บทที่ 16 แกล้งป่วยเพื่อโดดเรียน (2)
เมื่อจัวเซ่ามาถึงโรงเรียนก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว แต่เพื่อนในห้องก็ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงในดวงตาของพวกเขาเท่านั้นที่ฉายแววเห็นอกเห็นใจออกมาเล็กน้อย
“จัวเซ่า นายอยากกินเกี๊ยวทอดไหม?” รอจนจัวเซ่านั่งลง เหลียงเฉินก็เอ่ยถามขึ้น จากนั้นก็หยิบเกี๊ยวทอดถุงเล็กออกมาถุงหนึ่ง
เกี๊ยวทอดนี้ขายอยู่ที่ร้านอาหารเช้าใกล้โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินในราคาหกชิ้นหนึ่งหยวน
และเพราะเกี๊ยวทอดร้านนี้ไม่ได้ใช้เครื่องทำ แต่ทำด้วยมือ ชิ้นจึงค่อนข้างหนา ทานง่าย คนทั่วไปทานหกชิ้นก็เพียงพอแล้ว แน่นอนว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยกำลังโตสามารถกินครั้งหนึ่งได้มากถึงสิบสองชิ้น
ในชีวิตก่อนตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ จัวเซ่ามักจะกินเกี๊ยวทอดบ่อย ๆ เขาคิดถึงพ่อแม่จริง ๆ นอกจากนี้ เขาได้ใช้ประโยชน์จากเหลียงเฉินมากเกินไปแล้ว และคงไม่เป็นไรหากเขาจะกินมากหน่อย...ดังนั้นจัวเซ่าจึงรับเกี๊ยวทอดมาและลงมือกิน
ในตอนนี้เป็นฤดูร้อน แม้ว่าเกี๊ยวทอดจะเย็นแล้ว แต่ก็ไม่ส่งผลต่อรสชาติของมันเลยแม้แต่น้อย ในถุงที่เหลียงเฉินให้มามีเกี๊ยวอยู่สิบสองชิ้น จัวเซ่ากินไปได้ห้าชิ้นก็กินไม่ลงแล้ว
แต่ถึงอย่างไรก็รับมาแล้ว รอตอนกลางวันก็ค่อยเอาไปให้จัวถิงกิน
หลังจากเรียนคาบที่สี่ของช่วงเช้าจบลง จัวเซ่าก็หยิบเกี๊ยวทอด วางแผนตั้งใจจะไปหาจัวถิง ไม่คิดว่าตอนที่กำลังจะออกจากห้องเรียนกลับถูกอาจารย์คณิตศาสตร์เรียกให้อยู่ต่อ
“จัวเซ่า ครูไปซื้ออาหารที่โรงอาหารมา เธอรับไปสิ” อาจารย์คณิตศาสตร์มอบถุงพลาสติกให้จัวเซ่า ในนั้นมีอาหารกลางวันอยู่สองกล่อง
หัวใจของจัวเซ่ารู้สึกอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง
หลังได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จัวเซ่าได้ประสบกับเรื่องราวมากมาย แม้ว่าครอบครัวจัวหรงหมิงจะยังคงโลภมากจนเขานึกรังเกียจ แต่นอกจากเรื่องนี้ เขากลับได้พบกับเรื่องราวดี ๆ มากมาย
ในชีวิตก่อนเขาถือทิฐิมากเกินไป ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่าง ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
จัวเซ่าไปโรงเรียนของจัวถิง แบ่งข้าวและกับข้าวจากกล่องอาหารกินด้วยกันกับจัวถิง หลังจากกินเสร็จแล้วจัวเซ่าก็กลับมายังโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมิน จากนั้นเขาก็นำกล่องอาหารกลางวันมาล้าง แล้วนำไปคืนอาจารย์คณิตศาสตร์
ทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมห้องดีกับเขามาก แต่เขากลับต้องโกหกพวกเขา...
ไม่นานหลังจากคาบการศึกษาด้วยตนเองในช่วงบ่ายเริ่มขึ้น จัวเซ่าฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยท่าทางที่ดูทรมานเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกเหลียงเฉินคิดว่าจัวเซ่าคงอยากจะนอนพักสักครู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ร้องเรียกจัวเซ่า เพียงเคลื่อนไหวตนเองน้อยลงเท่านั้น
และเมื่อคาบการศึกษาด้วยตนเองในช่วงบ่ายสิ้นสุดลง คาบแรกของช่วงบ่ายที่เป็นวิชาพละ แต่ถูกเปลี่ยนเป็นคาบการศึกษาด้วยตนเองก็เริ่มขึ้น แต่จัวเซ่าก็ยังนอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะเช่นเดิม...
เหลียงเฉินรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาต้องการจะสะกิดจัวเซ่า แต่ก็ไม่กล้า ดังนั้นจึงกระซิบเรียก “จัวเซ่า จัวเซ่า...”
“อืม มีอะไรเหรอ?” จัวเซ่าหันศีรษะมาเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือด
“จัวเซ่า นาย...นายเป็นอะไรเหรอ? ไม่สบายเหรอ?” เหลียงเฉินกระวนกระวายเล็กน้อย และเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขากังวลเกินไปหรือเปล่า ประโยคหลังจึงพูดคล่องเป็นพิเศษ
“ปวดหัวนิดหน่อย...”จัวเซ่าเอ่ย เดิมทีเขาอยากจะแกล้งปวดท้อง แต่วันนี้เขาได้รับน้ำใจจากทั้งเหลียงเฉินและอาจารย์คณิตศาสตร์ แกล้งปวดท้องคงจะไม่เหมาะเท่าไร ก็เลยแกล้งปวดหัวแล้วกัน
“งั้น...งั้นทำยังไงดี?” เหลียงเฉินเริ่มวิตกกังวล ในเวลานี้จัวเซ่าก็ฟุบลงไปอีกครั้ง
เหลียงเฉินเป็นคนเก็บตัวและไม่รู้วิธีพูดคุยกับผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะไม่คุยกับเพื่อนร่วมชั้นเลย นับประสาอะไรกับอาจารย์ โตขนาดนี้แล้ว เขาไม่เคยคิดที่จะเริ่มเข้าหาอาจารย์เลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้...เมื่อมองเห็นใบหน้าทุกข์ทรมานของจัวเซ่า เหลียงเฉินกัดฟันแน่น ลุกขึ้นยืนทันที
“เหลียงเฉิน นายทำอะไรน่ะ?” หัวหน้าห้องที่นั่งเฝ้าชั้นเรียนในคาบการศึกษาด้วยตนเองอยู่บนโพเดียมเอ่ยถาม
“ฉะ...ฉัน ฉัน...จะไปหาอาจารย์” เหลียงเฉินเอ่ยตอบเสียงเบา
คาบการศึกษาด้วยตนเองไม่สามารถพูดคุยหรือวิ่งไปทั่วได้ แต่ถ้าไปหาอาจารย์ก็ไม่เป็นไร หัวหน้าห้องพยักหน้ารับรู้ แล้วปล่อยให้เหลียงเฉินออกไป
เหลียงเฉินออกจากห้องเรียน เขามาถึงหน้าประตูห้องพักครู ซึ่งหากเป็นปกติเขาคงรีบผ่านไป แต่ครั้งนี้เขากลับบุกเข้าไปในห้องพักครู
“เหลียงเฉิน? มีอะไรเหรอ?” หยางเจี้ยนหวามองไปยังเหลียงเฉินด้วยความประหลาดใจ
“จัวเซ่าไม่สบายครับ” เหลียงเฉินกล่าวแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง
หยางเจี้ยนหวารู้จักเหลียงเฉินเป็นอย่างดี นักเรียนคนนี้ของเขาขี้ขลาดมาก หากจัวเซ่าไม่สบายแค่นิดหน่อย เขาคงจะไม่บุกเข้ามาในห้องพักครูแบบนี้
“งั้นอาจารย์จะลองไปดูหน่อย” หยางเจี้ยนหวาลุกขึ้น แล้วเดินไปยังห้องเรียนกับเหลียงเฉิน
ท่าทางของจัวเซ่าดูเหมือนจะไม่สบายมากจริง ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นหยางเจี้ยนหวาก็ขมวดคิ้วทันที
“อาจารย์หยาง ผมไม่เป็นไรครับ เป็นเพราะช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับเลยปวดหัวนิดหน่อย” จัวเซ่าเอ่ย
“เหลียงเฉิน เธอพาจัวเซ่าไปส่งที่ห้องพยาบาลเถอะ” หยางเจี้ยนหวาเอ่ย
โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินมีห้องพยาบาลที่อยู่ภายใต้การดูแลของญาติอาจารย์ใหญ่ หากเป็นอาการป่วยหนัก ๆ จะไม่สามารถรักษาได้ โดยปกติจะรับผิดชอบแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างใส่ยาแดงให้กับนักเรียนที่เจ็บตัวในคาบพละ ไม่ก็ให้ยาหยอดตา ปลาสเตอร์ หรือยาแก้ปวดอะไรพวกนั้นกับนักเรียน
แน่นอนว่าโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินไม่สามารถค้างคืนได้ และปกติจะไม่มีใครไปซื้อยากับเธอที่ห้องพยาบาล
ตอนที่เหลียงเฉินและจัวเซ่ามาถึง ก็เห็นอาจารย์ห้องพยาบาลกำลังถักเสื้อไหมพรมอยู่…
เมื่อเห็นว่ามีคนมา เธอก็วางเสื้อไหมพรมในมือลงและเอ่ยถาม “พวกเธอเป็นอะไร? ถ้าไม่สบายมาก ๆ ก็ไปโรงพยาบาล”
“อาจารย์ครับ ผมปวดหัว นอนพักสักหน่อยก็น่าจะหายแล้ว” จัวเซ่าเอ่ย “สองสามคืนมานี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ”
“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมนอนไม่หลับกัน? เธอพาเขาไปนอนพักในห้องสักหน่อยเถอะ อยากได้ยาแก้ปวดไหม?” เธอเอ่ยถาม
จัวเซ่าส่ายศีรษะ เธอจึงไม่ได้สนใจอีก หยิบเสื้อไหมพรมที่ถักค้างไว้ขึ้นมาถักต่อ
ห้องพยาบาลถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนด้านนอกและส่วนด้านใน ทั้งสองส่วนมีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยเฉพาะส่วนด้านในที่มีเตียงเดี่ยวเพียงเตียงเดียว
จัวเซ่าเข้ามาในห้อง หลังจากปิดประตู ใบหน้าที่เคยแสดงสีหน้าเจ็บปวดพลันหายไป เขาจับมือของเหลียงเฉินและกล่าวกับเหลียงเฉินว่า “เหลียงเฉิน ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม”