ตอนที่แล้วบทที่ 275 : ตลอดกาล (6)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 277 : ตลอดกาล (8)

บทที่ 276 : ตลอดกาล (7)


[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]

บทที่ 276 : ตลอดกาล (7)

อิโยตะ คิโยชิใช้ภาษามือ ภาพนั้นถูกบันทึกไว้ในกล้องอย่างชัดเจน แต่ช่างภาพที่ทำหน้าที่บันทึกภาพกลับมีสีหน้าตกตะลึง

'ภาษามืออย่างนั้นเหรอ?'

ไม่ว่าจะเป็นต้นฉบับ “บุปผาเร้น” ที่เขียนโดยนักเขียนอาคาริ หรือบทภาพยนตร์ที่ดัดแปลงโดยผู้กำกับเคียวทาโร่ ก็ไม่มีการกำหนดให้คิโยชิใช้ภาษามือเลย

'เรื่องแบบนี้คาดไม่ถึงจริง ๆ คิโยชิใช้ภาษามือได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?'

สำหรับช่างภาพแล้ว นี่คือภาพที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง เป็นการแหวกทุกความธรรมดา ไม่ใช่แค่ช่างภาพเท่านั้น ทุกคนในกองถ่ายกว่าสองร้อยคนที่อยู่ในฉากกว้างใหญ่แห่งนี้ก็คิดเช่นเดียวกัน

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าคิโยชิจะใช้ภาษามือได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภาษามือที่วูจินกำลังใช้อยู่นั้นไม่ใช่ภาษามือเกาหลี แต่เป็นภาษามือญี่ปุ่นอย่างชัดเจน เพียงแต่มีน้อยคนนักที่จะสังเกตเห็นได้ ทุกคนเพียงแต่รับรู้ว่าคิโยชิใช้ภาษามือได้เท่านั้น

ผู้กำกับเคียวทาโร่เบิกตากว้าง มองคังวูจินที่ยืนอยู่ในฉากคฤหาสน์ มองอิโยตะ คิโยชิ สีหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“เป็นการกระทำที่พลิกความธรรมดาของตัวละครได้อย่างเหลือเชื่อ…”

จากความตกตะลึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความยินดี รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขา

ผู้กำกับเคียวทาโร่คิด 'การตีความที่พลิกความคาดหมายเช่นนี้… คงมีแต่คุณวูจินที่ทำสิ่งเหนือความคาดหมายแบบนี้ได้เท่านั้น มันคืออาวุธ ราวกับอาวุธที่คมกริบไม่มีผิดเลย'

ขนลุกซู่ขึ้นที่ต้นแขนและลำคอของผู้กำกับเคียวทาโร่ ส่วนโมจิโอะ หรือมานะ โคซะกุที่กำลังจ้องมองวูจินอยู่ตรงหน้า

“…”

เขาก็เช่นกัน พูดไม่ออกเสียแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสงบนิ่ง แล้วจู่โจมคิโยชิทันทีที่การแสดงอิสระเริ่มต้นขึ้น ทว่าพานพบกับภาษามือเข้าเท่านั้น สมองก็พลันว่างเปล่า ราวกับแผ่นกระดาษขาว

ในทางกลับกัน

-กึก

คังวูจินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับขยับมือทั้งสองอีกครั้ง ท่าทางซื่อ ๆ นั้นแฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาที่แปลกประหลาด

[“อย่างที่ผมคาดไว้ คุณคงจะงงสินะครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะไม่รู้ภาษามือ”]

“······อ่า-”

[“ครับ ผมรู้ว่าคุณตำรวจจะมา ผมถึงขั้นรอคุณเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำให้สำเร็จ”]

ใบหน้าของคิโยชิดูเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ถ้อยคำที่เขาสื่อสารผ่านภาษามือนั้นกลับแฝงไปด้วยความยียวนกวนประสาท ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ปรากฏอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขายังคงเป็นคิโยชิ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ อิโยตะ คิโยชิ ที่กำลังสวมบทบาท ‘คนแปลกหน้า’ อยู่นั่นเอง

สิ่งที่คังวูจินดึงขึ้นมาด้วย ‘การสังเคราะห์บทบาท’ ในขณะนี้คือ

[“สถานการณ์ตอนนี้น่าสนใจดีนะครับ”]

‘ชายลึกลับข้างบ้าน’ จาก ‘รักน้ำค้างแข็ง’ ผสมผสานกับความสามารถในการใช้ภาษามือญี่ปุ่น โดยมีคิโยชิเป็นภาชนะรองรับ แม้กรอบของ ‘บุปผาเร้น’ จะแตกสลายไปแล้ว แต่แก่นแท้ของคิโยชิยังคงดำรงอยู่ ทุกอย่างหลอมรวมกัน ก่อกำเนิดพลังอันมหาศาล

[“ผมกำลังสารภาพอยู่แท้ ๆ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับเมื่อก่อน ตอนที่เด็กคนนั้นโดดลงไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน”]

ความคิดที่แข็งค้างของทีมงานกว่าร้อยชีวิต รวมถึงผู้บริหารจากบริษัทภาพยนตร์และผู้จัดจำหน่าย เริ่มคลายตัวลงทีละน้อย

พวกเขาต่างพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ

‘โหว โหวว- ภาษามือเหรอ?’

‘คิโยชิพูดภาษามือได้ด้วย- พระเจ้า’

ความตกตะลึงแล่นริ้วผ่านความคิด 'เหลือเชื่อ! พลิกล็อกขนาดนี้ ไม่เคยเจออะไรชวนผวาเท่าวันนี้มาก่อนเลย!'

ตามมาด้วยความฉงน 'ใครเลยจะคาดคิดฉากแบบนี้ได้ ไม่มีแม้แต่สักคนในกองถ่ายนี้!'

คังวูจินเล่นงานพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับเหวี่ยงตะบองฟาดกลางกระหม่อม

“มหัศจรรย์มาก พวกเราคงประเมินเขาต่ำไปล่ะมั้ง”

“เงียบไว้ แค่ดูก็พอแล้ว ฉากนี้มันช่าง...อัจฉริยะเกินไปแล้ว!”

ทีมงานบางคนอ้าปากค้าง บางคนยกมือขึ้นปิดปาก ส่วนบางคนเบิกตากว้าง ราวกับต้องมนตร์สะกด

ในกลุ่มนั้น ทีมเขียนบทที่ยืนล้อมผู้กำกับเคียวทาโร่อยู่พึมพำแผ่วเบา

“ภาษามือ...เขาพูดว่าอะไรกันนะ?”

ไม่มีใครในกองถ่ายรู้ เว้นเสียแต่เพียงคนเดียว

ประธานฮิเดกิ โยชิมุระ เขาเข้าใจทุกถ้อยความที่สื่อสารผ่านนิ้วมือเหล่านั้น

'ฮ่าๆ ๆ นักแสดงคนนี้ช่างเหนือความคาดหมาย! คิโยชิในตอนนี้ ภายนอกและภายในช่างแตกต่าง เขากำลังสารภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ตบตา ทั้งนักแสดงร่วมและคนในกองถ่ายกว่าสองร้อยชีวิต!'

แน่นอนว่ามันคือการแสดงซ้อนแสดง แต่โยชิมุระก็รู้สึกตื่นเต้นจนขนลุกซู่

ในที่สุด โมจิโอะ ก็ได้สติกลับคืนมา

“เดี๋ยวก่อนครับ อิโยตะ คิโยชิ”

วูจิน หรือ คิโยชิ ลดมือลง เอียงคอเล็กน้อย ท่าทางนั้นทำให้โมจิโอะ หรือ มานะ โคซะกุ รู้สึกราวกับถูกสะกดจิต

'โจมตี? โจมตีบ้าอะไร?'

นั่นไม่ใช่การโจมตี แต่มันคือความว่างเปล่า เขาคำนวณทุกอย่างไว้ก่อนการแสดง แต่กลับมองข้ามช่องว่างในการสนทนา ความเงียบที่คิโยชิแสดงออกมาก่อนหน้านี้ยังดีกว่าร้อยเท่าพันทวี

ความตื่นตระหนกของโมจิโอะ ถูกบันทึกไว้ในกล้องอย่างชัดเจน

เป็นเรื่องจริง และเป็นการแสดงที่แฝงเร้นอยู่ในความจริงนั้น

การแสดงที่ขัดแย้งกันของนักแสดงทั้งสอง ทำให้ฉากนั้นเปี่ยมไปด้วยพลัง เสมือนมีชีวิตชีวาเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ แม้จะเป็นการแสดงที่อิสระ ไร้กรอบ แต่กลับแนบเนียนราวกับความจริง จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ฉากที่ถ่ายทำออกมานั้นช่างแปลกใหม่และเร้าใจ พวกเขาสนทนากัน แต่กลับราวกับต่างคนต่างจมอยู่ในโลกของตนเอง ไม่อาจเข้าใจกันและกันได้

ในระหว่างนั้น นักเขียนอาคาริลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว

หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับกลองรบ

ในวินาทีที่คิโยชิเริ่มสื่อสารด้วยภาษามือ เธอแทบอยากจะปรบมือให้ ‘จนแทบมือระบม!’ ความคิดของนักแสดงคนนี้ช่างยืดหยุ่นเหลือเกิน!

‘เป็นเพราะเขาเชี่ยวชาญภาษามือนี่เอง’

นักเขียนอาคาริรู้ดีว่าคังวูจินใช้ภาษามือได้อย่างคล่องแคล่ว นอกเหนือจากภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เธอเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในจังหวะเช่นนี้ และสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงยิ่งกว่า คือการแสดงของอีกฝ่าย

‘นี่มันบุคลิกกี่แบบกันแน่?’

คิโยชิกำลังแสดงซ้อนแสดง สวมบทบาทภายในบทบาท ขณะที่ใช้ภาษามือ บุคลิกเหล่านั้นกลับเด่นชัดและพร่าเลือนในคราวเดียวกัน เหมือนเป็นคิโยชิ แต่ก็เหมือนมีใครอีกคนแฝงเร้นอยู่ภายใน ราวกับภาพวาดสีน้ำที่ซ้อนทับกันจนเกิดเป็นสีสันใหม่ที่คลุมเครือ มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะแสดงได้อย่างลึกลับซับซ้อนเช่นนี้ ลื่นไหลข้ามเส้นแบ่งระหว่างตัวละครได้อย่างแนบเนียน

‘ไม่เข้าใจเลย······มันต่างชั้นกันเกินไป’

นักเขียนอาคาริค่อย ๆ หันศีรษะไปทางซ้าย เธอเห็นผู้กำกับเคียวทาโร่ที่แทบจะแนบหน้าเข้ากับจอมอนิเตอร์

‘การตัดสินใจมอบฉากนี้ให้นักแสดงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้ว’

ฉากนี้เป็นฉากช่วงท้ายเรื่อง นักเขียนอาคาริจินตนาการถึงผู้ชมที่เฝ้าติดตามอิโยตะ คิโยชิมาตลอด

‘ถ้าพวกเขาได้เห็นฉากที่ฉันเห็นอยู่นี้ พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรกันนะ?’

เวลานั้นคังวูจินขยับตัว

เสียงผ้าเสียดสีเบา ๆ ดังขึ้น

เขายกมือขวาขึ้น ชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตของสารวัตรโมจิโอะ เลนส์กล้องสองตัวจับภาพท่าทางนั้นไว้ได้อย่างชัดเจน ไม่นานนัก รอยย่นเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วของสารวัตรโมจิโอะ เขาดึงสมุดโน้ตเล่มเล็กพร้อมปากกาที่เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมา ก่อนจะยื่นส่งให้คิโยชิด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิโยชิพยักหน้ารับอย่างสุภาพ

ปากกาและสมุดโน้ตถูกส่งต่อมาถึงมือคิโยชิ

คิโยชิเปิดสมุดโน้ตไปยังหน้าท้าย ๆ ปลายปากกาโลดแล่นบนกระดาษบันทึกความนัยบางอย่างลงไป ก่อนจะยื่นกลับไปให้สารวัตรโมจิโอะพิจารณา

‘ขออภัยด้วยครับ แต่ผมสามารถสนทนาผ่านการเขียนได้ คุณสารวัตรพูดออกมาได้เลยครับ ผมสามารถอ่านปากได้ แต่ขอให้พูดช้า ๆ หน่อยนะครับ’

สารวัตรโมจิโอะสบตากับวูจินครู่หนึ่ง ความครุ่นคิดฉายชัดในแววตา ภาษามือที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้น หาใช่ท่าทางลวก ๆ ของมือสมัครเล่นไม่ ราวกับว่าสมองของโคซากุ ดาราดังระดับแนวหน้า ถูกแทนที่ด้วยสารวัตรโมจิโอะไปแล้ว

ความฉงนงุนงงก่อตัวขึ้นในใจ

คิโยชิ เขาเป็นใบ้มาตั้งแต่กำเนิดอย่างนั้นเหรอ?

เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยมีใครกล่าวถึงในกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นมาก่อน หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดง? แต่ภาษามือที่เขาใช้เมื่อครู่นั้นบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญ ตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่? ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร?

ความสับสนวุ่นวายรุมเร้า

ความมั่นใจของโมจิโอะเริ่มสั่นคลอน

“······อิโยตะ คิโยชิ คุณจำมิซากิ โทกะได้หรือเปล่า?”

‘ผมรู้จักครับ เธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม’

ความมุ่งมั่นของโมจิโอะถูกกัดกร่อนด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ราวกับผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวเมื่อถูกก้อนหินกระทบ หากใครได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ข้อมูลสำคัญที่พลิกผันสถานการณ์เพิ่งปรากฏขึ้น และนั่นหมายความว่าสารวัตรโมจิโอะต้องเริ่มต้นการสืบสวนใหม่ทั้งหมด

คิโยชิ หรือก็คือคังวูจิน รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ นั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกใช้ภาษามือในสถานการณ์คับขันเช่นนี้

ความแปลกประหลาดของคิโยชิยิ่งฉายชัดในสายตาโมจิโอะ

‘เพื่อจะตามหาตัวผม คุณเลยต้องย้อนเวลากลับไปสำรวจอดีตของผมสินะ’

โมจิโอะเดินทางตามหาคิโยชิเพียงลำพัง เหตุผลคงเรียบง่าย เพียงเพราะอดีตของคิโยชิเลือนรางราวกับภาพฝัน แน่นอนว่าหากสืบค้นอย่างจริงจัง อดีตที่พร่ามัวนั้นอาจจะกระจ่างชัดขึ้นได้บ้าง

แต่ก็คงเพียงเท่านั้น

คิโยชิตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นับตั้งแต่โทกะอุทิศตน เขาจะกลายเป็น ‘คนแปลกหน้า’ สำหรับโลกใบนี้ เป็นคนที่ไม่มีใครจดจำได้ เหมือนถูกม่านหมอกแห่งความเลือนลางปกคลุมตัวตนเอาไว้

นั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกเส้นทางการต่อสู้อันยาวนาน

หมายความว่าต่อให้พยายามสืบเสาะอย่างไร ความจริงก็ยังคงเลือนราง ไม่เพียงพอที่จะไขปริศนา ยิ่งความทรงจำของมนุษย์นั้นแปรปรวน เก็บรักษาไว้เพียงเท่าที่ใจปรารถนา แถมยังปรุงแต่งเติมสีสันตามอำเภอใจ ในขณะที่ตัวตนของคิโยชิไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาผู้ใด

ผลลัพธ์ก็คือ คิโยชิกลายเป็น ‘คนแปลกหน้า’ อย่างสมบูรณ์แบบ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ท่ามกลางม่านควันแห่งความลึกลับ

แล้วสิ่งใดคือความจริงแท้? รูปลักษณ์ของอิโยตะ คิโยชิที่โมจิโอะกำลังเห็นอยู่ ณ ขณะนี้? หรือคำบอกเล่าจากเพื่อนร่วมชั้นที่ความทรงจำเลือนรางเต็มทีกับอดีตกาลอันไกลโพ้น? หรือการคาดเดาที่ผสมปนเปกันระหว่างสองสิ่งนี้?

‘ไม่มีหรอก สิ่งที่เรียกว่าความจริงแท้’

โมจิโอะคือตำรวจผู้ยึดมั่นใน ‘ความแน่นอน’ ในขณะที่คิโยชิเปรียบเสมือนหมอกควัน คังวูจินสร้างความสับสนให้กับทั้งโมจิโอะและผู้ที่เฝ้ามองอยู่

‘ภาษามือ’ นั้นหาใช่ประเด็นสำคัญไม่

หัวใจสำคัญอยู่ที่ ‘ความสงสัย’

คิโยชิเป็นบุคคลที่ไม่อาจตัดสินได้ ไม่ว่าจะด้วยมาตรฐานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นโมจิโอะผู้เป็นตำรวจหรือนักแสดงคนอื่น ๆ ก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบเขาต้องดูแปลกหน้า น่าสับสน และน่าประหลาด

และต้องดูน่าขนลุกด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์การเสียชีวิตมากมายเหล่านี้ ก็ไม่มีพยานที่จะชี้ตัวเขาได้ เพราะทุกคนตายหมดแล้ว หลักฐานก็ไม่มี มีเพียงแต่คิโยชิที่เป็นผู้ส่งมอบหลักฐานที่ชัดเจนให้เสียเอง ถึงกระนั้น คิโยชิก็ยังคงเป็นปริศนา

ภาพลักษณ์ของคนแปลกหน้าที่น่าขนลุก นั่นแหละคือ อิโยตะ คิโยชิ

'นั่นคือสิ่งที่วูจินคิด'

ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกใบนี้ มีเพียงคังวูจินเท่านั้นที่ได้ใช้ชีวิตในโลกของอิโยตะ คิโยชิ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ หรืออาจจะผิดก็ได้ แต่การลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา

ในที่สุด

“······”

โมจิโอะอ้าปากจะพูด แต่แล้วก็ปิดปากลง เกาหัวอย่างแรง

จากนั้น

“ขออภัยครับ”

โมจิโอะรับสมุดจากคิโยชิ พร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อย

“ผมจะกลับมาใหม่ครับ”

ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไร โมจิโอะก็เสียเปรียบไปหมด บางทีเขาอาจจะคิดว่าทั้งหมดนี้มันมีประโยชน์อะไรกัน เพราะเหมือนกับที่สืบมาทั้งหมดมันไร้ค่าทั้งสิ้น

ต่อมา คังวูจินพยักหน้าช้า ๆ แล้วจึงยกมือทั้งสองขึ้นอีกครั้ง ภาษามือนั้นหมายถึง 'ลาก่อน' งั้นหรือ?

ภาษามือสั้น ๆ สุดท้ายของวูจิน

“······งั้น ไว้พบกันใหม่ครับ”

คือสิ่งโมจิโอะจำได้

หลังจากนั้นเอง

เสียง “คัท” ของผู้กำกับเคียวทาโร่ดังก้องไปทั่วทั้งกองถ่าย จากนั้น ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็วิ่งไปหาคังวูจิน เพื่อถามความหมายของภาษามือที่แทรกอยู่ในฉาก

คังวูจินสลัดคราบของคิโยชิออกไปอย่างรวดเร็ว

“เริ่มต้นด้วย ‘ขออภัยครับ ผมได้ยินที่คุณตำรวจพูดไม่ชัด’ ครับ” คังวูจินเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ อธิบายความหมายของภาษามือที่เขาเลือกใช้ พร้อมแจกแจงเหตุผลเบื้องหลังให้ผู้กำกับเคียวทาโร่ฟังอย่างละเอียด

ผลปรากฏว่า

“เอาแบบนี้แหละ” ผู้กำกับเคียวทาโร่พยักหน้าเห็นด้วยกับการแสดงของคังวูจิน แน่นอนว่าไม่มีใครแม้แต่นักเขียนอาคาริคัดค้าน ทุกคนต่างคาดหวังให้ผู้ชม “บุปผาเร้น” ได้สัมผัสกับฉากพลิกผันอันน่าตื่นตะลึงนี้เช่นกัน

ความเงียบสงัดโรยตัวลงปกคลุมกองถ่าย

ทุกสายตาจับจ้องมาที่คังวูจินราวกับต้องมนตร์ ผู้กำกับเคียวทาโร่จึงเอ่ยถามวูจินอีกครั้ง

“อ่า แล้วภาษามือตอนท้ายนั่นสื่อถึงอะไรเหรอครับ?”

ทันทีที่คังวูจินเฉลยความหมาย ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ชะงักงันไปราวกับถูกสาป สิบวินาทีแห่งความเงียบผ่านไป ก่อนที่ประกายความคิดจะแล่นวาบเข้ามาในหัว ไอเดียใหม่ถือกำเนิดขึ้นในฉับพลัน

“เยี่ยม! งั้นเราเพิ่มฉากภาษามือนั่นเข้าไปก่อนฉากจบ เดี๋ยวมานะ โคซากุ คุยกันหน่อย” เขาหมายถึงการเพิ่มฉากของโมจิโอะเข้าไปเล็กน้อยก่อนบทสรุปของ “บุปผาเร้น” ซึ่งแน่นอนว่าเป็นฉากที่ต่อยอดมาจากภาษามือของคังวูจิน

“เริ่มถ่าย!”

เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ กองถ่ายก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ฉากภาษามือถูกถ่ายทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงสี่ครั้ง และยังมีการขอถ่ายซ่อมอีกหลายรอบ เนื่องจากเป็นฉากสำคัญที่ไม่อาจปล่อยผ่านได้

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงบ่ายต้น ๆ สถานที่ถ่ายทำก็เปลี่ยนไป คิวของคังวูจินสิ้นสุดลง ฉากภายในสถานีตำรวจจึงเริ่มต้นขึ้น โดยมีนักแสดงสมทบหลายคน รวมถึงมานะ โคซากุ ซึ่งรับบทเป็นตัวละครหลักปรากฏตัว

ฉากนี้ ผู้กำกับเคียวทาโร่คิดขึ้นได้ในทันที โชคดีที่ฉากสถานีตำรวจถูกสร้างไว้พร้อมสรรพ จึงไม่มีปัญหาใด ๆ

สองสัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่สารวัตรโมจิโอะได้พบกับคิโยชิ แม้ความวุ่นวายจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องยังคงปกคลุมญี่ปุ่น แต่ทางตำรวจก็ได้ปิดคดีลงแล้ว ส่งผลให้สถานีตำรวจที่สารวัตรโมจิโอะประจำการกลับมาคึกคักด้วยคดีอื่น ๆ อีกครั้ง

โลกใบนี้เต็มไปด้วยคดีมากมาย แน่นอนว่าสารวัตรโมจิโอะย่อมได้รับมอบหมายคดีอื่น ๆ เช่นกัน

สารวัตรโมจิโอะทรุดตัวลงบนเก้าอี้พลางถอนหายใจยาวเหยียด

“เฮ้อ...เหนื่อยจริง ๆ”

ทันใดนั้น

“หืม?”

ขณะที่สารวัตรโมจิโอะกำลังยืดเส้นยืดสาย สายตาก็เหลือบไปเห็นตำรวจรุ่นน้องกำลังสอบปากคำพยานอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาคือพยานคนหนึ่งกำลังใช้ภาษามือ พร้อมกับล่ามที่คอยแปลภาษาอยู่เคียงข้าง

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง

“อ้อ”

ภาพของอิโยตะ คิโยชิที่ใช้ภาษามือผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของสารวัตรโมจิโอะ แท้จริงแล้ว สิ่งที่เขายังจำได้แม่นยำคือภาษามือสุดท้ายของคิโยชิ หรือบางทีอาจเป็นคำกล่าวลา เขาแทบจำเรื่องราวอื่น ๆ ไม่ได้เลย มีเพียงภาพนั้นที่ยังคงแจ่มชัด

-กึก

เขาลุกขึ้นย่างสามขุมตรงไปยังล่ามภาษามือ

“ขอโทษนะครับ รู้ความหมายของภาษามือนี้บ้างไหมครับ?”

สารวัตรโมจิโอะขยับมือทั้งสองข้าง พยายามเลียนแบบภาษามือที่เขาจำได้ ส่วนล่ามภาษามือมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย มองสารวัตรโมจิโอะ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาคาง

“ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าน่าจะแปลว่า ‘ฉันจะกลับไปใช้ชีวิตปกติแล้ว’ อะไรทำนองนี้ค่ะ”

“······”

สารวัตรโมจิโอะขมวดคิ้วเล็กน้อย

ภาษามือสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นคำกล่าวลาของคิโยชิ ความหมายที่แท้จริงก็น่าจะเป็นเช่นนี้จริง ๆ

-‘ฉันจะกลับไปใช้ชีวิตปกติแล้ว’

เสียงหัวเราะหึ ๆ หลุดรอดออกมาจากลำคอของโมจิโอะโดยไม่รู้ตัว

“ฮ่าฮ่า อย่างนี้นี่เอง”

สิ่งที่สะกิดใจโมจิโอะในคำพูดนั้นคือคำว่า ‘กลับไปใช้ชีวิตปกติ’ มันทั้งคล้ายจะเป็นคำตอบ ทว่ากลับยิ่งสร้างปริศนา ไม่แน่ใจว่าหมายถึงการใช้ชีวิตต่อไปตามปกติหลังจากจบสิ้นสัมพันธ์ หรือหมายถึงการย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นหลังจากเวลาเนิ่นนานแสนนาน

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจหยั่งรู้

-สึบ!

โมจิโอะดึงสมุดบันทึกออกมา ฉีกหน้ากระดาษที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับคิโยชิออกอย่างไม่ลังเล ก่อนจะขย้ำมันจนยู่ยี่แล้วโยนลงถังขยะ นั่นคือห้วงขณะที่โมจิโอะตอกย้ำกับตัวเองว่าอิโยตะ คิโยชิคือ ‘คนแปลกหน้า’ และเอ่ยกับตำรวจรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ถ้าใกล้เสร็จแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะ”

ยามราตรีมาเยือน

ทีมงาน “บุปผาเร้น” ที่ถ่ายทำกันมาตลอดทั้งวัน กำลังมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟใต้ดินใกล้เคียง เนื่องจากเป็นการถ่ายทำนอกสถานที่ในช่วงเวลาดึกสงัด จึงไร้ผู้โดยสารอื่นใด และทางกองถ่ายก็ได้ประสานงานกับบริษัทรถไฟใต้ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ต้องถ่ายให้เร็วที่สุดแล้วรีบออกนะครับ!!”

“เตรียมนักแสดงประกอบให้พร้อมก่อนเลยครับ!”

“แสงไม่พอครับ! ผู้กำกับสั่งให้เพิ่มแสงครับ!!”

อุปกรณ์ถ่ายทำของ “บุปผาเร้น” ถูกจัดวางอย่างรวดเร็วภายในสถานีรถไฟใต้ดิน นักแสดงประกอบชายหญิงที่ถูกเรียกตัวก็เข้าประจำตำแหน่งอย่างพร้อมเพรียง จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ดูคร่าว ๆ ก็น่าจะเกินห้าสิบคน

สิ่งที่ดูแปลกตาคือ

“ทุกคนลองสวมสูทดูนะครับ!”

ทุกคนต่างสวมสูทสีดำหรือสีกรมท่า แม้จะเป็นเวลากลางคืนตามเวลาจริง แต่ด้วยการจัดแสงและเทคนิคต่าง ๆ ฉากนี้จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นช่วงเช้าที่ผู้คนกำลังเดินทางไปทำงาน กล้องที่ติดตั้งไว้ก็มีจำนวนมาก ทั้งบนเพดาน ด้านหลัง ด้านหน้า รวมแล้วไม่ต่ำกว่าเจ็ดตัว

จากนั้น

“เตรียมพร้อม!!”

ทันทีที่ผู้ช่วยผู้กำกับเปล่งเสียง นักแสดงประกอบหลายสิบคนก็เข้าแถวหน้าขบวนรถไฟที่จอดรออยู่ และในระหว่างนั้นเอง

“คังวูจิน เข้าฉากครับ!!”

คังวูจินในชุดสูทเรียบหรูกลืนไปกับผู้คนรอบข้าง แว่นตากรอบบางปิดบังแววตา ขณะสะพายกระเป๋าเดินเข้าฉาก ท่ามกลางฝูงชนที่แออัด เขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น

“······”

ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเด่นชัดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดราวกับม่านหมอกแห่งความเย็นชาแผ่ซ่านออกมาจากตัวคิโยชิ กล้องที่จัดเตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะเล็งมาที่ใบหน้าคมคาย

ไม่นานนัก

“เตรียมตัวนะครับ-”

เสียงตะโกนของผู้กำกับเคียวทาโร่ดังก้องผ่านโทรโข่ง

“เริ่มถ่าย! แอ็กชัน!”

กลุ่มคนนับสิบที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น รวมถึงคังวูจินที่ดูคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ พากันกรูเข้าไปในรถราง ฉากนี้ถูกถ่ายทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง

“คัทๆ ๆ ๆ! โอเค!”

หลังจากถ่ายทำไปห้าครั้ง เหล่าตัวประกอบและคังวูจินรอคอยอยู่ในรถราง เสียงของเคียวทาโร่ดังขึ้นอีกครั้งจากหน้าจอมอนิเตอร์

“แอ็กชัน!!”

ทันทีที่สิ้นเสียงสั่ง ฝูงชนมากมายก็ทะลักลงมาจากรถราง คังวูจินไหลไปตามกระแสฝูงชนนั้นราวกับหยดน้ำในมหาสมุทร ไม่มีใครสนใจหรือปริปากพูดคุยกัน ต่างเคลื่อนไหวไปราวกับหุ่นยนต์ในชุดสูทสีดำสนิท

สีหน้าของวูจิน หรือก็คือคิโยชิ ซีดเซียวไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

ทว่ายังคงมีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ว่าเขายังไม่จมดิ่งลงสู่ห้วงความว่างเปล่าเสียทีเดียว เป้าหมายและจุดมุ่งหมายที่เลือนรางยังคงปรากฏอยู่ในแววตา ขณะที่เขาเคลื่อนไหวไปกับฝูงชนมหาศาลนั้น ทันใดนั้น

-กึก

เมื่อกลุ่มตัวประกอบเริ่มทยอยขึ้นบันได เขาก็เริ่มชะลอฝีเท้าลง จนหยุดนิ่งอยู่กลางบันได ท่ามกลางฝูงชนในชุดสูทที่ยังคงไหลบ่าขึ้นไปโดยไม่สนใจใยดี บางครั้งก็ชนไหล่เขาขณะเดินผ่านไป

ไม่มีใครแม้แต่จะหันกลับมามองคังวูจิน

กล้องที่ติดตั้งอยู่บนเครนขนาดเล็กเคลื่อนเข้าหาท้ายทอยของวูจินอย่างเชื่องช้า

และแล้ว

“······”

คังวูจินผู้มีสีหน้าเรียบเฉยหันกลับมามอง จ้องมองกล้องที่ฉายภาพของตนเองอย่างเงียบงัน กล้องค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าคมคายของเขา ในชั่วพริบตานั้นเอง อารมณ์มากมายก็ปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟที่คุกรุ่นมานาน ความแห้งแล้งเยือกเย็นแบบอิโยตะ คิโยชิยังคงปรากฏอยู่ แต่ก็มีประกายชีวิตอันลึกลับแทรกซึมเข้ามา เปลี่ยนความเงียบงันให้กลายเป็นความลุ่มลึกน่าค้นหา

การเติบโตทางอารมณ์เปรียบเสมือนเชื้อไฟที่จุดติดในชีวิตใหม่ของเขา เปลี่ยนผืนทรายแห้งแล้งให้กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี

เขามองกล้อง หรือแท้จริงแล้วกำลังสื่อสารกับผู้ชม หรือ ‘คนแปลกหน้า’ ที่เฝ้ามองเขาอยู่เบื้องหลังเลนส์

‘ฉันจะใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป’

ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมราวกับม่านหมอกหนา นานถึง 10 วินาที ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น

“······คัท”

ผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิลุกขึ้นยืน เอ่ยกับวูจินที่ยืนอยู่บนบันไดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่าทางสุขุม

“OK”

นี่แหละคือสัญญาณและฉากจบสุดท้ายของ ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’

-จบ-

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด