บทที่ 280 : ตลอดกาล (11)
[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ]
[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]
[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]
บทที่ 280 : ตลอดกาล (11)
ครั้งแรกที่คังวูจินก้าวเข้าสู่โถงทางเดินของ ‘สตูดิโอ A10’ ในอาคารบันทึกเสียง เสียงสนทนาภาษาญี่ปุ่นแผ่วเบาของชายสองคนซึ่งดูเหมือนจะเป็นนักพากย์ชื่อดังก็ลอยมาเข้าหู พวกเขายืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว สนทนากันอย่างออกรสราวกับไม่รู้ว่าคังวูจินกำลังเดินตามหลังมาติด ๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อจับใจความสำคัญของบทสนทนาได้
‘เหลวไหล พวกนี้นินทาฉันงั้นเหรอ?’
ความขุ่นเคืองแล่นริ้วขึ้นในอก หากเป็นคนอื่นเขาคงแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งไปแล้ว แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ต้องรักษา คังวูจินจึงยังคงเก็บอารมณ์ ใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ยินอะไร ไม่ใช่ว่าเขาอดทน แต่เขาต้องการฟังให้แน่ชัดว่าคนพวกนี้จะพูดอะไรต่อ ขณะที่นักพากย์ชาวญี่ปุ่นทั้งสองยังคงนินทาเขาอย่างออกรสออกชาติ ฮันเยจองสาวผมบ็อบสีน้ำเงินอมดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คังวูจินก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“พี่วูจินคะ ฉันว่าพวกเขากำลังพูดถึงพี่อยู่นะคะ ในทางที่ไม่ดีด้วย”
แม้จะไม่เชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นมากนัก แต่เธอก็พอจับใจความได้ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงทีมสไตลิสต์อย่างรวดเร็ว คังวูจินจึงหันไปปลอบพวกเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันรู้แล้ว ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
เมื่อนักพากย์ชาวญี่ปุ่นทั้งสองเปิดประตูห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นห้องบันทึกเสียง หนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างท้าทาย
“พนันกันไหม?”
“พนันอะไร?”
“ว่าหมอนั่นจะพูดผิดตั้งแต่ประโยคแรกเลยรึเปล่า”
คังวูจินเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แม้ภายนอกจะดูแข็งกร้าว แต่ด้วยนิสัยที่แท้จริงของเขา ในสถานการณ์เช่นนี้วูจินไม่เคยยอมถอย หากไม่ถูกยั่วยุก็คงไม่มีปัญหา แต่เมื่อถูกแตะต้องตรง ๆ แบบนี้ เขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด เสียงทุ้มต่ำจึงเปล่งออกมาอย่างหนักแน่น
“ได้ครับ”
ทว่าน้ำเสียงกลับก้องกังวานขึ้น ดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องอ่านบท เรียกความสนใจจากทีมงานหลายสิบคนและนักพากย์ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาถึงก่อน ให้หันขวับมามองยังประตูทางเข้าพร้อมเพรียงราวกับนัดหมาย นักพากย์ชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งที่กำลังนินทาวูจินอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง
ในขณะเดียวกัน คังวูจินกลับพูดอย่างใจเย็นราวกับจงใจให้ทุกคนได้ยิน
“พนันกันว่า ระหว่างมือสมัครเล่นอย่างผม กับมืออาชีพอย่างพวกคุณ รวมถึงนักพากย์คุณอื่น ๆ ใครจะพากย์ได้ดีกว่ากัน เป็นยังไงครับ?”
ดวงตาของนักพากย์ชาวญี่ปุ่นเบิกกว้างขึ้น เช่นเดียวกับทุกคนที่อยู่ในห้องอ่านบท บรรยากาศในห้องเริ่มแตกตื่น ทีมงานของ "เพื่อนชาย: ฉบับรีเมค" ต่างกระซิบกระซาบกัน
“เมื่อกี้ คุณคังวูจินพูดว่าอะไรนะ?”
“เหมือนจะบอกว่าขอท้าพนัน”
“พนันว่าระหว่างนักพากย์กับตัวเอง ใครพากย์เสียงเก่งกว่า?”
“ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน”
“อะไรกันเนี่ย? ต้องห้ามเขามั้ย?”
ทีมงานที่รู้เรื่องราวไม่ดีเกี่ยวกับวูจินอยู่แล้วมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที นักพากย์บางคนที่อยู่ในห้องอ่านบทก็เช่นกัน แต่พวกเขากลับขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดของคังวูจิน
แต่วูจินไม่สนใจ เขากลับจ้องมองไปยังนักพากย์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่วางตา
“ทำไมถึงไม่พูดอะไรครับ”
แววตาเยาะเย้ยของวูจิน ทำให้นักพากย์ที่กำลังนินทาเขาอยู่ถึงกับตัวแข็งทื่อ
“เอ่อ คือ...”
“ไม่เอาเหรอครับ การพนันน่ะ”
เรื่องพรรค์นั้น คังวูจินไม่แยแสอยู่แล้ว
“ตอนมาถึงที่นี่ พวกคุณพูดถึงผมไม่ใช่เหรอครับ? พูดว่าอะไรนะ... ‘วันนี้คงเหนื่อยน่าดู คังวูจินมือสมัครเล่นคงทำพลาดไม่หยุดแน่’ ประมาณนี้หรือเปล่า?”
“เอ่อ... คือ...”
“พวกคุณพูดอย่างอื่นอีก แต่ผมจำไม่ได้แล้วสิ”
“...”
นักพากย์ชาวญี่ปุ่นสบตากันเลิ่กลั่ก คังวูจินยังคงสีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองพวกเขาก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้องอัดเสียงที่ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา เหล่าทีมงานบางคนขยับกาย เหมือนจะเข้ามาห้ามปราม คังวูจินหันกลับมามองนักพากย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ในสถานการณ์ปกติ ด้วยสายตาของผู้คนมากมายที่จับจ้องมา เขาอาจจะปล่อยผ่านไป
“หืม...”
แต่คังวูจินไม่หยุด “ทำตัวตามอำเภอใจ” อย่างที่เขาเป็น
“แบบนี้เรียกว่ากีดกันน้องใหม่เหรอครับ?”
“...”
“ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเองก็คงไม่รู้ แต่พอได้ยินแล้ว รู้สึกไม่พอใจเลยนะครับ”
เหล่าทีมงานและนักพากย์ของ ‘เพื่อนชาย: รีเมค’ เริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุ อ้อ... นินทาแล้วโดนจับได้นี่เอง กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะการพูดจาตรงไปตรงมาแบบคังวูจินไม่ใช่เรื่องปกติในญี่ปุ่น มันเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของประเทศนี้ แต่ก็มีแค่คนโอซาก้าแหละนะที่พูดตรง ๆ
แล้วไง? แน่นอนว่าคังวูจินไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
‘ฉันต้องแคร์เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ? ถ้าโมโหก็ต้องระบายออกไปสิ’
คังวูจินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบอีกครั้ง
“ไม่ขอโทษกันหน่อยเหรอครับ?”
ในทางกลับกัน เหล่านักพากย์แทบจะเสียสติ เพราะไม่เคยเผชิญเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน พวกเขาจึงทำอะไรไม่ถูก
“...ขอโทษ... ขอโทษครับ”
“เผลอพูดออกไป ขอโทษด้วยครับ”
ท่าทีองอาจไม่หวั่นเกรงผู้ใดของคังวูจินทำให้บ่าของฮันเยจองและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังผายขึ้นอย่างภาคภูมิ ราวกับจะประกาศก้องว่า "นี่แหละ คังวูจินของพวกเรา!" ในขณะเดียวกัน เหล่าทีมงานก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“เอ่อ คือ คุณคังวูจินครับ รบกวนใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ พวกเราต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ”
คังวูจินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ผมก็เป็นแบบนี้เป็นปกติ”
“ครับ? อ่า- ครับ ขอโทษด้วยครับ”
เหล่าทีมงานและสตาฟของ ‘สตูดิโอ A10’ ต่างเอ่ยคำขอโทษเป็นเสียงเดียวกัน แน่นอนว่ารวมถึงนักพากย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคังวูจินด้วย ถึงแม้คังวูจินจะยังไม่มีประสบการณ์ด้านการพากย์ แต่เขาก็คือนักแสดงนำชายของ ‘เพื่อนชาย: รีเมค’ บารมีและอิทธิพลของบทบาทนี้ไม่อาจมองข้ามได้เลย
หลังจากรับฟังคำขอโทษอยู่ครู่หนึ่ง
“······”
คังวูจินเพียงจ้องมองพวกเขาเนิ่นนานโดยไม่ตอบโต้ใด ๆ ก่อนจะขยับเท้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วโค้งคำนับนักพากย์ชาวญี่ปุ่นที่นั่งประจำที่อยู่ในห้องอ่านบทด้วยท่าทางที่ดูประดักประเดิดเล็กน้อย
“สวัสดีครับ ผมคังวูจิน ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยนะครับ”
เพราะยังไงเสียก็ต้องทักทายกันอยู่แล้ว และคังวูจินก็เป็นคนอัธยาศัยดีไม่มีพิษมีภัย ไม่นานนักพากย์คนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ โค้งคำนับคังวูจินอย่างงุ่มง่าม บรรยากาศที่ตึงเครียดแปลกประหลาดถูกคังวูจินพลิกผันกลับมาเป็นปกติได้ในชั่วพริบตา
จากนั้น
-กึก
คังวูจินกวาดสายตามองตารางบทบาทที่วางอยู่บนโต๊ะรูปตัวดี ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งของตนอย่างใจเย็น แน่นอนว่าบทบาทของเขาต้องอยู่ลำดับแรก
-แกรก
คังวูจินนั่งลงและเปิดบทอ่านอย่างไม่ทุกข์ร้อน ในทางกลับกัน นักพากย์ชาวญี่ปุ่นต่างพากันมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง แม้จะไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา แต่แววตาของพวกเขาก็บ่งบอกถึงความรู้สึกที่เหมือนกัน
‘หมอนี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่วะ?’
แม้จะแฝงความขุ่นเคืองไว้ภายใต้ท่าทีสุภาพ แต่เพียงครู่เดียว วูจินก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง จดจ่ออยู่กับบทราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น กิริยาท่าทางที่แปลกประหลาดนี้ ทำให้เหล่าทีมงานและสตาฟของ "เพื่อนชาย: รีเมค" มองทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ในทันที
ราศีจับขนาดนั้น ใครจะมองไม่ออก
“ว้าว- คังคุณวูจิน นี่ออร่าเปล่งประกายสุด ๆ ไปเลยนะครับ”
“นั่นสิครับ ตอนประชุมคราวก่อนยังนึกว่าเป็นคนเงียบ ๆ ขรึม ๆ แต่วันนี้คาริสม่าแผ่กระจายชัดเจน…”
“แบบนี้หายากนะครับที่ญี่ปุ่น”
“ดูสินักพากย์แต่ละคน หน้าเสียไปหมดแล้ว”
คนที่ดูพึงพอใจกับสถานการณ์นี้อย่างน่าประหลาดคือทีมงานของวูจิน พวกเขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้พับที่วางล้อมรอบโต๊ะรูปตัว D ฮันเยจอง หัวหน้าสไตลิสต์ เปิดฉากสนทนา
“นินทาอะไรกัน นี่แหละ กังวูจิน ตัวจริงเสียงจริง ไอ้พวกนี้”
จู่ ๆ วูจินก็ถูกตั้งฉายาว่า ‘คังวูจิน’ เสียอย่างนั้น
[คัง ในบริบทมีความหมายแปลว่ากล้า ดื้อรั้นนะครับ ก็เหมือน ไหม้ ไม้ ไม่ บ้านเราแหละครับ ขอหมูปิ้งไม่ไหม้ไม้หนึ่ง]
เวลาผ่านไป
ผู้คนทยอยกันเข้ามาในห้องอ่านบท บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น ทั้งนักพากย์ชื่อดังของญี่ปุ่น ทีมงาน และผู้บริหารรวมถึงผู้เกี่ยวข้องจาก ‘สตูดิโอ A10’ จากเดิมที่มีคนอยู่ราว ๆ ยี่สิบคน ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นเกือบห้าสิบคน ข่าวลือกระจายไปทั่วในหมู่นักพากย์ชาวญี่ปุ่นที่นั่งกันเต็มเกือบทุกที่นั่ง
“จริงเหรอ? คังคุณวูจิน พูดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”
“จริงสิคะ เขาบอกว่าจะแข่งกับนักพากย์มืออาชีพ ดูสิว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน คาริสม่าพุ่งแรงมากค่ะ”
“อืม… นักพากย์พวกนั้นก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่วูจินเขาก็มั่นใจในตัวเองดีนะ หรือว่าจะมีประสบการณ์พากย์มาก่อน?”
“เท่าที่ได้ยินมา เขาพากย์ครั้งแรกนะคะ”
คำประกาศกร้าวของคังวูจินแพร่สะพัดไปทั่วราวกับไฟลามทุ่ง เสียงชื่นชมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมปะปนกันไป เหล่านักพากย์รุ่นใหม่ต่างมองวูจินด้วยแววตาตกตะลึง ส่วนนักพากย์รุ่นเก่ามองเขาด้วยความรู้สึกเคลือบแคลง ราวกับไม่อาจเชื่อมั่นในความมั่นอกมั่นใจเกินร้อยของเขาได้
ในจังหวะนั้นเอง...
“สวัสดีค่ะ-”
นักพากย์หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องอัดเสียงที่กำลังจอแจ เธอสวมเสื้อยืดแขนสั้นรัดรูปเผยให้เห็นทรวดทรงงดงาม กางเกงยีนส์ทรงหลวมพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน รูปร่างเล็กกะทัดรัดน่าทะนุถนอม ดวงตากลมโตเป็นประกาย มีฟันกระต่ายเล็ก ๆ ที่เพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูให้กับใบหน้า โดยรวมแล้วเธองดงามมีเสน่ห์ชวนมอง ราวกับไอดอลสาวที่น่าจะโด่งดังในญี่ปุ่น
เธอคือ นัตสึมิ อูมิ นักพากย์สาวชื่อดังผู้ได้รับฉายา "ไอดอลแห่งวงการนักพากย์ญี่ปุ่น" ผู้ให้เสียงตัวละคร "เอ็นมะ เคียวโกะ" นางเอกจากเกม "เพื่อนชาย: รีเมค"
ชื่อเสียงและความนิยมของเธอยืนยงคงกระพันดุจดาวค้างฟ้า
“เอ๊ะ? บรรยากาศดูอึมครึมจังเลยนะคะ”
น้ำเสียงของเธอไพเราะเสนาะหู ฟังดูชัดเจนและอ่อนหวานราวกับเสียงของผู้ประกาศข่าว ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังเป็นพลุแตก นัตสึมิ อูมิ จึงมีท่าทีถือตัวอยู่บ้าง เธอทักทายนักพากย์คนอื่น ๆ ไปพลาง พร้อมกับรับฟังเรื่องราวซุบซิบต่าง ๆ ที่ลอยมาเข้าหู
“เอ๋- เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เหรอคะ?”
แน่นอนว่าข่าวลือนั้นเกี่ยวกับคังวูจิน นัตสึมิ อูมิ ชำเลืองมองวูจินที่นั่งอยู่แถวหน้า ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่คนเดียว ราวกับมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากตัวเขา
‘บ้าไปแล้วแน่ ๆ ดูเหมือนคนประหลาดยังไงชอบกล อย่างกับเซนโกคุ โทโอรุมาเองเลยแฮะ?’
ก่อนจะมาที่นี่ นัตสึมิ อูมิ ได้ยินเรื่องราวของคังวูจินมาบ้างแล้ว เขากลายเป็นประเด็นร้อนแรงในหมู่นักแสดงที่เธอรู้จัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นตัวจริงของเขา
‘ตัวจริงดูจะหนักกว่าที่คิดไว้อีกนะ’
นัตสึมิ อูมิ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะสาวเท้าเข้าหาคังวูจิน ด้วยความที่เธอคือนางเอก เธอจึงจำเป็นต้องเอ่ยทักทาย ความอยากรู้อยากเห็นผสมกับความมั่นใจในตัวเองที่สูงลิบ ทำให้เธอเชื่อว่าการผูกมิตรกับผู้ชายคนไหนก็คงเป็นเรื่องกล้วย ๆ
“อืม เอ่อ...”
ผู้ชายก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ! นัตสึมิ อูมิ ยืนเคียงข้างวูจินพลางส่งยิ้มหวานละไม
“สวัสดีค่ะ”
วูจินหันไปตามเสียงทักทายภาษาญี่ปุ่น พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยมาแตะจมูก ทันทีที่สบตากับคังวูจิน นัตสึมิ อูมิ ก็ร้องในใจ
‘โอ้โห หล่อเหลาเอาการเชียว!’
ในทางกลับกัน วูจินมองนัตสึมิ อูมิ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
“สวัสดีครับ”
แม้ภายนอกจะดูนิ่งขรึม แต่ในใจเขาก็คิดเช่นกัน
‘ใครกันนะ? อ่า... นักพากย์นี่เอง ก็สวยน่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย’
ไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวใด ๆ เกิดขึ้นในใจเขา นัตสึมิ อูมิ เป็นเพียงนักพากย์ที่ดูดีคนหนึ่งเท่านั้น เพราะรอบตัวคังวูจินเต็มไปด้วยนักแสดงหญิงแถวหน้ามากมาย ส่วนนัตสึมิ อูมิ ที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็ยื่นมือออกไปหาเขาอย่างฉับไว ปกติผู้ชายส่วนใหญ่มักจะยิ้มรับและจับมือตอบ
“คุณคังวูจินคะ หล่อจังเลยค่ะ! ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉันนัตสึมิ อูมิ ผู้พากย์เสียง ‘เอ็นมะ เคียวโกะ’ ค่ะ เป็นเพื่อนกันนะคะ”
วูจินลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า จับมือของนัตสึมิ อูมิ อย่างเสียไม่ได้ ก่อนตอบเสียงเรียบสั้น ๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
แล้วเขาก็นั่งลง ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที นี่ไม่ใช่สิ่งที่นัตสึมิ อูมิ คาดคิดไว้ เธอรู้สึก น้อยใจเล็กน้อยและได้แต่ตะโกนกู่ร้องในใจ
‘แบบนี้มันไม่ได้สิ?! นี่มันหยิ่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?!’
ความขุ่นเคืองแล่นริ้วผ่านหัวใจ เธอกระตุกมือที่ค้างเติ่งกลางอากาศลงอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างแน่นอย่างขมขื่น
‘ชิ! ทำไมต้องเย็นชาใส่ฉันขนาดนี้ด้วย? เขาหมายความว่ายังไงกันแน่? หรือว่าตอนนี้ดังแล้วเลยทำตัวแบบนี้? ช่างเถอะ! ยังไงในวงการพากย์เสียงฉันก็ดังกว่าเขาอยู่ดี’
ทันใดนั้นเอง เสียงหวานใสของผู้หญิงวัยกลางคนก็ดังแทรกเข้ามาขัดจังหวะความคิดของเธอ
“คุณวูจินคะ”
นัตสึมิ อูมิหันขวับไปมองต้นเสียง พบกับหญิงสาวใบหน้าใจดี ผมสีน้ำตาลเข้มมัดรวบเรียบร้อย กำลังเยื้องย่างเข้ามา เธอจำได้ทันทีว่านั่นคือ อาซามิ ซายะ นักพากย์เสียงชื่อดังที่เคยร่วมงานกับคังวูจิน การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของรุ่นพี่ในวงการ ทำเอานัตสึมิ อูมิสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ! สวัสดีค่ะรุ่นพี่!”
ซายะยิ้มกว้างอย่างอบอุ่น โบกมือทักทายกลับเบา ๆ
“สวัสดีจ้ะ”
จากนั้นเธอก็สาวเท้าตรงไปหาคังวูจินทันที
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ หลังจากเรื่อง SNS ครั้งนั้น ฉันกังวลมากว่าจะติดต่อคุณดีไหม กลัวว่าจะเป็นการรบกวน”
ไม่รู้ว่าคังวูจินลุกขึ้นยืนตั้งแต่ตอนไหน เขายืนตรงตระหง่านอยู่ตรงหน้าซายะ
“ไม่เลยครับ ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย” คังวูจินเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“โล่งอกไปที ต้องขอบคุณคุณวูจินมากนะคะ ที่ทำให้ลูกสาวฉันยิ้มได้ทุกวัน” ซายะกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข
“อย่างนั้นเหรอครับ?” คังวูจินถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“ค่ะ แล้วรู้ไหมคะ ช่วงนี้คุณวูจินดังมากในโรงเรียนของเด็ก ๆ ลูกสาวฉันคุยโวใหญ่เลย” ซายะเล่าอย่างอารมณ์ดี
“ผมเพิ่งเคยได้ยินนี่แหละครับ” คังวูจินตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“ลูกสาวฉันอวยพรให้คุณประสบความสำเร็จทุกวันเลยค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับการพากย์เสียงที่ยากลำบากก็บอกฉันได้นะคะ” ซายะเสนอความช่วยเหลือด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณครับ” คังวูจินรับคำด้วยความรู้สึกขอบคุณ
บทสนทนาระหว่างทั้งสองดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่นัตสึมิ อูมิที่ยืนมองอยู่ด้านข้างกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงที่อ่อนโยนของคังวูจินขณะสนทนากับซายะ ช่างแตกต่างจากน้ำเสียงเย็นชาที่ใช้กับเธอราวฟ้ากับดิน
‘ทำไมเขาพูดกับเธอเสียงอ่อนโยนแบบนั้น? นี่มันอุณหภูมิต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนี่นา หรือว่าเขาจะชอบคนอายุมากกว่ากันนะ?!’ นัตสึมิ อูมิตกตะลึงกับความคิดของตัวเอง
ในขณะนั้น เสียงประกาศดังก้องขึ้น
“เอาล่ะครับ ทุกคนเชิญนั่งลงได้เลย”
ภายในห้องสตูดิโอ A10 เหล่าผู้บริหารและทีมงานนั่งล้อมรอบโต๊ะรูปตัว D ชายหนุ่มผู้สวมแว่นทรงกลมยืนสง่าอยู่ตรงที่นั่งหัวโต๊ะ เขาคือซากุอิจิ มาฮิโระ ผู้กำกับของอนิเมะเรื่อง ‘เพื่อนชาย: รีเมค’
“สวัสดีครับ ผมซากุอิจิ มาฮิโระ ผู้กำกับ ‘เพื่อนชาย: รีเมค’ ครับ” น้ำเสียงหนักแน่นของเขาดังก้องไปทั่วห้อง
ชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้กำกับอนิเมะชื่อดัง ทำให้เหล่านักพากย์อย่างวูจิน อาซามิ ซายะ นัตสึมิ อูมิ และคนอื่น ๆ ต่างนั่งประจำที่อย่างตั้งใจ ซากุอิจิแนะนำนักพากย์แต่ละคน เริ่มจากคังวูจินผู้รับบทพระเอก นัตสึมิ อูมิผู้รับบทนางเอก อาซามิ ซายะ และนักพากย์อีกหลายสิบคน ก่อนจะแนะนำทีมงานและผู้บริหารของสตูดิโอ A10
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
“เอาล่ะครับ งั้นเราเริ่มอ่านบทตอนที่ 1 กันแบบเบา ๆ เพื่อวอร์มเสียงกันก่อนนะครับ” ซากุอิจิกล่าวพลางนั่งลงที่หัวโต๊ะ
จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ฉายภาพอนิเมะขึ้นมา เนื่องจากยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ ภาพที่ปรากฏจึงมีเพียงเนื้อเรื่องเบื้องต้น ไร้ซึ่งเสียงเพลงเปิด เพลงประกอบ หรือไตเติ้ลใด ๆ เหล่านักพากย์ทั้งนัตสึมิ อูมิและคนอื่น ๆ ต่างจดจ้องไปที่จอ สายตาหลายคู่เหลือบมองไปยังคังวูจินที่ยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย
‘เขาต้องทำพลาดแน่’ ความคิดหนึ่งแล่นผ่านใจใครบางคนในห้อง
‘ประกาศท้าพนันแบบนั้น คงซ้อมมาหนักน่าดู แต่บทพูดช่วงแรกมันควบคุมยากนะ’ อีกคนคิดตาม
‘ทำไมเขาดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด? สงบนิ่งเหมือนน้ำนิ่งจริง ๆ ’
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะเห็นความผิดพลาดของคังวูจิน มีเพียงอาซามิ ซายะที่แอบเป็นกังวลแทนเขา
‘ฉันหวังว่าเขาจะไม่กดดันตัวเองมากเกินไปนะ’
ในขณะนั้นเอง บนจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ที่ฉาย ‘เพื่อนชาย: รีเมค’ ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มสวมแว่นตาขนาดใหญ่โตจนน่าขัน ผมเผ้ารุงรังกำลังยันตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างสะลึมสะลือ เขาคือตัวเอกของเรื่อง เซนโกคุ โทโอรุ ฉากนี้เป็นช่วงก่อนบทพูดแรกของเขาจะเริ่มต้นขึ้น
คังวูจินมองจออย่างนิ่งเฉย ก่อนเอ่ยขึ้นแทบจะในทันที
“ฮ่า...น่าเบื่อ ความเงียบสงบแบบนี้มันช่างวิเศษ หรือจริง ๆ แล้วห้องของฉันนี่แหละสวรรค์”
ริมฝีปากของตัวละครที่ขยับพะงาบ ๆ ประสานเข้ากับเสียงของวูจินได้อย่างแนบเนียน ไร้ที่ติ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก เพราะคังวูจินเคยใช้ชีวิตอยู่ในโลกของ ‘เพื่อนชาย: รีเมค’ บนจอยักษ์นั้นมาก่อน และบัดนี้เขากำลังดึงเอา ‘เซนโกคุ โทโอรุ’ ที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวตนออกมา
บทพูดต่อจากนั้นก็เช่นเดียวกัน
จังหวะการขยับปาก การเว้นจังหวะ อารมณ์ และน้ำเสียงที่ใช้ในแต่ละสถานการณ์ ทุกอย่างไหลลื่นอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย จนกระทั่งผู้กำกับที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งต้องมองวูจินด้วยความพิศวง
‘การเข้าบทพูดแรกได้อย่างราบรื่นขนาดนี้...เราเพิ่งเคยเห็น นี่เป็นนักพากย์ครั้งแรกจริงเหรอ?’
ไม่นาน สายตาของนักพากย์อีกหลายสิบคู่ก็จับจ้องมาที่คังวูจิน ด้วยความรู้สึกที่เกินกว่าความงุนงง แทบจะเรียกว่าสิ้นหวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
‘...เอ๊ะ? เอ๋...เอ๋?!’
นัตสึมิ อูมิ นางเอกของเรื่องเผลอใช้มือปิดปากโดยไม่รู้ตัว
‘โกหกน่า! ผู้ชายหน้าตายคนนั้นพากย์ได้ยอดเยี่ยมสุด ๆ ไปเลยนี่!’
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_