาวุโสระดับตำนานของประเทศ ในมือของโจมูชานที่กำลังแสดงอยู่อย่างมุ่งมั่นบนเวทีนั้น มีบทละครกำไว้แน่น
แน่นอนว่ามันคือบทละครตอนที่ 1 ของ “ปีศาจแสนดี”
ดูเหมือนว่าเขากำลังฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังเพียงลำพัง
ทันใดนั้นเอง
-แกร๊ก
ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในโรงละครที่ว่างเปล่า เขาเดินผ่านเก้าอี้ผู้ชมที่จัดวางไว้อย่างเรียบง่าย เส้นผมสีขาวและดำปะปนกันจนกลายเป็นสีเทา ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวัย อายุของเขาดูใกล้เคียงกับผู้กำกับอันกาบก เคราสีดอกเลายาวเฟื้อยจากใต้หูจรดคางและใต้จมูก ยิ่งเสริมให้เขาดูสง่างาม
เขาคือชอนมุนกุก นักแสดงอาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิ
ชอนมุนกุกปรากฏตัวขึ้นบนเวที แต่โจมูชานที่กำลังตั้งใจซ้อมดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็น ไม่นานนัก ชอนมุนกุกก็เดินมาถึงหน้าเวที เขามองโจมูชานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้เท้าเคาะพื้นเวทีเบา ๆ สองครั้ง
ในตอนนั้นเอง
“อ๊ะ! อาจารย์ชอน”
โจมูชานหยุดซ้อมแล้ววิ่งมาหาชอนมุนกุก น้ำเสียงและท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้า ไร้เรี่ยวแรง เหมือนคนหมดไฟ นักแสดงอาวุโสชอนมุนกุกมองโจมูชานที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทำแบบขอไปทีแบบนี้ คิดว่าจะเอาชนะคังวูจินได้เหรอ?”
“เอ่อ...ผม ผม อาจารย์ครับ”
“ฉันถามว่าจะเอาชนะได้ไหม?”
“คือ คุณคังวูจินเป็นไอดอลของผมครับ”
“ถ้าไอดอลของเธอล่ะก็ แพ้เธอ ฉันเปลี่ยนคนอื่นมาแทนก็ได้นี่”
“······”
“คังวูจิน หมอนั่นเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไปแล้ว ขึ้นอันดับหนึ่งแล้วด้วย”
แน่นอนว่าหมายถึง ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’
“เขาปูทางไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ครับ? อ่า ครับ”
“พูดง่าย ๆ แค่เธอก้าวข้ามเขาไป ทุกอย่างก็จะเป็นของเธอ”
“···เข้าใจแล้วครับ”
สีหน้าของชอนมุนกุกดูเคร่งขรึมขึ้น
“โจมูชาน เธอเป็นสมาชิกของคณะละครของฉัน ออกไปข้างนอกก็เหมือนเป็นหน้าเป็นตาของฉัน อย่าไปแพ้แบบน่าอาย ทุ่มสุดตัวให้กับ ‘มารร้ายผู้แสนดี’ เรื่องนี้ซะ คังวูจินน่ะเป็นอัจฉริยะ แต่เธอก็เป็นอัจฉริยะเหมือนกัน สายตาฉันไม่เคยพลาด”
“ขอบ···คุณครับ”
“แค่อัจฉริยะอย่างเดียวยังไม่พอ ถ้าอยากจะชนะคังวูจิน เธอต้องแตกต่าง ฉันมองเห็น”
ชอนมุนกุกพูดร่ายยาว ก่อนจะสรุปความให้โจมูชานที่กำลังอ้ำอึ้งฟัง
“คังวูจินคือปีศาจร้าย หากอยากจะต่อกรกับเขา เธอก็ต้องกลายเป็นปีศาจเช่นเดียวกัน เข้าใจไหม?”
ไม่กี่วันต่อมา ณ เมืองชอนจู ยามเช้าตรู่
พื้นที่กองถ่ายภาพยนตร์ที่คุ้นเคย ฉากบ้านหลังใหญ่ของภาพยนตร์เรื่อง “ปลิง” และฉากภายในโดยรอบ ทีมงานกว่าร้อยชีวิตกำลังขะมักเขม้นกับการขนย้ายอุปกรณ์ ทั้งกล้อง ไฟ พร็อพ และอุปกรณ์เสียง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการถ่ายทำ
แม้จะเป็นเช้าตรู่ แต่ทุกคนกลับเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง
ผู้กำกับอันกาบก ผู้มากประสบการณ์ เป็นผู้นำในการควบคุมทีมงานเหล่านี้
“ยกกล้องไปที่ฉากบ้านก่อน เราจะเริ่มจากตรงนั้น”
“ครับ!!”
หลังจากออกคำสั่ง ผู้กำกับอันกาบกก็ล้วงมือหยิบกระดาษแผ่นบางที่ม้วนเป็นปึก ซึ่งเหน็บไว้ที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลังออกมา
*สวบ*
มันคือสตอรี่บอร์ดของภาพยนตร์เรื่อง “ปลิง” และมันก็ใกล้จะถึงหน้าสุดท้ายแล้ว
‘ในที่สุดก็มาถึงวันนี้’ ผู้กำกับอันกาบกคิดในใจ
วันนี้เป็นวันปิดกล้องของภาพยนตร์เรื่อง “ปลิง”
ณ เวลาเดียวกัน ที่อพาร์ตเมนต์ของคังวูจิน
คังวูจินใบหน้าเคร่งขรึม สวมหมวกคลุมศีรษะ ก้าวเข้าไปในลิฟต์ เขากดปุ่มชั้นใต้ดินและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
-24 มิถุนายน
-7:10 น.
เดือนมิถุนายนกำลังจะผ่านพ้นไป คังวูจินเอียงศีรษะไปมาเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
‘ไม่ได้การแล้ว ต้องไปเติมพลังที่มิติว่างเปล่าก่อนถ่ายทำ’
ช่วงนี้ คังวูจินทุ่มเทให้กับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ปลิง” เป็นหลัก นอกเหนือจากตารางงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
‘การถ่ายทำครั้งสุดท้าย เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ ’ คังวูจินครุ่นคิด
เขาเดินออกจากลิฟต์ไปยังลานจอดรถใต้ดิน และพบกับรถตู้คันคุ้นเคยที่จอดรอรับเขาอยู่
วูจินก้าวขึ้นรถตู้ พลางทักทายทีมงานด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ชเวซองกุนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ หันหน้าจอแท็บเล็ตที่กำลังดูอยู่มาทางเขา
“ในที่สุดก็ประกาศแล้ว ‘ถึงเวลาที่มารร้ายอย่างฉันจะออกไปอวดโฉมสู่สายตาชาวโลกแล้วสินะ’”
วูจินเหลือบมองหน้าจอแท็บเล็ตอย่างไม่ใส่ใจนัก ข่าวประกาศผลงานใหม่ของเขากำลังฉายอยู่ ใบหน้าคมคายปรากฏเด่นชัดบนหน้าจอ พร้อมพาดหัวข่าวตัวโต
『[ข่าวอย่างเป็นทางการ] Netflix เตรียมส่ง “มารร้ายผู้แสนดี” โกอินเตอร์ นำแสดงโดย คังวูจิน พร้อมประกาศรายชื่อนักแสดงทั้งหมด...เซอร์ไพรส์! นักแสดงหน้าใหม่เพียบ!』
ในที่สุดรายชื่อนักแสดงทั้งหมดของ “มารร้ายผู้แสนดี” ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณชนแล้ว
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_