บทที่ 273 : ตลอดกาล (4)
[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]
[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]
[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ อยากขอให้ทุกคนสนับสนุนไปจนจนนะครับ ส่วนคนที่สนับสนุนแล้ว ก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมาครับ]
บทที่ 273 : ตลอดกาล (4)
กล้องจับภาพใบหน้าเรียบเฉยของคิโยชิจากด้านข้างไปยังด้านหน้า
“······”
คังวูจินหรือก็คือคิโยชินั่นเอง ก้มมองร่างไร้วิญญาณของสึสึกิ อิตสึมะ อย่างเงียบงัน ก่อนจะล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันคือเครื่องบันทึกเสียง ไม่ใช่แค่เครื่องเดียว แต่มีหลายเครื่อง วูจินจ้องมองเครื่องบันทึกเสียงเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง
แม้สีหน้าจะเรียบเฉย แต่แววตาของเขากลับสั่นไหวระริก ภายในจิตใจของคังวูจินที่ตอนนี้เต็มไปด้วย “อิโยตะ คิโยชิ” ความรู้สึกบางอย่างกำลังก่อรูป มันคล้ายคลึงกับความปั่นป่วน แต่กลับยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด วูจินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงดาวระยิบระยับพร่างพราวบนผืนกำมะหยี่สีดำสนิท
ในยามปกติ ทิวทัศน์เช่นนี้คงเป็นภาพที่คุ้นชิน
วันนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
แต่เหตุใดราตรีนี้จึงงดงามจับใจเช่นนี้เล่า
วูจินพยายามเมินเฉยความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วอก เขาสามารถเก็บงำมันไว้ได้ เพราะมันช่างน้อยนิดเหลือเกิน วูจินลดสายตาลงจากท้องฟ้า ริมฝีปากที่ไร้ความรู้สึกขยับเล็กน้อย
“รู้สึกแปลก ๆ นะ”
แววตาของเขาเริ่มแห้งผาก เขาจงใจลบเลือนอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ความสั่นไหวที่เอ่อล้นเมื่อครู่ค่อย ๆ จางหายไป กล้องบันทึกภาพการเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ทีมงานรอบตัวผู้กำกับเคียวทาโร่พากันอ้าปากค้าง บางคนยกมือขึ้นปิดปาก แต่ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา
“······”
“······”
ไม่สิ พวกเขาพูดไม่ออกต่างหาก การแสดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ทำให้ละสายตาไปไม่ได้เลย การแสดงงั้นเหรอ? ใช่ มันคือการแสดง แต่การแสดงของเขากลับทรงพลังและละเอียดอ่อนกว่าใคร ราวกับสามารถควบคุมทุกสัดส่วนในร่างกายได้อย่างใจนึก
-ตุบ
คังวูจินปล่อยเครื่องบันทึกเสียงในมือลงบนร่างที่เย็นเยียบของสึสึกิ อิตสึมะ เครื่องบันทึกเสียงกระแทกเข้ากับศีรษะ ก่อนจะกระดอนไปตกอยู่บนหน้าท้องและต้นขา
แน่นอนว่าครั้งนี้คิโยชิก็ไม่ได้ลงมือสังหารเขาด้วยตัวเอง
เขาปลิดชีพตัวเอง
คิโยชิเพียงแต่บงการอยู่เบื้องหลังเท่านั้น เขาใช้สึสึกิ อิตสึมะเป็นเครื่องมือในการกำจัดเจ้าของคาราโอเกะ โฮริโนจิ อามิเอะ และอิยะ ซากิ ขณะเดียวกันคิโยชิก็รวบรวมหลักฐานไว้เงียบ ๆ ทั้งภาพถ่ายเหตุการณ์ฆาตกรรมและบันทึกเสียง ซึ่งล้วนเป็นหลักฐานมัดตัวแน่นหนา หากตกไปอยู่ในมือตำรวจ อิตสึมะจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรอย่างไม่ต้องสงสัย
คิโยชิใช้หลักฐานเหล่านั้นกดดันสึสึกิ อิตสึมะ
"การฆาตกรรมที่แกคิดว่ามันแนบเนียนนั้น ตอนนี้อยู่ในมือฉันหมดแล้ว น่าเสียดาย ฉันไม่ชอบแก ฉันจะให้เวลาแกสะสางตัวเอง 3 วัน หลังจากนั้น ฉันจะส่งมอบหลักฐานทั้งหมดนี้ให้ตำรวจ จัดการตัวเองให้ดีล่ะ"
น้ำเสียงของคิโยชิเยือกเย็นจนน่าขนลุก
สึสึกิ อิตสึมะถูกต้อนจนมุม
เวลาที่เหลืออยู่เพียง 3 วัน ความกดดันถาโถมเข้ามาทุกวินาทีราวกับคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
ไม่ใช่ความรู้สึกผิดจากการก่อเหตุฆาตกรรม หรือความหวาดกลัวต่อการถูกลงโทษ หากแต่เป็นความกระวนกระวายต่อการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง อิตสึมะ หนึ่งใน 'การบ้าน' ของเขา เป็นทายาทของเจ้าของกิจการขนาดกลาง หากทุกอย่างยังคงเป็นเช่นนี้ อนาคตของเขาย่อมสดใสไร้กังวล ทว่ายิ่งมีมากเท่าใด การสูญเสียก็ยิ่งใหญ่หลวงเท่านั้น
ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง อำนาจ บารมี เกียรติยศ และเครือข่ายทั้งหมดที่สั่งสมมา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่แพรวพราวจะสลายหายไปในพริบตา คิโยชิเคยแนะนำให้สึสึกิ อิตสึมะยอมมอบตัวกับตำรวจ มอบตัวงั้นเหรอ? สำหรับอิตสึมะ การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเจ็บปวดยิ่งกว่าการจบชีวิต นี่คือความดื้อรั้นที่จะปกป้องอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด และควรจะเป็นของเขา
สำหรับเขา อนาคตอันรุ่งโรจน์นั้นคือชีวิตธรรมดาสามัญ คือชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย
ความธรรมดาสามัญนั้น เราจะรับรู้ถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมันก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียมันไปแล้ว เช่นเดียวกับอิตสึมะที่ถูกคิโยชิบีบคั้น จนสุดท้ายต้องจบชีวิตลงด้วยยาพิษบนดาดฟ้าของบริษัทที่ควรจะเป็นของเขา พิษร้ายพรากลมหายใจเขาไปในพริบตา
คังวูจิน หรือที่รู้จักกันในนามคิโยชิ
-กึก
ใบหน้าเรียบนิ่งก้มมองร่างไร้ลมหายใจ ก่อนจะล้วงบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ กล้องเคลื่อนไหวตามมือของเขา เผยให้เห็นกระดาษเก่าคร่ำคร่าที่ถูกพับซ้ำแล้วซ้ำเล่า รายชื่อมากมายถูกเขียนเรียงรายลงมา เริ่มต้นจากโคนาคายามะ คินโจ ทั้งหมดคือภารกิจที่เขาทำสำเร็จลุล่วง
และที่ส่วนท้ายสุด
-‘สึสึกิ อิตสึมะ’
ชื่อของร่างไร้วิญญาณตรงหน้าปรากฏอยู่
“มองเห็นไหมนะ...”
วูจินพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะขยำกระดาษเก่าคร่ำคร่านั้น แล้วกลืนลงคอไปทั้งอย่างนั้น กิริยาอาการราวกับอิโยตะ คิโยชิ ตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน
ความเงียบสงัดปกคลุมบริเวณนั้นชั่วขณะ
“คัท!”
หลังจากผู้กำกับเคียวทาโร่ส่งสัญญาณ ทีมงานก็เปลี่ยนมุมกล้องและถ่ายทำซ้ำอีกหลายครั้ง ฉากนี้จึงเสร็จสมบูรณ์หลังจากถ่ายทำซ้ำประมาณ 3 ครั้ง แต่การถ่ายทำ ณ สถานที่แห่งนี้ยังไม่จบสิ้น ยังคงเหลืออีกหลายฉากที่ต้องถ่ายทำ
โดยเฉพาะ
“อ่า ฉากนี้สินะ”
“ใช่ ฉากที่เผยให้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของอิโยตะ คิโยชิ เป็นครั้งแรก”
“มันต้องยากแน่เลย...”
การแสดงในฉากถัดไปไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้ ความคาดหวังของทีมงานหลายสิบคนจึงยิ่งทวีคูณ รวมถึงผู้กำกับเคียวทาโร่ที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ด้วย
‘คัทนี้สำคัญมาก’
‘บุปผาเร้น’มีฉากสำคัญ ๆ หลายฉาก แต่ฉากนี้สำคัญที่สุด
‘ถ้าฉากนี้ทำได้ดี อิมแพ็คของตอนจบที่เปลี่ยนไปจะยิ่งทรงพลังขึ้นอีกหลายเท่า’ คิโยชิคิด
แต่ผู้กำกับเคียวทาโร่
“...”
เขาไม่ได้เข้าไปใกล้คังวูจินที่กำลังแต่งหน้าซ่อมอยู่ในโซนถ่ายทำ เพราะไม่ได้คิดจะกำกับอะไรเขาอยู่แล้ว เชื่อมั่นว่านักแสดงคนนี้ วูจินคนนี้ จะรังสรรค์ฉากที่เหนือความคาดหมายได้อย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน คังวูจิน
‘โอ้-’
ภายนอกดูนิ่งสงบ แต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นระคนหวั่นไหว
‘การแสดงแบบนี้ไม่เคยทำมาก่อนสินะ? อืม- ใช่แล้ว ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว’
ถึงแม้เขาจะซึมซับชีวิตของอิโยตะ คิโยชิมาทั้งหมดแล้ว แต่การถ่ายทอดเรื่องราวเช่นนี้ออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำเป็นต้องควบคุมสติอารมณ์ แม้จะรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องเก็บงำมันเอาไว้ คังวูจินรู้สึกว่าอย่างน้อยสายตาที่จับจ้องมากมายก็ลดน้อยลง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
แล้ว
“เสร็จแล้วครับ!!”
การแต่งหน้าซ่อมของวูจินเสร็จสิ้นลง
ครู่ต่อมา
เหล่าทีมงานก็ทยอยออกไป กล้องทุกตัวหันไปจับภาพที่คังวูจิน ผู้กำกับเคียวทาโร่หยิบโทรโข่งขึ้นมา เสียงตบสเลทดังก้อง
“เริ่ม- แอ็กชั่น”
ในที่สุด คังวูจินก็ปลดปล่อยคิโยชิที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในออกมา ทันใดนั้น โลกของเขาก็เปลี่ยนไป สิ่งรบกวนสายตาอย่างกล้องและแสงไฟเลือนหายไป นี่ไม่ใช่กองถ่าย แต่มันคือโลกของวูจิน
ยามราตรีสงัด โลกไร้เสียง ไร้ผู้คน
มีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้า แต่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เพราะสิ้นลมหายใจแล้ว
“······น่าเบื่อจัง”
หลังจากกลืนกระดาษที่เขียนว่า ‘การบ้าน’ ลงไปแล้ว วูจินที่ไร้แววตาใด ๆ ลูบคอตัวเองเบา ๆ เพราะรู้สึกสาก ๆ ที่ลำคอ
“กลืนกระดาษที่ขยำแล้วลงไปนี่มันจะมากเกินไปหน่อยรึเปล่านะ?”
เขาพึมพำกับตัวเองพลางเกาหัวอย่างไม่มีปี่มีขลุย เหลียวมองรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะก้มลงมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้า คนตาย...คนตายจริง ๆ แต่คังวูจินหรือคิโยชิกลับว่างเปล่า ไร้ความรู้สึก ไร้อารมณ์ หรือแม้แต่ไร้ซึ่ง ‘ความคิด’ ใด ๆ การรับรู้ของเขาราวกับผืนทรายแห้งแล้งไร้ซึ่งความชุ่มชื้น
ทุกการกระทำ ทุกแววตา ทุกจังหวะลมหายใจของเขาล้วนละเอียดอ่อน
‘ความไร้เดียงสา...ช่างเด่นชัดมาก’
ในสายตาของผู้กำกับเคียวทาโร่ที่เฝ้ามองผ่านมอนิเตอร์ วูจินดูราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ณ วินาทีนี้ สิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของวูจินคือความไร้เดียงสาอันงุนงง
กล้องแพลนไปที่คังวูจิน
วูจินหันหลังกลับ ก่อนจะชะงัก แล้วหันกลับมามองร่างไร้วิญญาณอีกครั้ง จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง
‘เสียเวลาเปล่า ไปกันเถอะ’
เขาเริ่มก้าวเท้า แต่แล้วก็หยุดชะงักอีกครั้ง
นิ่งงัน
เขาก้าวขาไม่ออก
ในจังหวะนั้นเอง ภายในใจของคังวูจินก็พลันปะทุขึ้นราวกับน้ำตก ไม่ได้เย็นยะเยือก ไม่ได้ร้อนระอุ เพียงแค่อุ่น ๆ แต่มันก็ทำให้ลมหายใจของวูจินเริ่มผิดปกติ หายใจแรงขึ้นทางจมูก
“เฮ้อ -”
ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์ แต่แววตาที่มองร่างไร้วิญญาณกลับอ่อนแสงลง เผยให้เห็นความรู้สึกบางอย่าง อารมณ์บางอย่างที่ซ่อนเร้น
“น่าเบื่อชะมัด”
ความหดหู่แผ่ซ่าน คิโยชิผู้ไม่เคยหวั่นไหวต่อสิ่งใด คังวูจินที่ผ่านบททดสอบมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็เผยความรู้สึกออกมา ณ จุดหมายปลายทางของทุกสิ่ง
ภาพนั้นถูกบันทึกไว้ในกล้องอย่างแจ่มชัด
ทำไม? เพราะอะไร?
ทำไมเขาถึงยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงก้าวขาไม่ออก? ทันใดนั้นคังวูจินก็ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้า ความรู้สึกอุ่น ๆ ค่อย ๆ ร้อนแรงขึ้น กู่ร้องออกมา ดังก้องอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
เรื่องราวทั้งหมดจบลงแล้ว ณ ที่แห่งนี้ ปราศจากเป้าหมายใดให้กำจัดอีกต่อไป อิโยตะ คิโยชิ...สูญสลายไปตลอดกาล ที่นี่คือจุดสิ้นสุดของ “การบ้าน” จุดสิ้นสุดของการมีตัวตนของคิโยชิ
“ฮือ ฮึก!”
ไหล่ของคิโยชิ หรือ คังวูจินสั่นเทิ้มสะอื้น ของเหลวใสไหลรินผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วมือที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้
หยาดน้ำตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เขายังไม่อาจจากไปได้ ไม่ใช่เพราะอาลัยอาวรณ์ร่างไร้วิญญาณเบื้องหน้า แต่เพราะความหวาดกลัวที่เกาะกุมหัวใจ หากก้าวออกจากที่แห่งนี้ไป ตัวตนของเขาในโลกใบนี้ก็จะเลือนหายไปเช่นกัน การมีอยู่ของเขาจะสูญสิ้น เขาจะมองไม่เห็นตัวเองในโลกแปลกหน้าที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งทุกสิ่ง
หรือว่า...ไม่ใช่ความว่างเปล่า?
“อึก! ฮึก! ฮือ-”
ในทางกลับกัน หัวใจของคิโยชิกลับเอ่อล้น เขามีชีวิตอยู่เพื่อมาถึงจุดหมายนี้ และในที่สุดเขาก็มาถึง เขาสมปรารถนาแล้ว เหลือเพียงปิดฉากเรื่องราวทั้งหมดให้จบสิ้นสมบูรณ์
แล้วหลังจากนี้เล่า?
เขาใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในคราบของ “คนแปลกหน้า” มาเนิ่นนาน และลงมือกระทำทุกสิ่งทุกอย่างจนสำเร็จลุล่วง ทว่าบัดนี้ น้ำตากลับเอ่อล้นอาบสองแก้ม ไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกเศร้าเสียใจ
“ฮืออ!”
หากแต่มันคือหยาดน้ำตาแห่งความสงสาร สงสารตัวเอง สงสารเธอคนนั้น ความคับแค้นใจต่อโลกไร้ค่าที่ผลักดันให้เขามาถึงจุดจบเช่นนี้ ความเสียดาย...ที่ตัวตนของเขาต้องจบลงเพียงเท่านี้
เสียงสูดหายใจดังแผ่วเบา
คังวูจินก้มหน้าลง ไหล่ยังคงสั่นเทา ใบหน้าและดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย เขาทรุดกายลงคุกเข่า มือสั่นเทาปลดกลอนที่ล็อกเอาไว้
ความรู้สึกอันรุนแรงปะทุขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ฮืออ! อึก! ฮึก!”
ใบหน้าของวูจิน หรือ คิโยชิบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง น้ำตาและน้ำมูกไหลทะลักอาบแก้ม ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา
ราวกับเสียงสะอื้นที่แห้งผาก ไร้ชีวิตชีวา
เสียงสะอื้นที่ถูกกักขังไว้ภายในของคังวูจิน แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ สั่นสะเทือนโสตประสาท ทิ่มแทงสายตา และสัมผัสของทีมงานหลายสิบชีวิต
‘นี่คือการร่ำไห้ที่ไร้ซึ่งความโศกเศร้า... เป็นไปได้อย่างนั้นหรือ’
‘แม้จะร้องไห้เงียบงันปานนี้... แต่กลับทรงพลังจนสะกดทุกสายตาได้อย่างน่าประหลาด กระทั่งฉันเองก็ไม่อาจหยั่งถึงความรู้สึกนี้ได้เลย’
‘ราวกับบทสวดส่งวิญญาณให้กับชีวิตที่ถูกหลงลืม... เขาช่างเป็นนักแสดงที่น่าทึ่ง... ใครกันจะถ่ายทอดอารมณ์เช่นนี้ออกมาได้’
เสียงสะอื้นของวูจินเริ่มแหบพร่า น้ำมูกไหลย้อยลงมาเปรอะเปื้อนใบหน้า หากเป็นเสียงร้องไห้โฮดัง คงมีคนเข้าไปปลอบประโลม แต่เสียงสะอื้นแห้งผากนี้กลับทำให้ผู้ที่มองดู
‘ได้แต่นิ่งงัน... ไม่อาจขยับเขยื้อนกาย’
รู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
ตลอดมา ชีวิตของคิโยชิก็เหมือนเหรียญที่ตกหลงอยู่บนพื้น เหมือนผงธุลีที่ปลิวเข้าตา เหมือนน้ำที่ดื่มเพื่อดับกระหาย เหมือนการยืดเส้นยืดสายหลังตื่นนอน
ชีวิตที่แสนธรรมดาสามัญ
และแม้กระทั่งสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น... ก็กำลังจะจบสิ้นลง
น้ำตาและเสียงสะอื้นของคังวูจิน คือเสียงร่ำร้องแห่งการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตนเองที่น้อยนิดยิ่งกว่าเมล็ดข้าว คือเสียงคร่ำครวญที่ไม่อาจทิ้งความทรงจำเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง คือความสงสาร เวทนา ที่ได้เผชิญหน้ากับความว่างเปล่าในจิตใจ เมื่อไม่อาจก้าวเดินไปยังจุดหมายปลายทางได้
“ฮือ- อึก!”
ขาหมดแรง วูจินร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนทรุดลงคุกเข่า ก้มศีรษะแนบพื้น มือทั้งสองข้างแตะพื้นสั่นระริก เสียงร่ำไห้คร่ำครวญดังก้องอยู่ในความเงียบงัน กล้องสั่นไหวบันทึกภาพวูจินและร่างไร้วิญญาณไว้ในเฟรมเดียวกัน
ราวกับกำลังคำนับต่อหน้าความตาย
ไม่ใช่ ฉากนี้คือการแสดงความเคารพและไว้อาลัยต่อคุณค่าของชีวิตที่เขาจะทิ้งไว้เบื้องหลัง เป็นฉากที่ความรู้สึกที่งอกงามขึ้นภายในคิโยชิได้ผลิบานสู่สายตาผู้ชมเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นคุณค่าของชีวิตที่แสนสามัญ แต่ก็เพราะสิ่งนั้นที่ทำให้เขารอดชีวิต กลับมายังจุดเริ่มต้นได้อีกครั้ง
ภาพนี้มีความหมายซ่อนอยู่สองนัยยะ
นัยยะหนึ่งคือคุณค่าของตัวเขาที่ปลายทางแห่งการล้างแค้นนั้นช่างน้อยนิดดุจเมล็ดพืช แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการล้างแค้นนั้นสูญเปล่าหรือไร้ความหมาย
คิโยชิได้พบกับการเติบโตทางจิตใจ ณ จุดนี้ และนั่นก็เปรียบประดุจต้นกล้าแห่งความหวัง
เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่
เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อกลับไปสู่ชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย เสียงสะอื้นของวูจินค่อย ๆ เงียบหาย แต่ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านของทีมงานหลายสิบชีวิตที่เฝ้าดูอยู่กลับไม่มีวี่แววว่าจะลดลง
สิ่งที่นักแสดงผู้นี้พยายามจะถ่ายทอดนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก
“······”
“······”
“······”
สิ่งที่พวกเขารับรู้ได้คือทั้งหมดที่มี
ตอนนี้ถึงคราวของผู้กำกับเคียวทาโร่แล้ว 5 วินาที 10 วินาที 15 วินาที ฉากมาถึงช่วงสุดท้าย เขาต้องเป็นคนปิดฉากภาพอันน่าอัศจรรย์นี้ลง
‘อีกนิด อีกสักนิด’
แต่เคียวทาโร่กลับดื่มด่ำกับความเงียบงันที่คุกรุ่น เพราะฉากนี้ คือฉากที่คังวูจินมอบชีวิตให้กับตอนจบใหม่ของ "บุปผาเร้น" ผู้ชมต้องได้เห็นภาพนี้ก่อนฉากจบ เพื่อจะเข้าใจแววตาสุดท้ายของอิโยตะ คิโยชิ
การเริ่มต้นใหม่ของ "คนแปลกหน้า" ที่หลอมรวมผู้คนมากมายเอาไว้
ครู่ต่อมา
“······คัท!!”
เคียวทาโร่ลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมกับกระชากหมวกออก ตะโกนก้อง ทีมงานหลายสิบชีวิตที่ยืนนิ่งราวกับหยุดหายใจก็พากันถอนใจออกมาพร้อมเพรียง บางคนปรบมือด้วยความประทับใจ
-แปะ แปะ!
เสียงปรบมือดังกึกก้อง สรรเสริญคังวูจินที่ยังคงนอนคว่ำหน้าแนบพื้น เป็นการสดุดีการแสดงที่เหนือความคาดหมาย พวกเขาหาคำบรรยายใดไม่ได้ นอกจากเสียงปรบมือเท่านั้น
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วูจินที่คุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้นกลับไม่ไหวติง
เขายังคงอยู่ในท่าเดิม ราวกับรูปปั้นที่ถูกแช่แข็งไว้
ไม่มีน้ำตาไหลริน ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นเบา ๆ วูจินเพียงนอนนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่นักแสดงชาวญี่ปุ่นที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก่อนหน้านี้ ลุกขึ้นยืนแล้วมองลงมาที่วูจินที่นอนคว่ำหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
‘นี่สินะ...การแสดงที่ทุ่มเททั้งกายและใจ คงหลงเหลือความรู้สึกบางอย่างตกค้างอยู่ แม้แต่นักแสดงอัจฉริยะอย่างคุณวูจิน ก็คงยากที่จะดึงตัวเองกลับมาได้ในทันที การแสดงเมื่อครู่นี้...ช่างทรงพลังเหลือเกิน’
เหล่าทีมงานก็คิดเช่นเดียวกัน
“ดูเหมือนเขากำลังตั้งสติอยู่นะครับ”
“ผมเข้าใจครับ หลังจากการแสดงที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น ถ้าจะให้ลุกขึ้นมาได้ทันที...คงต้องเป็นพระเจ้าแล้วล่ะ”
เสียงสะอื้นที่ถูกเก็บกลั้นไว้แผ่วเบา “อ่า... บทบาทนี้คงจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การแสดงของญี่ปุ่นไปอีกนานแสนนาน ควรให้เขาได้พักสักครู่แล้วนะครับ”
“ถ้าเข้าไปพยุงตอนนี้เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเขามากกว่านะครับ ความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วนอยู่ภายใน คงมีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นที่จะจัดการกับมันได้”
ขณะที่ผู้กำกับเคียวทาโร่กำลังก้าวเดินอยู่นั้น เขาก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นคังวูจินนอนคว่ำหน้าไร้ซึ่งการขยับเขยื้อน
‘อืม... ก็จริง ระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทรงพลังขนาดนั้น ถ้านักแสดงทั่วไปคงสติแตกไปแล้ว ต้องให้เวลาเขาได้สงบสติอารมณ์สักหน่อย’
ส่วนคังวูจินที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้น
‘โอ๊ยตายแล้ว! น้ำมูกน้ำลายไหลเต็มหน้าเลย เช็ดๆ ๆ รักษาภาพลักษณ์ไว้ก่อน!’
เขาก็แค่กำลังเช็ดน้ำมูกของตัวเองอยู่อย่างเงียบ ๆ
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_