บทที่ 17 ลำดับชั้นแวมไพร์
บทที่ 17 ลำดับชั้นแวมไพร์
“อืม จริงเหรอ? คุณกำลังบอกว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวก ‘การหวนคืนของคำพิพากษา’ เหล่านั้นจริงๆเหรอ?”
“ใช่แล้วลอร์ควีร์รัก(วีร์รักเป็นภาษาบาสก์แปว่าชายแกร่ง) ฉันกำลังเดินทางจากเมืองติลลักทางตะวันออกและมาลงเอยที่เมืองอจันตุ”
เขาสร้างคำโกหกหน้าตาย
“ทำไมคุณถึงไม่ออกไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน?”
“ระหว่างนั้นฉันรู้สึกไม่สบายอย่างกะทันหัน ต้องอยู่แต่ในห้อง ฉันอยู่แต่ในห้องนานจนเจ้าของห้องคิดว่าฉันตายไปแ้ว และดูเหมือนว่านั้นจะเข้าใจผิดกัน”
เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะการปราบปรามแวมไพร์ไม่ได้ผลสำหรับเขา
นับตั้งแต่วินาทีที่เขากลายเป็นแวมไพร์ สัญชาตญาณในการเชื่อฟังแวมไพร์ที่เหนือกว่าที่ปล่อยเชื้อให้เขาก็ไม่ได้ผล และเขาก็เพิกเฉยมันได้อย่างง่ายดาย
‘แต่นี่เป็นโอกาสดีที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคนพวกนี้’
ในตอนแรกเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งต่างๆ จะออกมาเป็นอย่างไร แต่กลายเป็นว่าโอกาสที่ดีที่เขาจะรู้ลำดับชั้นของแวมไพร์ที่ปกครองเมืองนี้“
“จุ๊ๆ อย่างไรก็ตาม มากับฉันก่อน”
วีร์รักพูดออกมาพร้อมกับแลบลิ้นหนึ่งครั้ง จากนั้นก็โยนตัวเองออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
เขาก็รีบตามมันไป
<ข้อมูลส่วนบุคคล>
-ชื่อ : ไฮนซ์ที่สอง
-สายพันธุ์: แวมไพร์
-ลักษณะทั่วไป: 'แยกจิต' 'ดัชนีแห่งการตรัสรู้'
- ลักษณะของความสามารถเฉพาะ: 'ความสัมพันธ์ของสายเลือด' 'การเร่งความเร็ว' 'การฟื้นคืน'
-คุณสมบัติเฉพาะ: สืบทอดสายเลือดจาก 'โบโคแล็ก' ทำให้ร่างกายกลายพันธุ์เป็นแวมไพร์ เมื่อไม่ได้โดนแสงแดดความสามารถทางกายภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ผูกพันทางจิตใจด้วยอิทธิพลของ 'แยกจิต'
'ความสามารถทางกายภาพของฉันดีขึ้น ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นกว่าตอนที่ฉันฆ่าผู้ชายคนนั้นที่สำนักงานใหญ่ของบาร์โคลรักเสียอีก'
ดูเหมือนว่าสถานะเสริมที่มีอยู่ก่อนแล้วจะรวมอยู่ในความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเมื่อกลายเป็นแวมไพร์
เมื่อตามเวอร์รักไปแล้ว เขาได้ปล่อยเส้นเลือดออกจากปลายนิ้วและสังเกตมัน
‘อ่า เป็นไปตามคาดเลย’
ทักษะที่เขาได้รับเมื่อกลายเป็นแวมไพร์ 'ความสัมพันธ์ของสายเลือด' ช่วยให้เขาใช้ความสามารถที่แวมไพร์ในสำนักงานใหญ่บาร์โคแล็กใช้ไปออกมาได้
ความสามารถทางกายภาพที่เพิ่มขึ้น การสร้างอาวุธเลือด การดูดเลือด รวมถึงความสามารถของแวมไพร์ระดับต่ำสุด
'เขามียศอะไร? แล้วไอ้โบโคแลกนี้มันอะไร?'
ขณะที่เขามองดูเวอร์รักซึ่งกำลังนำทาง อีกฝ่ายก็เหลือบมองมาที่เขาครั้งหนึ่ง ดูเหมือนมันจะรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
“ตอนนี้คุณเพิ่งได้รับสายเลือดมา แต่คุณกลับสามารถรับมือกับมันได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ คุณดูเหมือนจะมีความสามารถมากทีเดียว”
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนิดหน่อย
“ดูจากที่คุณสามารถตามมาได้ ความสามารถทางกายภาพของคุณดูดีกว่าค่าเฉลี่ย ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้จับฉลากผิดใบ อย่างน้อยคุณก็ดีกว่าไอ้พอลีนคนที่ตายไปแล้ว”
ดูเหมือนว่าแวมไพร์ที่เขาฆ่าในสำนักงานใหญ่ของบาร์โคแล็กจะมีชื่อว่าพอลีน
แต่เขาก็ไม่สนใจรายละเอียดที่ไม่จำเป็นและเริ่มสนทนากับเวอร์รักอย่างเป็นกันเอง
“ขอบคุณลอร์ดวีร์รัก แต่ฉันขอถามหน่อยว่าตอนนี้คุณกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน?”
"แค่ตามมาคุณก็จะรู้เอง"
ดูเหมือนเขาจะขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เราวิ่งข้ามหลังคาบ้านเรือนในเมือง มุ่งหน้าสู่ย่านที่ร่ำรวยซึ่งมีคฤหาสน์ใหญ่โตทอดตัวอยู่ใจกลางเมือง
“เรามาถึงแล้ว”
เมื่อเรามาถึงที่หมาย วีร์รักก็หยุดอยู่หน้าคฤหาสน์ที่ใหญ่โตและโอ่อ่าที่สุด
จากนั้นก็มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
และในไม่ช้าประตูเหล็กของทางเข้าหลักก็เปิดออกพร้อมกับเสียงดังเบาๆ
“ท่านมาถึงแล้วหรือท่านลอร์ดวีร์รัก”
ด้านในประตู มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมชุดคนรับใช้หน้าตาซีดเซียว ยืนรออยู่และโค้งคำนับเป็นมุมฉาก
“ใช่ ฉันหิวแล้ว เตรียมอาหารที่ฉันกินเป็นประจำให้ด้วย”
“แล้วคนผู้นี้ล่ะ…?”
“อ๋อ นี่เป็นญาติคนใหม่ที่ฉันเพิ่งสร้างเมื่อไม่นานนี้ แค่มอบหมายให้เด็กๆ คอยดูแลเขาก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้นโปรดติดตามผมมาได้เลย”
"อ่า ใช่แล้ว.."
“มีอะไรให้รับใช้ก็บอกผมได้เลย กระผมเป็นเพียงคนรับใช้เท่านั้น”
ดูเหมือนว่าคนรับใช้คนนั้นจะมีฐานะต่ำกว่าเขา อีกฝ่ายพูดออกมาโดยไม่ต้องถามอะไร
ขณะที่เขาเดินตามคนรับใช้วัยกลางคนเข้าไปในคฤหาสน์ คนรับใช้อีกคนก็เข้ามาข้างใน
“จากนี้ไป เฮย์เดนคนนี้จะคอยชี้แนะคุณเอง มีอะไรก็สามารถบอกเขาโดยไม่ต้องเกรงใจใดๆ”
“เข้าใจแล้ว”
พ่อบ้านวัยกลางคนโค้งคำนับเขาอีกครั้งแล้วก็หายไปข้างใน
จากนั้นเขาก็เดินชมภายในคฤหาสน์อันหรูหรา โดยมีเฮย์เดนเป็นผู้นำทาง พร้อมถามคำถามต่างๆ มากมายที่กระตุ้นความอยากรู้ของเขา
“นี่คือสายเลือดบริสุทธิ์สายเลือดเมืองอจันตุของตระกูลโบรโคแล็ก เท่าที่ผมทราบ ลอร์ดวีร์รักเป็นหนึ่งในสามสายเลือดบริสุทธิ์ภายในเมืองแห่งนี้”
ดูเหมือนว่าในสามคนนี้ วีร์รักจะดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบแวมไพร์ทั้งหมดในเมืองนี้
ในขณะที่เรายังคงแลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็มาถึงหน้าห้องหนึ่ง
“คุณสามารถใช้ห้องนี้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากต้องการอะไร เพียงเขย่ากระดิ่งด้านใน”
จากนั้นเฮย์เดนก็โค้งคำนับและเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เอี้ยดดด
"ว้าว..."
เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาก็สะดุดตากับการตกแต่งภายในห้องอันหรูหราตระการตา
ตั้งแต่โต๊ะและโซฟาไปจนถึงเตียง ทุกสิ่งล้วนดูเหมือนเป็นตัวอย่างของความหรูหรา
และภาพสะท้อนของเขาปรากฏในกระจกสวยงามที่ติดอยู่บนผนัง
ใบหน้าที่เฉียบคมและเย็นชา แต่เป็นใบหน้าที่ซีดเซียว
เขาเคยคิดว่าตัวเองหล่อเสมอมา แต่การเป็นแวมไพร์ทำให้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าขาวเจ้าสำราญ
'เอาล่ะ นี่ก็ถือว่าไม่เลวร้ายนัก... และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน'
เขาถอนหายใจแล้วโยนตัวเองลงบนเตียง
แม้ว่าจะตื่นขึ้นตอนกลางดึกและรุ่งสางยังอีกไกล แต่ผลของการเป็นแวมไพร์ก็ทำให้เขาไม่สามารถนอนหลับได้
เขาหลับตาแล้วจัดระเบียบข้อมูลใหม่ที่ได้มา
ตามที่เฮย์เดนที่เป็นเหมือนรุ่นพี่ของเขาในสาขาวิชาการศึกษาแวมไพร์ บอกว่าการฝึกอบรมจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ อีกฝ่ายตั้งใจที่จะสอนพื้นฐานให้เขา
แวมไพร์เป็นสัตว์หากินเวลากลางคืนเป็นหลัก และนอนหลับในเวลากลางวัน
สิ่งนี้เข้าใจได้ เนื่องจากแม้แต่แวมไพร์ระดับต่ำตามที่ปรากฏในภาพยนตร์ก็ยังต้องถูกเผาไหม้เมื่อถูกแสงแดด ส่วนแวมไพร์ระดับสูงอาจจะถูกจำกัดพลังเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
‘ถ้าฉันหายไปโดยไม่บอกกล่าว เด็กๆ จะต้องเป็นกังวลแน่...’
เฮย์เดนรับรองกับเขาว่าเขาสามารถออกไปได้อย่างอิสระหลังการฝึก แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องอยู่ในนี้อีกหลายวัน
ก๊อกๆ
“เฮย์เดน ฉันเข้าไปได้ไหม?”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงของเฮย์เดนดังขึ้น
"ได้ เข้ามาสิ"
ขณะที่เขาเปิดประตู เฮย์เดนก็ถือถาดไว้ในมือข้างหนึ่งซึ่งมีแก้วไวน์ที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงอยู่ข้างใน
'นั่นไม่ใช่ไวน์จริงๆใช่ไหม?'
“คุณเปลี่ยนเผ่าพันธ์มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นผมจึงคิดว่าคุณคงจะหิวแล้ว”
“ฉันไม่ได้หิวขนาดนั้นนะ...”
จนถึงตอนนี้เขาก็รู้สึกสบายดี แต่เมื่อเขาได้กลิ่นเลือดที่เฮย์เดนนำมาให้ เขาก็รู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรงทันที
ขณะที่เขายังตกใจอยู่ เฮย์เดนก็ยื่นแก้วไวน์มาหาเขา
“มันเป็นเลือดสดๆ คุณเอาไปดื่มได้เลย”
เมื่อเลือดเข้ามาใกล้ ร่างกายของเขาก็เริ่มตอบสนองอย่างรุนแรง
เขี้ยวงอกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาของเขายังคงจ้องไปที่แก้วไวน์ และร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้มไปหมด
'นี่คืออาการเซี่ยนยาหรือเปล่า? หากแวมไพร์ไม่สามารถต้านทานความอยากดื่มเลือดในระดับนี้ได้ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกมันจะมีชื่อเสียงว่าเป็นพวกดูดเลือด'
แน่นอนว่าเขาเป็นข้อยกเว้น
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายได้ แต่เขาสามารถใช้ "แยกจิต" เพื่อควบคุมแรงกระตุ้นได้ ดังนั้นเขาจะไม่ไปกัดคนอื่นตามความอยากของตัวเองอย่างแน่นอน
'แต่ฉันคิดว่าฉันคงต้องดื่มมันแล้วล่ะ'
เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความสงสัยที่ไม่จำเป็น และในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะแตกหัก
เขาเอื้อมมือสั่นๆ ไปคว้าแก้วไวน์
กลิ่นหอมหวานของเลือดลอยฟุ้งขึ้นมา
'งั้นก็ดื่มมันก็แล้วกัน'
เขาไม่สามารถจะต้านทานเลือดที่แสนอร่อยได้
เขากดแก้วไว้ที่ริมฝีปาก จากนั้นก็ปิดกั้นกลิ่นและรสชาติที่มาจากไฮนซ์
อึ๊ก อึ๊ก…
ขณะที่เขากลืนเลือดที่เขาไม่สามารถลิ้มรสได้ ร่างกายของเขาก็เริ่มสงบลงทุกครั้งที่กลืน
ดูเหมือนจิตใจของเขาจะแจ่มใสขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมความแข็งแกร่งของตัวเองได้ง่ายขึ้น เหมือนกับว่าเขาเพิ่งกินยากระตุ้นเข้าไป
“นอกจากนี้ มาดามโรซิลลิกาซึ่งเป็นญาติกับเราจะมาเยี่ยมในเร็วๆ นี้ แม้ว่าการเรียนรู้อย่างเป็นทางการจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ แต่เธอต้องการทักทายคุณสั้นๆ และพูดคุยกับคุณสักเล็กน้อย”
เขาพยักหน้าเบาๆ ให้เฮย์เดนซึ่งรับแก้วไวน์เปล่าไป
หลังจากรอสักพัก เขาก็ได้พบกับแวมไพร์อีกตัวหนึ่งในไม่ช้า
"สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องใหม่ เรียกฉันว่าโรซิลลิกาก็ได้ คุณชื่ออะไรเหรอ?"
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อไฮนซ์”
“ไม่ต้องเป็นทางการมาก คุยกันได้ตามสบาย เราเป็นญาติกันและเรามีสถานะเท่าเทียมกันคุณรู้ไหม?”
ความประทับใจแรกของโรซิลลิกาคือความงามที่มีชีวิตชีวา รูปลักษณ์ที่สดใส รอยยิ้มที่สวยงาม และบุคลิกที่เข้ากับคนง่าย
ช่วงแนะนำตัวมีแต่ความประทับใจที่ดี แต่ก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก
“เอาล่ะ คุณรู้ไหมว่าฉันชอบอะไรที่สุด เลือดของผู้ชายหล่อๆ ยิ่งมีกล้ามเยอะๆก็ยิ่งดี โอ้พูดถึงเรื่องแล้ว คุณเป็นสเปกของฉันเลยรู้ไหม ถ้าคุณยังเป็นมนุษย์ ฉันคงดูดเลือดคุณทุกหยดอย่างแน่นอน ฮ่าๆ!”
เธอพูดออกมาตรงๆราวกับเป็นคนล่ะคน
“เอาล่ะ โรซิลลิกา ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอชอบเลือดแค่ไหน แต่ตอนนี้ทำไมเธอไม่บอกฉันเกี่ยวกับระดับของเราล่ะ ฉันเพิ่งกลายเป็นแวมไพร์ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้อะไรเลย”
“อ๋อ..ใช่แล้ว ฉันจะบอกคุณก็แล้วกัน พวกเรามีอยู่ 4 ระดับชั้น นั่นคือเลือดศักดิ์สิทธิ์ เลือดขุนนาง และเลือดบริสุทธิ์ ถัดลงมาเป็นคนรับใช้และทาส ดังนั้นในทางปฏิบัติแล้ว พวกเขาอยู่อันดับล่างสุด พวกเขาไม่ถือว่าเป็นแวมไพร์ด้วยซ้ำ”
หลังจากฟังเรื่องราวแล้ว เขาก็สามารถอนุมานได้ว่าคนรับใช้ก็คือคนรับใช้ที่เหมือนกับลูกจ้างของคฤหาสน์หลังนี้ ส่วนทาศก็คือคำทั่วไปที่ใช้เรียกพวกแวมไพร์ที่ไร้สติปัญญา
'การได้เป็นญาติที่เป็นเลือดบริสุทธิ์ก็ถือเป็นโชคดีเช่นกัน'
คงเป็นเพราะมีคนเพิ่งตายไป แล้วเขาก็ดูเหมือนมีหน่วยก้านที่ยังใช้ได้
“หากจะให้เปรียบเทียบกันแล้ว อย่างเช่นลำดับชั้นของอัศวิน เหล่าสายเลือดบริสุทธิ์ก็เทียบได้กับระดับขุนนาง เหล่าสายเลือดขุนนางก็คือระดับราชวงศ์ และสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ก็คือจักรพรรดิหรือองค์ราชา… แต่พวกเขาเป็นเพียงสิ่งที่สามารถได้ยินชื่อได้ แต่ไม่สามารถพบเจอได้”
“ต่างชั้นกันขนาดนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ บรรพบุรุษของเรานั้นไม่มีทางปรากฏตัวให้เห็นอย่างง่ายๆ และด้วยสถานะต่างชั้นเช่นนี้ เราต้องเชื่อฟังคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าอย่างถึงที่สุดและห้ามตั้งคำถาม”
โรซิลลิกาพึมพำด้วยความเคารพ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักออกมา
"ด้วยสิ่งมีชีวิตเช่นเราที่อยู่ระดับล่างสุดอาจไม่มีวันได้เห็นพวกเขาในช่วงชีวิตนี้ก็เป็นได้"
ขณะที่เขากำลังสนทนากับโรซิลลิกา เขาเริ่มรู้สึกว่ารุ่งอรุณกำลังใกล้เข้ามา
ผ้าม่านหนาปิดหน้าต่าง แต่เขายังคงมองเห็นแสงได้รำไร
“โอ้..ถึงเวลาแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเรียนต่อก็ได้ ตอนนี้ดึกแล้วและเป็นที่รู้กันดีว่าสาวงามต้องนอนหลับแต่หัววัน”
โรซิลลิกาส่งสายตาซุกซนแล้วเดินออกจากห้องไป
'ดึกแล้วงั้นเหรอ...'
เขาถอนหายใจเมื่อรู้สึกถึงความแปลกแยกที่เกิดขึ้นชั่วขณะ
จนกระทั่งข้างนอกเริ่มสว่างขึ้น เขาจึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
‘ฉันต้องพยายามชินกับมัน’
….
หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าร่วมการศึกษากับโรซิลลิกาและเดินไปมาในบริเวณรอบๆ คฤหาสน์ของตัวเองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
โชคดีที่วันที่สองเขาได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก โดยเขาอ้างว่าลืมข้าวของไว้ที่ที่พัก
‘จริงๆ แล้ว คุณสามารถออกไปได้เลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’
เมื่อเขานำเรื่องนี้ไปคุยกับโรซิลลิกาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้านการศึกษาของเขา คำตอบที่ได้รับกลับดูเฉยเมยมาก
"ไปเถอะแล้ว รีบกลับมาก็แล้วกัน"
“ห๊ะ? เราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกก่อนที่การศึกษาจะจบไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก... ฉันไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นยังไง แต่ที่นี่ไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้นหรอก”
ปรากฏว่ากฎนี้มีไว้เพื่อปกป้องแวมไพร์ที่เพิ่งกลายเป็นคนใหม่ และเนื่องจากเมืองอจันตุอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นกฏนี้จึงไม่มีความสำคัญอะไร
เนื่องจากธรรมชาติของแวมไพร์ต้องเชื่อฟังผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า จึงไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคำถามใดๆ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการก่อกบฏอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถแอบออกไปข้างนอกตอนค่ำ หลังจากเก็บสัมภาระที่หอพัก เขาก็ไปทักทายสองพี่น้อง
"โอ้ คุณลุง!"
“คุณลุง! คุณไปไหนมา! เรามาหาคุณที่หอพักแต่คุณชายไม่อยู่ ทำให้เราเป็นห่วงมาก!”
เมื่อเขามาถึง สองพี่น้องก็เข้ามากอดเขาทันที
ไดอาน่าขมวดจมูกในชั่วขณะหนึ่ง และมองมาที่เขาด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขาที่ดูเหมือนว่ามีอะไรจะพูดมากมาย เขาจึงยิ้มอย่างขมขื่นและแยกตัวจากพี่น้องทั้งสอง
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว..ผลมันก็ออกมาแบบนี้ แต่อย่ากังวลเลยฉันจะไม่ปล่อยให้พวกคุณทั้งสองเจออันตรายใดๆ หรอก”
ฮึ…
ขณะที่เขาพยายามจะดันตัวออก ไดอาน่าก็กอดเขาแน่นขึ้นและกระซิบที่หูเขาว่า “ฉันไม่กังวลเลย ถ้าคุณต้องการเลือด คุณสามารถดื่มของฉันได้นะ แต่อย่ามากเกินไป..แค่นิดหน่อยก็พอ”
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเด็กน้อยพูดด้วยความระมัดระวังและแอบมองไปที่แอรอน
“เฮ้!...เธอพูดอะไร..เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉันหรอก ฉันจัดการเองได้!” จากนั้นเขาก็พูดต่อ
“เอาเงินนี้ไปใช้ซะ ฉันจะติดต่อพวกเธอทีหลัง”
แม้ว่าตอนนี้เขาจะถือว่าเป็นชนชั้นนำของเมืองแล้วก็ตาม แต่การที่พวกเด็กๆ ออกไปจากที่นี่ก็ยังถือว่าเป็นการดีที่สุด
ถ้าไม่นับพวกที่เป็นญาติกัน หากเป็นเวอร์รักซึ่งเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ ต้องการกินสองพี่น้องนี้ เขาซึ่งเป็นแวมไพร์ชนชั้นล่างก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้
“ตราบใดที่ฉันเรียกฮันส์ออกมาได้ ทางเลือกของฉันก็จะเพิ่มมากขึ้น จนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันจะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไปอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากแยกทางกับพี่น้องแล้ว เขาก็ไปเรียนต่อที่โรซิลลิกาเมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์
เขาได้เรียนรู้วิธีการควบคุมพลังงานที่แวมไพร์ใช้ ซึ่งเรียกว่า "มานาเลือด"
“นี่มันอะไรเนี่ย เป็นครั้งแรกของคุณจริงๆเหรอ ทำไมเก่งอย่างนี้เนี่ย”
บางทีอาจจะเป็นประสบการณ์ของฮันส์ในการรับมือกับพลังแห่งความมืด หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งทางจิตของเขาที่สูง ทำให้เขาคุ้นเคยกับการใช้พลังงานได้อย่างรวดเร็ว
และสิ่งที่ต้องระวังในฐานะแวมไพร์
“กระเทียมเหรอ ไม่มีหรอก~ น้ำพุร้อนนะหรือ มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ที่ห้องใต้ดินคฤหาสน์น่ะ ฉันชอบไปนอนแช่บ่อยๆ”
ดูเหมือนว่าแวมไพร์ในโลกนี้จะไม่มีจุดอ่อนมากนัก
พวกมันอ่อนแอลงเมื่อโดนแสงแดดและไม่สามารถรักษาตัวได้ดีมากนักเมื่อได้รับบาดเจ็บจากอาวุธเงิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้เสมอไป
“เราสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่สิ่งที่เราต้องระวังจริงๆ ก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันตรงกันข้ามกับเราอย่างสิ้นเชิง”
หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆสะสมความรู้และความสามารถของเขาในฐานะแวมไพร์….
………………………..