บทที่ 18 แผนการ
บทที่ 18 แผนการ
ตระกูลแวมไพร์ สายเลือดโบโคแล็กสาขาเมืองอจันตุ
มันเป็นกองกำลังที่ควบคุมเมืองเล็กๆ ทางตะวันตกของอาณาจักรทาเลียได้อย่างเด็ดขาด
แล้วเขาก็ได้กลายเป็นแวมไพร์ภายใต้กองกำลังนี้
'แต่ที่น่าแปลกใจคือกลับไม่มีอะไรให้ทำมากนัก...'
การฝึกอบรมกินเวลาหลายวัน แต่พวกเขาไม่ได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนกับเขาเลย
การบริหารเมืองทั้งหมดได้รับการจัดระเบียบมาเป็นเวลานาน ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยตัวของมันเอง และเหล่าแวมไพร์ต้องจัดการเพียงแค่ว่าองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารรองจากพวกเขา ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้องหรือไม่
‘เนื่องจากเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนยาว พวกมันจึงค่อนข้างใช้ชีวิตอย่างสบายๆ’
เขาคิดว่าพวกเขายอมรับเขาแทนแวมไพร์ที่ตายไปก่อนหน้านี้ แต่แทนที่จะส่งมอบอำนาจอย่างเป็นทางการ พวกเขากลับให้เขารอไปก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งพิเศษใดๆ เข้ามา
เขาจึงสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวเองให้คนในเมืองเห็นมากเกินไป วิธีนี้ช่วยให้เขาสนทนากับพี่น้องได้มากขึ้นในช่วงเย็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องแบ่งเวลาสนทนาให้สมดุล เพราะหากสนทนามากเกินไปก็จะดึงดูดความสนใจ
“บางทีฉันอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ฮันส์มาดึงความสนใจของพวกเขา และออกจากเมืองไปเหมือนอย่างที่ฉันคิดไว้ในตอนแรก”
เขาไม่ได้สนใจที่จะอยู่กับแวมไพร์ เพราะพวกนี้ปฏิบัติต่อมนุษย์ในเมืองเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง
และตอนนี้พวกเขาไม่ได้เอาเลือดมาให้เขาดื่มแล้ว
พวกเขาบอกว่ามันเป็นเพียงวิธีการสำหรับผู้ที่ลังเลใจที่จะดื่มเลือด และเขาจะชินกับมันไปเองเมื่อถึงเวลา…
'ฉันเดาว่าฉันคงไม่สามารถอยู่กับคนพวกนี้ได้นาน'
ปกติเขาก็ไม่ค่อยชอบแวมไพร์มากนัก ดังนั้นเขาค่อนข้างไม่สบายใจเลยที่ต้องอยู่ร่วมกับพวกเขา
เขาเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมที่จะหลบหนีออกไป
เวอร์รักที่เป็นเลือดบริสุทธิ์และเป็นผู้ปกครองสูงสุดของอจันตุ จู่ๆ ก็ออกคำสั่งเรียกแวมไพร์ทั้งหมดออกมา
“จู่ๆเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่บ่อยนักที่เขาเรียกพวกเราแบบนี้ นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วที่เขาไม่ออกคำสั่งเช่นนี้”
แวมไพร์ราวๆ สามสิบตัวที่ปกติอาศัยอยู่กระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองก็เริ่มมารวมตัวกันที่ล็อบบี้ของคฤหาสน์
“งั้นคุณก็เป็นลูกครึ่งคนใหม่ที่ได้รับสายเลือดมาคราวนี้สินะ คุณโชคดีจัง”
“จิ๊ ฉันสงสัยจังว่าอะไรทำให้รีร์รักยอมรับสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยเช่นนี้…”
บางคนซึ่งเขาเห็นเป็นครั้งแรก จึงพูดดูถูกเขาออกมา
พวกเขาดูเหมือนเป็นขุนนางทั่วๆ ไปที่รู้สึกเหมือนเหนือกว่าคนธรรมดาทุกคน
'มันเหมือนกับภาพของแวมไพร์ที่อยู่ในใจของฉันเลย!'
จากนั้นรีร์รักก็เดินเข้ามาในล็อบบี้
"สวัสดี วีร์รัก"
“ท่านลอร์ดยังสง่างามเหมือนเดิม”
“ท่านลอร์ดวีร์รักบอกฉันมาว่าคุณต้องการอะไร”
เหล่าแวมไพร์รุมล้อมรีร์รักและพูดออกมาอย่างเสียงดัง
สถานะของพวกเลือดบริสุทธิ์ดูจะสูงกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
"ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะมาถึงแล้ว เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า"
หลังจากทักทายกันอย่างเหมาะสมแล้ว วีร์รักก็ขึ้นบันไดล็อบบี้และเริ่มพูดคุย
“ชิ้นส่วนของราชาอมตะที่อยู่ในมือของการหวนคืนของคำพิพากษาได้หายไปแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ก็มีเสียงพึมพำดังขึ้น แต่โชคดีที่ทุกคนรอบข้างต่างส่งเสียงดัง ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ
“มีพวกพ่อมดในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ เรากำลังซ่อนตัวและเพื่อหลอมให้ชิ้นส่วนนั้นสมบูรณ์...”
โรซิลลิกาซึ่งเข้ามาหาเขาโดยที่เขาไม่ทันสังเกต ได้กระซิบข้อมูลที่เขารู้แล้วออกมาอย่างรวดเร็ว
"เงียบก่อน"
เสียงวุ่นวายรอบตัวก็เงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดของวีร์รัก
แม้แต่โรซิลลิกาซึ่งอยู่ข้างๆ เขา ก็ยังถอยออกไป และมุ่งความสนใจไปที่วีร์รักที่อยู่บนบันได
“เราได้ยืนยันแล้วว่าการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของเป้าหมายได้มุ่งหน้าสู่เมืองนี้ แต่ในบางจุด..การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นมันอาจเข้ามาในเมืองหรือเพียงแค่ผ่านไปเฉยๆ ก็เป็นได้”
วีร์รักหยุดพูดและสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างช้าๆ
ชั่วขณะหนึ่งดวงตาของเราสบกัน และมันจ้องมองเขาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไป
'โอ้ย น่าหวาดเสียวจัง'
“ดังนั้นเราจะทำการค้นหา เพราะมีโอกาสอย่างมาที่มันจะเข้ามาในเมือง” วีร์รักออกคำสั่ง พร้อมสั่งให้ทุกคนรายงานทันทีหากพบกิจกรรมที่น่าสงสัยในพื้นที่ของตน
“จู่ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?”
ขณะที่เรากำลังออกจากล็อบบี้ โรซิลลิกาพึมพำและเข้ามาใกล้เขามากขึ้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้ต้องแข็งแกร่งมากไม่ใช่หรือ?”
“ก็คงงั้น แต่ฉันคิดว่าเรื่องของชิ้นส่วนของราชาอมตะนี้ดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อผู้นำตระกูลโดยตรง”
“เป็นอย่างนั้นเหรอ? แล้วส่งผลกระทบต่อเขาอย่างไร?”
“ฉันจะไปรู้เหรอ? พวกเราเป็นแค่ลูกน้องก็แค่ทำตามที่เขาบอกก็พอ”
ดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอะไรที่เขาจะได้รับจากโรซิลลิกา
แต่ดูเหมือนเขาจะด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป
“ดีที่พวกเราจึงนำชิ้นส่วนอีกชิ้นหนึ่งมาปิดผนึกไว้ในตระกูลของเราที่นี่” โรซิลลิกากล่าวขึ้น
“อะไรนะ... ยังมีชิ้นส่วนของราชาอมตะอีกชิ้นอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” เขามองโรซิลลิกาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว พวกเขาพยายามหลอมชิ้นส่วนให้สมบูรณ์ จากนั้นก็น่าจะนำมารวมเข้าด้วยกันหรืออะไรประมาณนั้น ฉันไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก”
โรซิลลิกาพูดออกมาพร้อมยักไหล่และบิดผมด้วยนิ้วของเธอราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
'แวมไพร์ตัวนี้มีตำแหน่งสูงขนาดนี้ในปัจจุบันได้ยังไง?'
เขาหรี่ตาแล้วมองไปที่เธอ
โรซิลลิกายิ้มเยาะและพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า
“จริงๆ แล้ว ฉันถูกส่งมาที่อจันตุพร้อมกับชิ้นส่วนนั้นเมื่อปีที่แล้ว ปกติแล้วคงไม่จำเป็นต้องมีแวมไพร์จำนวนมากขนาดนี้ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้หรอกใช่ไหม?”
เมื่อฟังแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ในเมืองนี้มีแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์อยู่ประมาณสามตัว ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมัลคอล์มที่เป็นพ่อมดแห่งความมืด และลูกครึ่งอย่างพวกเขาที่ดูแข็งแกร่งกว่าลูกสมุนของพ่อมดแห่งความมืดเหล่านั้นมากกว่าสามสิบตัว
และถ้ารวมคนรับใช้และทาสเข้าไปด้วยแน่นอนว่ามันเป็นกองกำลังที่มากเกินไปสำหรับเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งในเขตชายแดนของทวีป
“เดิมทีพวกเขาบอกว่าในเมืองนี้มีรีร์รักและลูกผสมอีกเพียงประมาณสิบห้าคน แต่เนื่องจากชิ้นส่วนนั้นจึงต้องมีการเสริมกำลังในลักษณะนี้”
หลังจากนั้นโรซิลลิกาก็บอกว่าเราคงจะยุ่งสักพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
และแยกย้ายกันไปพักผ่อน
….
“อ๊ะ ฉันไม่ชอบออกมาตอนกลางวันเช่นนี้เลยจริงๆ มันทำให้ผิวฉันคล้ำหมดแล้ว”
โรซิลลิกาบ่นพึมพำขณะปรับร่มของเธอ
ตั้งแต่วันที่มีการเรียกตัว เราก็ได้กระจายกันไปทั่วเมืองแม้กระทั่งตอนกลางวันเพื่อตรวจสอบหากิจกรรมที่น่าสงสัย
"จริงๆ แล้ว... ฉันคิดว่ามันไร้ประโยชน์นิดหน่อย"
เขาปรับหมวกปีกกว้างด้วยมือที่สวมถุงมือ
แม้ว่าการถูกแสงแดดจะไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่มันก็ให้ความรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงปกปิดร่างกายเท่าที่จะทำได้
"ฉันไม่คิดว่าการทำแบบนี้จะช่วยให้เราค้นพบอะไรได้หรอก"
“พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น แม้แต่สายเลือดบริสุทธิ์ตนหนึ่งยังพาพวกลูกผสมบางส่วนไปออกค้นหาที่นอกเมือง”
'พวกเลือดบริสุทธิ์และพวกลูกผสมบางส่วนได้ออกจากเมืองไปแล้ว'
รีร์รักกำลังค้นหาทั่วทั้งเมืองและควบคุมพวกลูกผสมที่เหลืออยู่
นั่นหมายความว่า…
"มีสายเลือดบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เฝ้าชิ้นส่วนนั้นอยู่!"
และอีกหนึ่งวันเขาก็สามารถเรียกฮันส์ออกมาได้
'ตามแผนที่วางไว้ คือการสร้างความโกลาหลและพยายามยึดชิ้นส่วนนั้นมาให้ได้ ฉันสามารถพัฒนาฮันส์และสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้กับพวกเขาได้!'
ตอนนี้ปัญหาเดียวคือการค้นหาชิ้นส่วนนั้น แต่เขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากโรซิลลิกาได้
“ในเมื่อพวกเขาเลือกมาที่เมืองนี้ พวกเขาก็ซ่อนมันไว้ในสถานที่ที่เฉพาะพวกเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่รู้ เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่สำนักงานใหญ่ของพวกเขาถูกโจมตี”
และปกติแล้วมีเลือดบริสุทธิ์สองคนคอยเฝ้ารักษาสถานที่นั้นไว้อย่างต่อเนื่อง
'โอ้ ดูเหมือนยากที่จะดำเนินการได้แล้ว'
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ราบรื่นนัก
ตอนที่เขาตัดสินใจที่จะยอมแพ้กับชิ้นส่วนนั้น
“เอ่อ... ฉันคิดว่าฉันรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
จู่ๆ กลับมีแสงสว่างขึ้น
“อะไรนะ ไดอาน่า เธอรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนงั้นหรือ?”
“อ๊า!”
เขาตกใจจึงจับไหล่ไดอาน่า
ตอนเย็นเขาเดินมาหาพี่น้องทั้งสองและขณะที่เรากำลังคุยกัน เขาพูดเรื่องนี้โดยไม่ได้คิดอะไรมาก
ในทำนองว่าแวมไพร์กำลังซ่อนสิ่งของอันตรายอยู่ในเมือง แต่เขาไม่รู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน
"อย่างที่ฉันบอกคุณไปคราวที่แล้ว ฉันพยายามหลีกเลี่ยงแวมไพร์และสถานที่ที่มีกลิ่นที่อันตราย"
"งั้นหรือ.."
“เอ่อ... เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ฉันสัมผัสได้ว่าแวมไพร์ปล่อยกลิ่นเลือดที่แรงมากออกมา และยังมีกลิ่นแปลกๆกลิ่นหนึ่งที่ดูอันตรายมาก แต่ฉันจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เธอก็รีบวิ่งหนีกลิ่นนั้นทันที”
ไดอาน่ากล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“กลิ่นนั้นรุนแรงมากจนติดอยู่ในความทรงจำของฉัน ฉันไม่ได้เข้าไปใกล้กลิ่นนั้นอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
“อ๋อ! ฉันจำได้แล้วพี่สาว! เธอบอกฉันไม่ให้เข้าไปใกล้ที่นั่นอย่างเด็ดขาด!”
ไดอาน่าลูบหัวแอรอนราวกับกำลังชื่นชมเขา จากนั้นจึงหันมามองไฮนซ์
“หากคุณต้องการ ฉันสามารถพาคุณไปที่นั่นได้”
มันเป็นข้อเสนอที่ไม่คาดคิด
“และถ้าเกิดอันตรายขึ้น คุณลุงจะปกป้องฉันใช่ไหม.”
“ฮ่าๆ เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว”
เขาพยักหน้าให้ไดอาน่าอย่างมั่นใจ และลูบหัวเธอ
แท้จริงแล้วถ้าเรากระทำความดี ก็มีทางเลือกกลับคืนมาให้เราเสมอ
บ่ายวันต่อมาเขายังคงสวมหมวกอยู่ และคอยค้นหาชิ้นส่วนของราชาอมตะอยู่ข้างนอก
'แน่นอนว่าชิ้นส่วนที่ฉันกำลังมองหาคือชิ้นส่วนที่พวกแวมไพร์ซ่อนไว้'
เขาเดินช้าๆ จนมาถึงจุดนัดพบ
ไดอาน่าก็อยู่ที่นั่นแล้วกำลังรอเขาอยู่
เพียงแค่เหลือบมองกัน ไดอาน่าก็เริ่มเดินโดยไม่พูดสักคำ และฉันก็เดินตามไปในระยะห่างที่เหมาะสม
เขาได้นัดแนะกับเธอไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขาไม่สามารถเข้าใกล้บริเวณรอบๆ ชิ้นส่วนนั้นได้มากนัก หากไม่ระมัดระวังเขาอาจไปแจ้งเตือนแวมไพร์ให้รู้ตัวก็เป็นได้
ไดอาน่าไม่ได้หันไปสนใจ และเดินต่อไปอีกสักพัก
‘มันไกลจากจุดที่พี่น้องทั้งสองอยู่พอสมควร พวกเขาย้ายออกไปไกลจริงๆ’
ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการจะอยู่ให้ห่างเท่าที่จะทำได้หลังจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันตราย
เมื่อเราเข้าสู่ถนนสายหนึ่ง ไดอาน่าก็เริ่มดมบ่อยขึ้น
นี่คงเป็นจุดที่กลิ่นชัดเจนที่สุด
จากนั้นไดอาน่าก็หันไปมองอาคารด้านหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติประมาณสามวินาที
และเธอก็หันหน้าเดินผ่านไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘มันเป็นสถานที่นั่น!’
มันเป็นอาคารธรรมดาในย่านที่อยู่อาศัย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคฤหาสน์หรูหราที่พวกแวมไพร์อาศัยอยู่
ชิ้นส่วนอีกชิ้นหนึ่งของราชาอมตะถูกซ่อนอยู่ที่นั่น
แต่เช่นเดียวกับไดอาน่า เขาก็มองไปรอบๆ อย่างไม่ใส่ใจเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจบริเวณนั้นและเดินต่อไป
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่มันต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
“ตอนนี้เราต้องกำหนดวันที่จะลงมือแล้ว เรามีสถานที่แล้วและสามารถเรียกฮันส์มาได้ เราต้องลงมือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น!”
เมื่อดวงอาทิตย์กำลังตก พวกเราก็รวมตัวกันที่บ้านของไดอาน่าอีกครั้งหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง
“เฮ้อ หลังจากได้กลิ่นนั้นอีกนึกว่าจะหายใจไม่ออกซะแล้ว...”
“เธอไม่แสดงมันออกมา..เธอก็ทำได้ดีมาก และตอนนี้เราต้องกำหนดวันที่ลงมือแล้ว”
เขาชมไดอาน่า
และหลังจากพิจารณาชั่วครู่เขาก็พูดออกมาว่า "พรุ่งนี้ตอนเที่ยง เมื่อดวงอาทิตย์อยู่จุดสูงสุด"
จะดีกว่าถ้าเริ่มช่วงเวลานั้น แต่เนื่องจากหลังดวงอาทิตย์ตกแล้วจะเป็นช่วงเวลาของพวกแวมไพร์
'แม้ว่าทั้งแวมไพร์และอันเดตจะแข็งแกร่งขึ้นในความมืด แต่ภายใต้ดวงอาทิตย์นั้นแวมไพร์จะอ่อนแอลง ส่วนอันเดตจะไม่..'
ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักสำหรับสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แต่ความสามารถในการต่อสู้ของสายเลือดผสมจะอ่อนแอลงอย่างมากแน่นอน
และแม้แต่สายเลือดบริสุทธิ์ก็ยังไม่สามารถใช้พลังของตนได้อย่างเต็มที่
เขาได้เตรียมแผนสำหรับวันถัดไปและเตรียมพี่น้องให้พร้อม
“เตรียมสัมภาระให้พร้อม พวกเธอต้องสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
“เอาล่ะ พรุ่งนี้พวกเธอ…”
หลังจากชี้แจงข้อควรระวังให้พี่น้องทั้งสองทราบแล้ว เขาก็แยกตัวออกมาและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์
นี่เป็นสถานที่ที่ไฮนซ์ตายและไฮนซ์ที่ 2 ได้กลายเป็นแวมไพร์
พรุ่งนี้เขาจะออกจากเมืองแห่งนี้แล้ว
“แน่นอน ฉันเก็บของที่จำเป็นทั้งหมดไว้แล้ว! แต่เมื่อคิดดูแล้วภายในคฤหาสน์หลังนี้มีของราคาแพงอยู่หลายชิ้นเลยทีเดียว”
เขาเลียริมฝีปากแล้วดวงตาเป็นประกาย
แม้ว่าถ้ามันอยู่ในโลกนี้จะไม่นับเป็นอะไร แต่เมื่อมันไปอยู่ในโลกของเขาย่อมแตกต่างออกไปไม่ใช่หรือ?
เขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์เพียงลำพังพร้อมรอยยิ้มพึงใจ
และเวลาก็ผ่านไป….ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นมาแล้ว….
……………………