บทที่ 20 บ้านของเหลียงเฉิน
จัวเซ่าทำสัญญาเช่ากับครอบครัวนี้หนึ่งปี โดยในสัญญาระบุว่าจะไม่เพิ่มค่าเช่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนี้ และปล่อยให้พวกเขาเช่าบ้านของตนต่อ
นี่เป็นบ้านของพ่อแม่เขา เขาคิดว่าตนจะตัดใจไม่ลง แต่หลังจากเซ็นสัญญาเช่าแล้ว เขากลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
อันที่จริง...บ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยจริง ๆ ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำสวยงามมากมาย แต่ก็เต็มไปด้วยความทรงจำที่เจ็บปวดเช่นเดียวกัน
ในชีวิตก่อนตอนที่เขากับน้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่ละวันผ่านไปด้วยความยากลำบาก มักจะกินไม่เคยอิ่ม ที่น่ารำคาญมากกว่านั้นคือจัวหรงหมิงมักจะเอาปัญหามาให้เสมอ
ในตอนนั้นเขามีชื่อเสียงไม่ดีนัก ทุกคนในหมู่บ้านคิดว่าเขาเรียนมาไม่ดี จึงช่วยจัวหรงหมิงสั่งสอนเขา เขาและน้องสาวต้องทนทุกข์ทรมานจากการนินทามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ต่อมาจัวหรงหมิงเอาเปรียบน้องสาวของเขา จัวหรงหมิงก็ถูกเขาฆ่าตาย...
จัวเซ่าค้นพบในทันทีว่าที่จริงแล้ว หากไม่ได้อยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า แต่เขาก็ต้องคิดถึงที่ที่จะไปอยู่ ต้องคิดให้ดี ๆ
“พวกเธอไปอยู่ที่บ้านลุงของเธอดีไหม พวกเขาเอาเงินของเธอไปซื้อบ้านใหม่ ตอนนี้ให้เธออยู่ที่บ้านเก่าก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” จัวหรงอู้กล่าว
หนึ่งเดือนห้าร้อยหยวน ค่าเช่าสูงมาก เธอถึงขั้นอยากจะปล่อยเช่าบ้านของตนเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงความคิดของตน บ้านของเธอมีแค่หลังเดียว ไม่สามารถให้คนนอกเข้ามาอยู่ได้
“ไม่ดีกว่าครับ ป้าให้ผมเช่าบ้านอยู่ดีกว่า” จัวเซ่าเอ่ย หากเขาต้องอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าครอบครัวจัว ต่อไปวัน ๆ ก็ต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวชวีกุ้ยเซียง...เขาไม่อยากจะต้องมีปัญหาทุกวันอีกแล้ว
เขาหวังว่าจากนี้จัวถิงจะมีชีวิตที่มีความสุข ไม่ต้องถูกรบกวนโดยคนเหล่านี้อีกต่อไป
“เช่าบ้านงั้นเหรอ...” จัวหรงอู้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่เกิดและเติบโตในชนบท เธอไม่เคยสัมผัสกับเรื่องการเช่าบ้านมาก่อน
จัวหรงอู้ไม่รู้ว่าควรจะไปเช่าบ้านที่ไหนถึงจะดี จัวเซ่ารับรู้ได้
อำเภอฟูหยางมีบ้านเก่ามากมาย ล้วนเป็นห้องพักพนักงานเมื่อหลายสิบปีก่อน เช่นบ้านเก่าของจัวหรงหมิง เดิมก็เป็นหอพักพนักงานของโรงงานปุ๋ย นอกจากนี้ในเขตปกครองยังมีหอพักพนักงานของโรงงานทอผ้า โรงงานรองเท้าหนัง โรงงานผ้าไหม
หอพักพนักงานในสมัยนั้นมีขนาดเล็กมาก แม้แต่บ้านของจัวหรงหมิงก็มีเพียงห้องนอนสองห้องและห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง บ้านหลายหลังมีเพียงห้องนอนหนึ่งห้องและห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง
ครอบครัวที่มีเด็ก หอพักขนาดหนึ่งห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นนั้นไม่เพียงพอต่อการอยู่อาศัย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มณฑลได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา หลายคนจึงซื้อบ้านที่ใหญ่ขึ้นและย้ายออกไป ในเวลานี้มีคนไม่มากที่ย้ายมายังอำเภอฟูหยางและต้องการเช่าบ้าน
ดังนั้นจึงมีบ้านมากมายในอำเภอฟูหยางที่ยังว่าง และจัวเซ่าก็วางแผนที่จะเช่าบ้านเหล่านั้น
จัวเซ่าพาจัวหรงอู้ไปที่ตรอกแคบ ๆ ในเขตเมืองเก่าของอำเภอฟูหยาง แคบขนาดที่จักรยานสามารถปั่นเข้ามาได้ทีละคันเท่านั้น
เมื่อนานมาแล้ว ใคร ๆ ก็อิจฉาคนที่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากอยู่ในที่แบบนี้อีกแล้ว...
จัวเซ่าและจัวหรงอู้หาคนเพื่อสอบถาม พวกเขาบอกว่ามีบ้านว่างที่จัวเซ่าสามารถเช่าได้
แต่เมื่อจัวเซ่าได้ลองไปดู กลับไม่ค่อยพอใจนัก
บ้านเป็นแบบหนึ่งห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น วางแนวตามทิศตะวันออกและตะวันตก
ทางทิศตะวันออกของบ้านเหล่านี้เป็นครัวแบบเปิดเล็ก ๆ ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต ทางตะวันตกของห้องครัวเป็นทางเดินสาธารณะ และอีกด้านเป็นโซนที่อยู่อาศัย บริเวณนั้นเป็นทางเดินยาวที่ถูกแบ่งออกเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนหันไปทางทิศตะวันตก อีกห้องหันไปทางครัว เป็นโซนรับประทานอาหารและมีห้องน้ำเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง
ห้องนี้มีพื้นที่ประมาณยี่สิบตารางเมตร อากาศไม่ถ่ายเท ในครัวไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย พอออกจากประตูห้องครัวไปก็เป็นทางเดิน เพื่อนบ้านเดินผ่านไปผ่านมาสามารถเห็นขณะทำอาหารได้ พอทำอาหารเสร็จแล้วต้องนำหม้อและกระทะกลับเข้าบ้าน ไม่เช่นนั้นหากไม่ระวังก็จะถูกขโมยได้
จากประสบการณ์ของจัวเซ่า เขาสามารถทำความสะอาดและปรับปรุงที่นี่ได้ แต่ดูจะไม่คุ้มนัก และสิ่งที่ทำให้จัวเซ่าไม่พอใจยิ่งกว่าคือสถานการณ์ของเพื่อนบ้าน
ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เยอะมาก ส่วนใหญ่เช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัย มีเด็ก ๆ เยอะแยะวิ่งเล่นชุลมุนอยู่ตามทางเดิน แต่กลับไม่มีใครว่าอะไร และยังมีผู้หญิงวัยกลางคนที่ไม่มีอะไรทำเหมือนชวีกุ้ยเซียงจำนวนมาก
วันนี้พวกเขาเพียงมาดูบ้าน แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามคำถามพวกเขามากมาย หากพวกเขาจะมาอยู่ที่นี่....
เขาไม่อยากต้องมาคอยแสดงท่าทางน่าสงสารอีกแล้ว และหากในอนาคตชวีกุ้ยเซียงมาก่อเรื่อง คนเหล่านี้อาจจะอยู่ข้างชวีกุ้ยเซียง
แน่นอนว่าจัวเซ่าเข้าใจดีว่าตนเองก็ไม่พอใจกับอะไรแบบนี้เช่นกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากชีวิตก่อน
ในเวลานั้นเขาตกแต่งบ้านที่เขาอยู่ด้วยตนเอง ตอนนั้นเขาแต่งบ้านได้อย่างสบายใจ ไม่มีเพื่อนบ้านมาคอยรบกวน
แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาอยู่บ้านที่ทุกย่างก้าวไม่ว่าจะทำอะไรก็อยู่ใต้จมูกผู้อื่นตลอดเวลา แน่นอนว่าแบบนั้นเขาคงทนไม่ไหว
“ป้าครับ ที่นี่มีแค่ห้องเดียว น้องโตแล้ว คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไรถ้าอยู่ด้วยกัน” จัวเซ่าเอ่ย
ที่จริงจัวหรงอู้รู้สึกว่าที่นี่ดีมาก แต่เมื่อได้ฟังความกังวลของจัวเซ่าแล้วกลับรู้สึกว่ามีเหตุผล จัวถิงอายุไม่น้อยแล้ว
“งั้นพรุ่งนี้ไปลองหาที่อื่นกันเถอะ” จัวหรงอู้เอ่ย วันนี้สายมากแล้ว เธอต้องรีบกลับบ้านแล้ว
ลูกชายของจัวหรงอู้แต่งงานและมีลูกแล้ว เธอต้องช่วยไปรับลูกให้ลูกชาย ทั้งยังต้องกลับไปทำอาหาร มีหลายสิ่งหลายอย่างรอเธออยู่ที่บ้าน
“ป้าครับ ผมกับถิงถิงยังสามารถอยู่ที่บ้านของลุงได้อีกสองสามวัน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ พอผมกับถิงถิงเลิกเรียนแล้วค่อยไปหาบ้านเองก็ได้ครับ ถ้าหาที่ที่โอเคได้แล้วผมค่อยเอาไปบอกป้าอีกทีดีกว่า” จัวเซ่าเอ่ย จัวหรงอู้ยอมช่วยพวกเขา เขาก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้ว แต่ที่จริงแล้วเขาชินกับการทำอะไรด้วยตนเองมากกว่า
จัวหรงอู้คิดแล้วคิดอีกและตัดสินใจตอบตกลง “งั้นเย็นพรุ่งนี้ป้าจะมาอีกครั้ง” ในตอนเย็นลูกสะใภ้ของเธออยู่บ้าน เธอพอจะมีเวลาปลีกตัวออกมาได้
จัวหรงอู้ขี่จักรยานไม่เป็น รถที่เธอใช้เป็นรถสามล้อเล็ก ๆ คันหนึ่ง หลังจากตกลงกับจัวเซ่าแล้ว เธอก็นั่งรถสามล้อกลับไป
จัวเซ่าดูเวลา ก่อนอื่นต้องไปรับจัวถิงก่อน จากนั้นก็พาจัวถิงไปซื้อไข่ครึ่งกิโลกรัมกับผักอีกนิดหน่อย
วันนี้เมื่อตอนเที่ยงเขาหุงข้าวเอาไว้ หุงไว้เยอะเกินไปด้วย หลังกลับถึงบ้านจึงไม่ต้องห่วงเรื่องยุ่งยาก ก็แค่ทำข้าวผัดไข่ง่าย ๆ กับผัดผัก
จัวเซ่าใส่ไข่ลงไป ข้าวผัดไข่หอมเป็นพิเศษ จัวถิงที่ร่างกายไม่มีไขมันเลยกินข้าวชามใหญ่หมดภายในคราวเดียว จากนั้นก็ล้างจานอย่างมีความสุข
จัวเซ่าก็ซักเสื้อผ้าและทำความสะอาดบ้านง่าย ๆ
วันนี้เขาไม่ได้ไปเรียน ไม่มีการบ้านที่ต้องทำ แต่ยังหยิบหนังสือออกมาอ่าน ทำโจทย์เลขก่อนเข้านอน
วันที่สอง จัวเซ่ามาถึงโรงเรียนเช้ามาก จากนั้นก็พบว่าเหลียงเฉินมาเช้ายิ่งกว่า
“จัวเซ่า!” เมื่อเห็นจัวเซ่า เหลียงเฉินตื่นเต้นเล็กน้อย “นะ...นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลังจากเขากลับบ้านด้วยเงินที่จัวเซ่าฝากเขาเอาไว้เมื่อวันก่อน เขาก็กระวนกระวายทั้งคืน แต่พอมาโรงเรียนเมื่อวานกลับไม่เจอจัวเซ่า
แม้อาจารย์หยางจะบอกว่าจัวเซ่าไม่เป็นไร แต่เหลียงเฉินก็ยังคงกังวล แต่เขาไม่รู้ว่าจัวเซ่าอยู่ที่ไหน
“ฉันไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว” จัวเซ่าเอ่ย
“งั้นก็ดีแล้ว” เหลียงเฉินยิ้มออกมา ลดเสียงลงเล็กน้อย “งะ...เงินฉันเอาไว้ที่บ้าน นายอยากได้ไหม? พรุ่ง...พรุ่งนี้ให้ฉันเอามาให้ไหม?”
“ช่างมันเถอะ” จัวเซ่าเอ่ย จู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “บริเวณที่นายอยู่มีใครปล่อยเช่าห้องไหม?”
ที่จริงหากต้องการจะหาที่อยู่อาศัย อยู่ในชุมชนปิดย่อมดีกว่า แต่ค่าเช่าอาจจะแพงขึ้นนิดหน่อย
แม้ว่าจะแพงขึ้น เงินห้าร้อยหยวนก็เพียงพอแน่นอน เขาแค่แกล้งทำเป็นว่าบ้านที่ชนบทไม่ได้ปล่อยเช่าก็พอแล้ว...
เหลียงเฉินส่ายศีรษะ
ย่านที่เขาอาศัยอยู่นั้นดีกว่าย่านที่ครอบครัวจัวซื้อบ้านใหม่เอาไว้มาก เป็นชุมชนระดับสูงของอำเภอ ไม่มีใครที่จะซื้อบ้านในละแวกนี้เพื่อมาปล่อยเช่า...
แต่...
“นะ...นายอยากเช่าห้องเหรอ?” เหลียงเฉินเอ่ยถาม “บ้านฉันยังว่าง!”
เวลานี้ยังเช้า จัวเซ่าไม่ได้วางแผนที่จะทำการบ้านของเมื่อวาน จึงมีเวลาคุยกับเหลียงเฉินและถามเรื่องราวมากมาย
เหลียงเฉินอยู่คนเดียวมาตลอด พ่อของเขาจะกลับมาอยู่แค่สองสามวันในช่วงตรุษจีน ปกติมักไม่เห็นแม้แต่เงาคน แต่ห้องของเขาใหญ่มาก
บ้านของเหลียงเฉินมีสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น และสองห้องน้ำ เขาอาศัยอยู่ในห้องนอนใหญ่ และยังมีห้องว่างอยู่อีกสองห้อง เขารู้สึกว่าเขาสามารถให้จัวเซ่าเช่าห้องพวกนี้ทั้งหมดได้
“นายสามารถมาอยู่บ้านฉันได้ ไม่ต้องเช่า” เหลียงเฉินมองไปยังจัวเซ่าอย่างคาดหวัง พูดออกไปอย่างลื่นไหล
จัวเซ่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบตกลง หากเขาต้องการเช่าห้องใหญ่ ๆ จัวหรงอู้อาจจะไม่เห็นด้วยนัก แต่เขามาอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น จัวหรงอู้ก็ไม่อาจคัดค้านได้
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเหลียงเฉินไปได้ตลอด
“งั้นพอถึงเวลาฉันจะทำอาหารให้นายกินและจ่ายค่าเช่าให้นาย” จัวเซ่าเอ่ย เด็กคนนี้ดีต่อเขามาก ทั้งเขายังสามารถดูแลเด็กเพิ่มได้อีกหน่อย กินอาหารนอกบ้านทั้งวันคงไม่ดี จะปล่อยให้เขาเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
“ไม่ต้อง ฉันซื้อข้าวกินได้ พวก...พวกเรากินด้วยกัน...” เหลียงเฉินพูดออกไปโดยไม่คิดแม้แต่น้อย คนอย่างจัวเซ่านั้นจะทำอาหารได้อย่างไรกัน?
“ยังไงฉันก็ต้องทำอาหารอยู่แล้ว เพิ่มนายมาอีกคนก็ไม่ได้มากมายอะไร” จัวเซ่าเอ่ย “อีกอย่างไม่ใช่ว่านายเคยพูดเอาไว้เหรอว่า นายจะฟังฉันน่ะ?”
เหลียงเฉินพยักหน้าทันที จากนั้นก็มองจัวเซ่าด้วยความเลื่อมใส จัวเซ่าทำอาหารได้จริง ๆ น่าทึ่งเกินไปแล้ว!
ก็ไม่รู้ว่าจะทำอาหารอย่างไร...
เหลียงเฉินโตขนาดนี้ แทบไม่เคยเห็นใครทำอาหารเลย จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอาหารทำอย่างไร...
ในเวลานี้ยังไม่มีวันหยุดติดกันสองวัน วันเสาร์ยังต้องเรียนครึ่งวัน
ทั้งสี่คาบนี้ สองคาบเป็นวิชาภาษาจีน อีกสองคาบเป็นวิชาคณิตศาสตร์ หลังจากเลิกเรียน ทุกคนก็กลับบ้านพร้อมสมุดการบ้าน
จัวเซ่าและเหลียงเฉินทั้งสองคนไปรับจัวถิงมาก่อน หลังทานอาหารที่ร้านอาหารจานด่วนเสร็จแล้วก็ไปที่บ้านของเหลียงเฉิน
“บ้าน...บ้านของฉันรกนิดหน่อย” เมื่อกำลังจะถึงบ้าน เหลียงเฉินก็พลันคิดถึงสภาพบ้านของตน จึงกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที
“จัดให้เป็นระเบียบก็โอเคแล้ว” จัวเซ่าเอ่ย เด็กหนุ่มวัยรุ่นอาศัยอยู่เพียงลำพัง เป็นเรื่องปกติที่บ้านจะรก เขาพร้อมที่จะเห็นคอกหมูที่เกลื่อนไปด้วยเสื้อผ้าสกปรก ๆ แล้ว
แต่สิ่งที่เขาได้เห็นกลับแตกต่างจากสิ่งที่เขาจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
บ้านของเหลียงเฉินสะอาดมาก สะอาดเกินไปด้วยซ้ำ...ที่นี่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย และดูเหมือนไม่มีใครอาศัยอยู่เลยด้วยซ้ำ